ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกับคดีแอบอ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งนำโดย “หมอหยอง” -นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ “สารวัตรเอี๊ยด” -พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา และ “นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” หรืออาท ชัตเตอร์มหาเทพ แต่เวลานี้ ชื่อของ “พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ” ที่ปรึกษา สบ 10 ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็โด่งดังและเป็นที่โจษขานของสังคมอยู่ในระนาบเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งแต่งตั้ง “พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา” ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน “พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ” อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา
เพราะมีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่ามี “นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่” อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับหมอหยองด้วย และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ก็ยอมรับว่า “มีข้อมูลอยู่แล้ว แต่เรายังได้ไม่ครบ ...แต่ก่อนที่จะออกหมายจับใครต้องมีการหารือกันก่อน”
แถมเมื่อฟังคำอธิบายจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์แล้วก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก
“ทีมโฆษก ตร.ชุดเก่าที่มี พล.ต.อ.ประวุฒิเป็นหัวหน้าชุดนั้นไม่ได้มีความบกพร่องอะไร ส่วนเหตุผลที่มีการแต่งตั้งทีมโฆษก ตร.ชุดใหม่นั้น เพราะชุดเก่าทำงานกันมานานและอยากให้พักผ่อน จึงแต่งตั้งชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่แทน เหมือนกับการเล่นกีฬา เวลาเหนื่อยก็ต้องพัก และมีการเปลี่ยนตัวให้ผู้เล่นคนใหม่เข้ามา ...โดยส่วนตัวก็ไม่ได้มีปัญหากับ พล.ต.อ.ประวุฒิเพราะมีการพูดคุยกันทุกวันอยู่แล้ว อีกทั้ง พล.ต.อ.ประวุฒิก็บอกตลอดเวลาว่า แล้วแต่ ผบ.ตร.จะพิจารณา ขณะนี้ผมก็ได้มอบหมายงานด้านจราจรให้รับผิดชอบอยู่เช่นเดิม”พล.ต.อ.จักรทิพย์แจกแจง
ยิ่งเมื่อเป็นการปลดฟ้าผ่าในขณะที่เจ้าตัวลาราชการเดินทางไปพักผ่อนที่ระเทศอิตาลีเป็นเวลา 8 วันในช่วงระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2558 โดยเดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่เย็นวันที่ 25 ตุลาคม 2558 ด้วยแล้ว ความสงสัยก็ยิ่งทวีความรุนแรงหนักขึ้นไปอีก
เพราะหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้จะพบความผิดปกติมากมาย
กล่าวคือ พล.ต.อ.จักรทิพย์เพิ่งลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่งตั้งพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ 10 เป็นโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2558 แล้วถูกปลดแบบฟ้าผ่าในวันที่ 27 ตุลาคม 2558 เรียกว่า ยังไม่ถึงครึ่งเดือนก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
กระทั่งทำให้เกิดกระแสข่าวลือตามมามากมาย
เช่น มีกระแสข่าวว่า เจ้าหน้าที่กองปราบปรามจะเข้าตรวจค้นบ้านและคอนโดมิเนียมของ พล.ต.อ.ประวุฒิ 3 จุดคือคอนโดมิเนียมจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ เดอะรอยัลเพลส 1 ซอยมหาดเล็กหลวง 1 แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ และโรงแรมเท็นเฟซกรุงเทพ ซอยร่วมฤดี 2 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. รวมทั้งบ้านพักจำนวน 1 หลังที่บ้านเลขที่ 99/99 หมู่บ้านลดาวัลย์ ซอย 25 ถนนพระราม 5 ต.บางกรวย จ.นนทบุรี จนผู้สื่อข่าวสำนักต่างๆ เดินทางไปสังเกตการณ์กันเป็นจำนวนมาก และในที่สุดก็มีกระแสข่าวว่ามีการยกเลิกการตรวจค้นในครั้งนี้
นอกจากนั้น ยังเกิดกระแสข่าวที่ต้องใช้คำ “หนักหนาสาหัส” ตามมาด้วยว่า พล.ต.อ.ประวุฒิได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ โดยรายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ประวุฒิเตรียมยื่นหนังสือลาออกจากราชการทันทีที่เดินทางกลับมาถึงไทยในวันที่ 1พฤศจิกายน 2558 โดยได้ประสานกับนายตำรวจระดับสูงไว้แล้ว
