ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ภายหลังการจับกุมและเผยโฉมหน้า “แก๊งหมิ่นเบื้องสูง” ซึ่งแอบอ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์ นำโดย “หมอหยอง” -นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ “สารวัตรเอี๊ยด” -พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา และ “นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” หรืออาท ชัตเตอร์มหาเทพ สังคมก็ต้องเกิดอาการ “ช็อก” ถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน
ช็อกแรกก็คือ การตัดสินใจ “ฆ่าตัวตาย” ของ พ.ต.ต.ปรากรม โดยใช้เสื้อยืดผูกคอเข้ากับราวลูกกรงของห้องคุมขังในเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี(พัน ร.มทบ.11)
ช็อกที่สองคือ การที่มีกระแสข่าวตามมาอีกด้วยว่า “หมอหยอง” ได้เสียชีวิตลงแล้วเช่นกันก่อนที่จะได้รับคำยืนยันในเวลาต่อมาว่า ไม่เป็นความจริง เพียงแต่แสดงอาการ “ดรามา” ออกมาเท่านั้น
และแน่นอนว่า คำถามที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากความตายของ พ.ต.ต.ปรากรมก็คือ นายตำรวจรายนี้กระทำความผิดที่หนักหนาสาหัสอันใดถึงกับทำให้ต้องตัดสินใจฆ่าตัวตาย และพฤติกรรมในการแอบอ้างเบื้องสูงของ “หมองหยองแอนด์เดอะแก๊ง” เป็นไปในลักษณะใด
“เอี๊ยด” ผูกคอตายหนีความผิด
กล่าวสำหรับการฆ่าตัวตายของ พ.ต.ต.ปรากรมนั้น เหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 23 ตุลาคม 2558 และกลายเป็นกระแสข่าวลือไปทั่วโลกสังคมออนไลน์ ก่อนที่จะมีการออกมายอมรับอย่างเป็นทางการโดย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 24 ตุลาคม 2558
“ได้รับรายงานการเสียชีวิตของผู้ต้องขังรายนี้ในช่วงกลางดึกของวันที่ 23 ตุลาคม 258 ต่อมาได้สอบถามรายละเอียดจากนายวิทยา สุริยะวงศ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์อีกครั้งในช่วงเช้า ทราบว่า ผู้ต้องขังรายนี้ผูกคอตนเองจริงขณะถูกคุมขังในเรือนจำชั่วคราว เมื่อเจ้าหน้าที่ไปพบจึงนำตัวส่งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทันที ต่อมาผู้ต้องขังเสียชีวิต จึงได้สั่งการให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ทำรายงานชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ”พล.อ.ไพบูลย์ให้ข้อมูล
จากนั้นในช่วงเย็นของวันที่ 24 ตุลาคม 2558 กรมราชทัณฑ์ได้ออกเอกสารเผยแพร่ เรื่อง “ผู้ต้องขังเสียชีวิต” ความว่า “ได้รับรายงานเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2558 เวลาประมาณ 22.00 น. จากเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี สังกัดเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า ข.ช.ปรากรม วารุณประภา ผู้ต้องขังระหว่างสอบสวนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งได้รับตัวไว้ควบคุมตามหมายขังของศาลทหารกรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2558 ได้พยายามฆ่าตัวตาย ด้วยการใช้ผ้าจากเสื้อผู้ต้องขังที่ทางเรือนจำจ่ายให้ตามระเบียบ ผูกคอตัวเองกับลูกกรงห้องขัง ภายในเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี โดยเวรรักษาการณ์กลางคืนในวันดังกล่าวได้ตรวจพบ จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาและเปิดห้องขังเข้าไปให้การช่วยเหลือในทันที
“ในเบื้องต้นพบว่า ผู้ต้องขังยังไม่เสียชีวิต จึงได้พยายามใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้การปฐมพยาบาล พร้อมกับนำตัวส่งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในทันที จนกระทั่งนำตัวส่งถึงทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และได้รับแจ้งจากแพทย์ในเวลาต่อมาว่า ผู้ต้องขังได้เสียชีวิตแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้น มีดังนี้
1. ห้องขังที่เรือนจำชั่วคราว ไม่ใช่ห้องขังเหมือนเรือนจำปกติทั่วไป แต่ใช้อาคารที่ทำการของหน่วยทหาร ซึ่งมีประตูทึบผนังปูน 4 ด้าน ไม่สามารถมองตรวจตราจากภายนอกได้ ต้องเปิดประตูจึงจะมองเห็น ภายในห้องขังมีเครื่องหลับนอนผู้ต้องขัง ใช้ระบบขังเดี่ยว ผู้ต้องขังทั้งหมดไม่มีโอกาสพบกัน
2. การควบคุมผู้ต้องขังเวลากลางคืน จะมีเวรผลัดละ 1 คน คอยเดินตรวจตรา ซึ่งขณะนี้ เรือนจำชั่วคราวมีผู้ต้องขังรวม 5 คน ประกอบกับเป็นวันหยุดราชการ ไม่มีการสอบสวน ผู้ต้องขังถูกขังห้องเพียงลำพัง ไม่มีโอกาสพบคู่คดี จะมีการเดินตรวจเป็นระยะเท่านั้น
3. คดีนี้เป็นคดีสำคัญ ผู้ต้องขังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง อาจมีปัญหาในการปรับตัว เพราะเพิ่งรับตัวไว้เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2558
สำหรับการเสียชีวิตของผู้ต้องขังในครั้งนี้ เป็นการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน จึงต้องดำเนินการชันสูตรพลิกศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และส่งศพให้สถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ดำเนินการแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวด้วย เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน รายงานผู้บังคับบัญชาต่อไป จึงแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน”
จากนั้น เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ญาติและครอบครัวของพ.ต.ต.ปรากรมไต้เดินทางมาขอรับศพ โดยมีอธิบดีกรมราชทัณฑ์ไปคอยดูแล ให้คำชี้แจงเกี่ยวกับสาเหตุการตาย ก่อนที่จะนำศพไปทำการฌาปนกิจในวันเดียวกันที่วัดชมภูเวก ถนนนนทบุรี 1 ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี
คำถามก็คือ ทำไมสารวัตรเอี๊ยดถึงตัดสินใจผูกคอตาย?
จากการตรวจสอบข้อมูลภายหลังการจับกุม พบว่า ปรากฏหลักฐานการกระทำความผิดของ พ.ต.ต.ปรากรมออกมาเป็นระลอกๆ และแต่ละชิ้นก็ล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างเช่น ในคอนโดลาเมซองซึ่งเป็นที่พักของ พ.ต.ต.ปรากรม ปรากฏข้อมูลว่า พ.ต.ต.ปรากรมครอบครองห้องพักในอาคารดังกล่าวถึง 26 ห้อง ที่ชั้น 19 เป็นห้องชุดใหญ่สุด ด้านในถูกแบ่งซอยแยกออกเป็น 5 ห้อง มีห้องที่ยังไม่ได้โอนเป็นกรรมสิทธิ์เป็นชื่อ พ.ต.ต.ปรากรม อีก 4 ห้อง ราคาห้องละ 5 แสนบาทมูลค่ารวม 2 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังพบว่าภายในห้องพบเงินสกุลต่างประเทศ อาทิ เงินสกุลดอลลาร์ และเงินเยนมูลค่ารวมหลายแสนบาท รวมทั้งพบวิทยุสื่อสารแบบพกพากว่า 200 เครื่องอยู่ในห้อง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พ.ต.ต.ปรากรมเป็นผู้เบิกวิทยุสื่อสารจำนวนดังกล่าวจากกองตำรวจสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติอ้างว่านำมาใช้ในงานราชการ
ส่วนพระเครื่องที่ตรวจยึดมาได้จำนวน 10 องค์จากตู้เซฟของ พ.ต.ต.ปรากรมตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นพระเครื่องของ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1บก.ป.ที่เสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากที่ด้านหลังมีตอกหมายเลข 49 ซึ่งเป็นเลขรุ่น นรต.ของ พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ ที่เป็น นรต.รุ่น49 ซึ่งมีผู้เสียหายมาชี้ยืนยันว่า เป็นพระที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดมาและส่งคืนไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ห้องของสารวัตรเอี๊ยดได้อย่างไร รวมทั้งยังพบกีตาร์ไฟฟ้า 3 ตัว ราคาแพงยี่ห้อ พีอาร์เอสที่ราคาสูงถึง 4 แสนกว่าบาท และกีตาร์อีก 2 ตัวราคาตัวละ 6 - 7 หมื่นบาท เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วพบว่า กีตาร์ทั้ง 3 ตัวเป็นของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ที่ถูกดำเนินคดี 112 ซื้อมาจากร้านลักกี้มิวสิค ย่านปทุมธานีรวมอยู่ด้วย และยังมีพระพุทธรูปอีกหลายรายการที่ญาติของผู้ต้องหาร่วมเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์มาชี้ยืนยันว่าเป็นทรัพย์สินที่ถูกยึดในคดีดังกล่าวรวมอยู่ด้วย
ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบสำนักงานนิติบุคคล ลาเมซอง ยังพบหลักฐานสำคัญเป็นสำเนาใบฝากเงินสดธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลาดพร้าว ซอย 10 เมื่อวันที่ 16 ต.ค. เวลา 10.07 น. ในชื่อบัญชี นายปรากรม วารุณประภา ยอดเงิน 1,700,000 บาท สำเนาใบฝากเงินสด ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลาดพร้าวซอย 10 เมื่อวันที่ 16 ต.ค. เวลา 10.06 น. ยอดเงิน 1,9000,000 บาท สำเนาใบฝากเงินสด ธนาคาร ทหารไทย จำกัด สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อวันที่ 17 ต.ค. เวลา 15.27 น. ชื่อบัญชี พ.ต.ต.ดร.ปรากรม วารุณประภา จำนวนเงิน 500,000 บาท สำเนาใบฝากเงินสด ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อวันที่ 17 ต.ค. ชื่อบัญชี พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ยอดเงิน 1,000,000 บาท สมุดบัญชีเงินฝากทั้งออมทรัพย์และสะสมทรัพย์ชื่อ พ.ต.ต.ปรากรมอีกหลายเล่ม สมุดคู่มือรถยนต์และรถ จยย.อีกหลายเล่ม
และมีรายงานว่า ในส่วนสำเนาใบฝากเงินสดที่ เลขาฯของ พ.ต.ต.ปรากรม เป็นผู้นำฝากในช่วงวันที่ 16-17 ต.ค. ก่อนที่จะถูกควบคุมตัวนั้น มียอดเงินเข้าบัญชีถึง 5,100,000 บาท เชื่อว่า พ.ต.ต. ปรากรม น่าจะรู้ตัวว่าจะถูกจับกุม ประกอบกับคำให้การของ ส.ต.ต.ราชฤทธิ์ พวงไสว คนขับรถ พ.ต.ต.ปรากรม ให้การว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น.วันที่ 16 ต.ค. พ.ต.ต.ปรากรมได้ใช้โทรศัพท์มือถือของนายเค โทรศัพท์มาสั่งให้ไปที่ กก.2 บก.ป.ในกองบังคับการปราบปราม เพื่อไปรอเอาวิทยุสื่อสารยี่ห้อโมโตโรล่า 1 เครื่อง โทรศัพท์ไอโฟน 6 จำนวน 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ 3 กล่อง และปืน .380 อีก 1 กระบอก โดยมี พ.ต.ท.วสุ แสงสุกใส รอง ผกก.2 บก.ป. 1 ในตำรวจ 8 นายของ บก.ป.ที่มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ ศปก.บช.ก.ตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค. นำมามอบให้ ทั้งนี้ พ.ต.ต.ปรากรมได้แจ้งให้ ส.ต.ต.ราชฤทธิ์ด้วยว่า ให้ระวังคนติดตาม เมื่อออกจากกองปราบฯแล้วได้นำสิ่งของทั้งหมดไปให้ พ.ต.ต.ปรากรมที่บริเวณวงเวียนในซอยพหลโยธิน 24
แต่ที่เด็ดที่สุดคือ มีคลิปเสียงที่ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด บันทึกไว้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการติดต่อกับบุคคลต่างๆลักษณะต้องการเก็บไว้แบล็กเมล์รวมอยู่ด้วย และยังพบข้อมูลเอกสารการกระทำความผิดอีกหลายกรณี อาทิ การแอบอ้างสถาบันเพื่อไปเรียกเก็บเงินค่าดำเนินการกับผู้ประกอบการภาคเอกชนต่างๆ หลายรายการมูลค่าหลายล้านบาท อีกทั้งยังพบข้อมูลว่า มีการแอบอ้างแสวงหาผลประโยชน์จากเจ้าของบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งเป็นจำนวนเงินกว่า 100 ล้านบาท อ้างว่านำไปจัดหาจักรยานเพื่อใช้ในกิจกรรมสำคัญ เตรียมจัดซื้อจักรยานจากประเทศจีนเข้ามา มีเจตนาเพื่อแสวงหาผลกำไรให้กับตัวเองและเครือข่าย
ทั้งนี้เจ้าของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่เปิดเผยเรื่องราวกับพนักงานสอบสวน ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาสืบหาข้อเท็จจริงในทางลับ ปรากฏว่า มีมูลความจริงจึงกลายเป็นที่มาให้นายสุริยันและเครือข่ายถูกดำเนินคดี
ส่วนกระแสข่าวเรื่อง พ.ต.ต.ปรากรมแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อขอให้เลื่อนตำแหน่งตัวเองเป็นรอง ผกก.นั้น พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่ตนเองปฏิเสธ เนื่องจากคุณสมบัติไม่ครบตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สาวไส้ 13 คดี “หยอง เอี๊ยด อาท”