ทั้งนี้ เนื่องเพราะเป็นที่รับรู้กันว่า พล.ต.อ.ประวุฒินั้นมีความสัมพันธ์กับ “สารวัตรเอี๊ยด-พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา" ที่ถูกจับในคดีแอบอ้างเบื้องสูงเรียกรับผลโยชน์และตัดสินใจผูกคอตายไปก่อนหน้านี้ ดังปรากฏภาพถ่ายร่วมกับสารวัตรเอี๊ยด รวมทั้งหมอหยองและอาท ชัตเตอร์มหาเทพในต่างกรรมต่างวาระจนทำให้มีการผูกโยงกันไปไปว่า นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่มีข่าวว่าจะถูกออกหมายจับในคดี 112 รายต่อไปใช่ พล.ต.อ.ประวุฒิหรือไม่
แต่สุดท้ายข่าวลือเรื่องการลาออกจากตำรวจก็ไม่เป็นความจริง เพราะในวันที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อแจกแจงความผิดของ “แก๊งหยอง เอี๊ยด อาท” นั้น ไม่ปรากฏชื่อ พล.ต.อ.ประวุฒิตามที่ร่ำลือประการใด มิหนำซ้ำในวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ออกมาประกาศว่า พล.ต.อ.ประวุฒิมิได้ลาออกแต่อย่างใด
“ใครบอกว่าลาออก ไม่มี ผมยังไม่ได้เห็นเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าเขาจะลาออกต้องผ่านผมสิ”พล.อ.ประวิตรยืนยันเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2558
เฉกเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ที่ระบุเช่นกันว่า “ ยังไม่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว และไม่มีการค้นบ้าน ส่วนการลาไปต่างประเทศก็เป็นไปตามสิทธิที่มี”
อย่างไรก็ตาม แม้กระแสข่าวจะยังเงียบสงบ แต่สังคมก็พุ่งเป้าและจับตาไปที่ พล.ต.อ.ประวุฒิเหมือนเดิม เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่รายนี้มีเส้นทางชีวิตราชการในอาณาจักรตราโล่ที่ไม่ธรรมดา เพราะเพียง 1 ปี ในยุคที่ “บิ๊กอ๊อด-พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ สามารถถีบตัวเองจากผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้นเทียบเท่ารอง ผบ.ตร. ได้ติดยศ พล.ต.อ. อย่างรวดเร็ว
พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2499 ที่ กรุงเทพมหานคร มีชื่อเล่นว่า ตุ้ย บรรดาสื่อมวลชนจึงมักเรียกว่า บิ๊กตุ้ย จบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเซนต์ดอมินิก จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อที่ โรงเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่น 15 และ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 31
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่น 34 (ภาคบัณฑิตรหัส 48) และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาอาชญาวิทยาและงานยุติธรรมจากมหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาเอกสาขาอาชญาวิทยาการบริหารและงานสังคมจากมหาวิทยาลัยมหิดล เช่นเดียวกัน
เส้นทางการเติบโตของ พล.ต.อ.ประวุฒิหลังจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รุ่น 31) ได้รับการบรรจุเป็นรองสารวัตรประจำ สน.คลองตัน จัดเป็นพื้นที่เกรดเอ ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ต่อจากนั้นขยับไปเป็นรองสารวัตรฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี พื้นที่เกรดเอบวก มีบทบาทหน้าที่มากขึ้น ด้วยความเป็นนายตำรวจมนุษยสัมพันธ์ดี วาทะเยี่ยมจึงเป็นขวัญใจบรรดาเหยี่ยวข่าวอาชญากรรมที่ใช้ห้องสอบสวน สน.ลุมพินี เป็นจุดพักหาข่าวตอนผลัดดึก จนเกิดความคุ้นเคยกับกลุ่มผู้สื่อข่าวหลายสำนัก และนี่คือเป็นพื้นฐานของการทำหน้าที่โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเวลาต่อมา
จาก รอง สว.สส.สน.ลุมพินี เลื่อนมาเป็นสารวัตรสืบสวนพระนครบาลใต้ (สมัยนั้นกองบัญชาการตำรวจนครบาล แบ่งพื้นที่เป็น บก.น. เหนือ บก.น. ใต้ และ บก.น. ธนฯ) ทำงานได้ระยะหนึ่งได้เป็น รอง ผกก. จเรตำรวจ เป็น ผกก. ตำรวจท่องเที่ยว รอง ผบก. กองสวัสดิการตำรวจ และทะเบียนพล จากนั้นได้เป็นเลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เทียบเท่าตำแหน่ง ผบก. เป็น รอง ผบช. สำนักตรวจคนเข้าเมือง และรองจเร (สบ 7) ก่อนย้ายมาเป็น รอง ผบช. สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทั่งได้เป็น ผบช. ในเวลาต่อมา