28 ตุลาคม 2558 ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับคดีของ “หยอง เอี๊ยด อาท” ก็ปรากฏอย่างเป็นทางการครั้งแรก จากการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษก ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล รรท. รอง ผบ.ตร. และพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พร้อมนำของกลางที่ตรวจยึดได้จากบ้านพักผู้ต้องหามาแสดง อาทิ อาวุธปืนของทางราชการ วิทยุสื่อสาร ชุดพระเครื่อง อัญมณี และอื่น ๆ อีกหลายรายการ ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. หลังจากมีการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบสวนจากผู้ต้องหา 3 ราย ซึ่งมีทั้งหมด 13 คดีด้วยกัน
คดีที่ 1 เลขคดีที่ 96/2558 ประจำวัน ข้อ 4 เวลา 17.00 น. วันที่ 16 ตุลาคม 2558 ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหา คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาที่ถูกดำเนินคดี ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ หมู่ 17 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นบริษัทเอกชน พฤติการณ์คือ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2558 และวันที่ 3 กันยายน 2558 ผู้ต้องหาดังกล่าวทั้ง 3 คน ได้ร่วมกันแอบอ้างเป็นผู้แทนพระองค์ นำการ์ดขอบคุณไปมอบให้กับบริษัทเอกชน
คดีที่ 2 เลขคดีที่ 97/2558 ประจำวัน ข้อ 6 เวลา 18.00 น. วันที่ 19 ตุลาคม ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี พ.ต.ท.สหภูมิ สง่าเมือง พ.ต.ต.นฤทธิ์ ผูกจิตร ผู้ต้องหา คือ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาคือ มีอาวุธปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในความครอบครอง ตั้งสถานี มีและใช้วิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม สถานที่เกิดเหตุ คอนโดฯ ลาเมซอง แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ทางคดี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2558 เจ้าหน้าที่ทหารได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตำรวจทำการค้นคอนโดลาเมอซอง พบอาวุธ วิทยุ และรถยนต์ และสิ่งที่ผิดกฎหมาย อยู่ภายในห้องผู้ต้องหา
คดีที่ 3 คดีที่ 99/2558. ประจำวันข้อ 3 เวลา 14.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พ.ต.ท.ปรเมษฐ์ แก้วนาค ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต.ปรากรม และบริษัท สามารถเทเลคอม กับพวก ข้อหา มีและตั้งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต สถานที่เกิดเหตุ อาคารใบหยก 2 แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์คือ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2558 ได้มีการตรวจพบเครื่องรับ-ส่งวิทยุแบบรบกวนสัญญาณ ย่านความถี่ UHF ยี่ห้อโมโตโรลา รุ่นแควนตาร์ ของ พ.ต.ต.ปรากรม ติดตั้งอยู่บนชั้นที่ 84 ของอาคารใบหยก 2
คดีที่ 4 เลขคดีที่ 100/2558 ประจำวัน ข้อ 4 เวลา 15.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหา คือ พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในความครอบครอง สถานที่เกิดเหตุ กองบังคับการปราบปราม ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ได้มีการตรวจค้นรถโตโยต้า เวนจูรี่ ที่ยึดมาจากคอนโดฯ ลาเมซอง พบอาวุธปืน เอชเค 53 จำนวน 1 กระบอก พร้อมด้วยกระสุน 80 นัด
คดีที่ 5 คดีอาญาที่ 101/2558 ประจำวัน ข้อ 6 เวลา 16.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหา พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี ผู้ต้องหา คือ นายศุกร์โข ตามเสรี ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจรถ พบอาวุธปืนขนาด .38 ที่บ้านพักของผู้ต้องหาดังกล่าว