พล.ต.อ.ประวุฒิ ได้รับมอบหมายเป็นกระบอกเสียงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมแล้วถึง 4 ครั้ง ครั้งแรกในยุคของ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ครั้งต่อมาในยุคของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ก่อนจะเงียบหายไปในยุคของพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ จนเข้ายุค นรต.31 เป็นใหญ่เมื่อ บิ๊กอ๊อด-พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับความไว้วางใจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้เป็น ผบ.ตร. ชื่อของ พล.ต.ท.ประวุฒิ (ในขณะนั้น) ในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น นรต.31 ถูกเสนอขึ้นเป็น “โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” อีกครั้งและขยับเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเดือน ต.ค. 2557 และครั้งสุดท้ายในยุคที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็น ผบ.ตร.และเพิ่งมีคำสั่งแต่งตั้งเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2558 นี้นี่เอง
นอกจากนี้ ในช่วงที่เกิดคดีประวัติศาสตร์ในการกวาดล้าง เครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง มีการจับกุมและดำเนินคดีนายตำรวจที่เกี่ยวข้องมากมาย อาทิ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 ป. (เสียชีวิต) พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 บก.ปคม. พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล อดีตผกก.ตม.สมุทรสาคร เป็นต้น ยังรวมไปถึง 3 พี่น้องตระกูล “อัครพงศ์ปรีชา”และอื่น ๆ รวมกว่า 30 คน ในความผิดตามมาตรา 112 หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาทฯ พร้อมข้อหาอื่น ๆ และขยายต่อไปยังเครือข่ายอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง คือ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน. โดนคำสั่งปลดจากตำแหน่งไปด้วย เนื่องจากพบว่าทุจริตต่อหน้าที่เรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อน 118 ล้านบาท พล.ต.ท.ประวุฒิได้รับมองหมาย จาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ในขณะนั้นตามคำสั่ง ตร. ที่ 610/2557 ลงวันที่ 14 พ.ย. 2557 ให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ รักษาการแทน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ผู้ถูกดำเนินคดี
ช่วงทำหน้าที่รักษาการ พล.ต.ท.ประวุฒิ ออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนอกฤดูนายตำรวจระดับ รอง ผบก. - สารวัตร สร้างความฮือฮา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ไม่น้อย เนื่องจากโดยปกติแล้วผู้ทำหน้าที่ “รักษาการ” แค่เพียงช่วยประคองสถานการณ์ให้ผ่านไปได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น และที่สำคัญ “ตัวจริง” ที่วางไว้ทราบกันภายในแล้วว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ แต่ยังมีความพยายาม “ยื้อเวลา - ยื้อโผ” เกิดขบวนการปล่อยข่าวสร้างความสับสนต่าง ๆ นานา กระทั่งวันที่ 15 มกราคม 2558 พล.ต.ท.ฐิติราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผบช.ก.
เส้นทางของอดีตโฆษก ตร. ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้รับแรงหนุนจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. เพื่อนร่วมรุ่น นรต. 31 อย่างสุดกำลังอีกครั้ง และมีผู้มีอำนาจร่วมเอออห่อหมกด้วย นั่นคือ การเสนอให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือก.ตร. อนุมัติตำแหน่งที่ปรึกษา สบ 10 ติดยศ พล.ต.อ. ให้ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นกรณีพิเศษ เพื่อรองรับ พล.ต.ท.ประวุฒิ โดยเฉพาะ เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อเป็นเกียรติสูงสุดก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2559
สรุปว่า เพียง 1 ปี ในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ สามารถถีบตัวเองจากผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้นเทียบเท่ารอง ผบ.ตร. ได้ติดยศ พล.ต.อ. อย่างหน้าตาเฉย !?
วันนี้ สังคมกำลังจับตาว่า พล.ต.อ.ประวุฒิที่หายหน้าหายตาไปนับตั้งแต่มีการจับกุม “หมอหยองแอนด์เดอะแก๊ง” ว่าจะปรากฏตัวเมื่อไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวันลาพักร้อนหมดสิ้นลงในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 นี้