คดีที่ 6 คดีที่ 102/2558 ประจำวัน ข้อ 7 เวลา 16.30 น. วันที่ 27 ตุลาคม ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พ.ต.ท.มนต์ชัย วงษ์ชาตรี ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ บ้านเลขที่ 89/364 หมู่ 3 ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พฤติการณ์ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก ได้แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกและรับผลประโยชน์จากภาคเอกชน
คดีที่ 7 เลขคดีที่ 103/2558 ประจำวัน ข้อ 8 เวลา 17.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหา คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาคือ ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่ สถานที่เกิดเหตุ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พฤติการณ์คือ ผู้ต้องหากับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท
คดีที่ 8 คดีที่ 104/2558 ประจำวัน ข้อ 9 เวลา 17.30 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองปราบปราม ผู้กล่าวหา คือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท
คดีที่ 9 คดีที่ 105/2558 ประจำวันข้อ 10 เวลา 18.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหากับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท
คดีที่ 10 คดีที่ 106/2558 ประจำวันข้อ 11 เวลา 18.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ พฤติการณ์ในทางคดี เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหากับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท
คดีที่ 11 คดีที่ 107/2558 ประจำวันข้อ 12 เวลา 18.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุเป็นบริษัทเอกชน จ.สมุทรปราการ พฤติการณ์คือ เมื่อเดือนมิถุนายน 2558 ผู้ต้องหา กับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและเรียกรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท
คดีที่ 12 คดีอาญาที่ 108/2558 ประจำวันข้อ 13 เวลา 19.30 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ที่กองบังคับการปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ บริษัทเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี กล่าวคือ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ถึงวันที่ 18 ตุลาคม 2558 ผู้ต้องหากับพวก แอบอ้างสถาบันเบื้องสูง ขอรับการสนับสนุนจัดทำสิ่งของและได้รับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 4,700,000 บาท
คดีที่ 13 คดีที่ 109/2558 ประจำวันข้อ 14 เวลา 20.00 น. วันที่ 27 ตุลาคม 2558 กองบังคับการตำรวจปราบปราม ผู้กล่าวหาคือ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้ต้องหาคือ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา กับพวก ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย สถานที่เกิดเหตุ สำนักงาน กสทช. แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พฤติการณ์ในทางคดี ระหว่างเดือนกันยายน 2558 ถึงเดือนตุลาคม ผู้ต้องหา กับพวก ได้แอบอ้างสถาบันเบื้องสูงขอรับการสนับสนุนหมายเลขโทรศัพท์เลขสวยจาก กสทช.
งาบส่วนต่าง “เข็มเกล็ด” งานปั่นเพื่อพ่อและปั่นเพื่อแม่
นอกจากนั้น ในการแถลงข่าวครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แสดงแผนผังเครือข่าย “หมอหยอง” สั่งทำเข็มกลัด ปั่นเพื่อแม่ และปั่นเพื่อพ่อ เก็บค่าส่วนต่างจากบริษัทเอกชนด้วย โดยรายละเอียดการสั่งทำเข็มกลัดในงานปั่นเพื่อแม่ ของนายสุริยัน และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ เลขาคู่ใจ เริ่มจากวันที่ 17 พ.ค.58 นายสุริยันสั่งทำเข็มกลัด 300,000 ชิ้น จากนั้นวันที่ 18 มิ.ย. นายสุริยัน และนายจิรวงศ์ นัดพบ น.ส.ทิพวรรณ อัศวก้องเกียรติ ผจก. ฝ่ายขาย บ.แมค บารา จำกัด ที่ร้านสเวนเซ่น สาขาเมเจอร์รัชโยธิน น.ส.ทิพวรรณ เสนอราคาเข็มกลัดชิ้นละ 3.70 บาท แต่นายสุริยันสั่งให้เพิ่มราคาเป็นชิ้นละ 5.70 บาท แล้วให้เอาเงินค่าส่วนต่างที่เกินโอนคืนนายสุริยัน และนายจิรวงศ์
ต่อมา วันที่ 22 มิ.ย. น.ส.ทิพวรรณส่งใบเสนอราคามาให้บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดยแบ่งเสนอราคาเป็น 5 บริษัท ได้แก่ บ.เจริญโภคภัณฑ์ อิน-เอ็กซ์ จำกัด บ.แอดวานซ์ ฟาร์ม่า จำกัด บ.เคเอสพี อุปกรณ์ จำกัด บ.เพอร์เฟค คอมมาเนียน กรุ๊ป จำกัด และ บ.เกษตรภัณฑ์ อุตสาหกรรม จำกัด ราคาเป็น 5 บริษัท รวมราคา 3,049,500 บาท จากนั้น วันที่ 22 มิ.ย. บริษัท ซีพี ในเครือ จ่ายค่ามัดจำ 50 เปอร์เซ็นต์ จำนวนเงิน 1,482,000 บาท ให้กับ บริษัท แมค บารา จำกัด ต่อมา วันที่ 23 มิ.ย. น.ส.ทิพวรรณถอนเงินออกจากบัญชี บริษัทฯ 1,200,000 บาท โดยนำเงิน 1,000,000 บาท เข้าบัญชี ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.สุรีวรรณ ชาญยุทธิ์ สาขาวัชรพล เลขที่บัญชี 499-0000-84-6 จากนั้น วันที่ 2 ก.ค. นายสุริยันให้นางจีราภา (น้องสาว) ถอนเงินไปซื้อกองทุนสะสมรายวันธนาคารกรุงไทย ชื่อนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ ส่วนอีก 200,000 บาท เข้าบัญชี ธนาคารไทยพานิชย์ สาขาโลตัส ฟอร์จูน ชื่อบัญชี นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ และระหว่างวันที่ 23 มิ.ย.-11 ก.ค. นายจิรวงศ์ถอนเงินมาใช้จนหมด
ส่วนรายละเอียดการสั่งทำเข็มกลัดในงาน ปั่นเพื่อพ่อของนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ และนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ วันที่ 30 ก.ย.58 นายสุริยัน สั่งทำเข็มกลัด 2,000,000 ชิ้น ต่อมา วันที่ 1 ต.ค. นายสุริยัน นายจิรวงศ์ นัดพบ น.ส.ทิพวรรณ อัศวก้องเกียรติ ที่สโมสรทหารบก เสนอราคาเข็มกลัด ชิ้นละ 2.75 บาท และวันที่ 2 ต.ค. น.ส.ทิพวรรณ ส่งใบเสนอราคามาให้บริษัทในเครือเมืองไทยประกันภัย คือ บ.เมืองไทยประกันภัยฯ และ บ.เมืองไทยประกันชีวิตฯ รวมราคา 10,700,000 บาท จากนั้นวันที่ 5-6 ต.ค. บริษัทในเครือเมืองไทยประกันภัย จ่ายค่ามัดจำ 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 5,350,000 บาท ให้กับ บ.แมค บารา จำกัด ถัดมา วันที่ 7 ต.ค. น.ส.ทิพวรรณถอนเงินออกจากบัญชีบริษัทฯ จำนวน 4,773,000 บาท จากนั้น วันที่ 8 ต.ค. โอนเงิน 4,000,000 บาท เข้าบัญชี ธ.กรุงไทย สาขาวัชรพล น.ส.สุรีวรรณ ชาญยุทธิ์ เลขที่บัญชี 499-0000-84-6 โดยเงินจำนวนดังกล่าวแบ่งไปซื้อคอนโดพหลโยธินพาร์ค 127/21 ชั้นที่ 3 อาคารเลขที่ 3 แขวงสามเสน เขตพญาไท กทม. 3,200,000 บาท และอีก 800,000 บาท ฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาวัชรพล ชื่อบัญชีนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ เลขที่ 499-0-10800-0 ส่วนเงินจำนวน 773,000 บาท โอนเข้าบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ เลขที่บัญชี 2402311342
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า คดีใหญ่คดีนี้จะไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ตัวละครสำคัญอย่าง “หยอง เอี๊ยดและอาท” เท่านั้น เพราะยังมีการขยายผลอย่างต่อเนื่อง ดังเช่นที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยออกมาจนเป็นที่ฮือฮาไปทั้งกองทัพว่า ในเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แน่นอน คงต้องติดตามกันว่า นายทหารชั้นผู้ใหญ่คนนั้นเกี่ยวข้องจริงหรือไม่ และเป็นไปตามชื่อที่ปรากฏออกมาตามโลกสังคมออนไลน์หรือไม่ เพราะถ้าใช่ เรื่องนี้คงจะเป็นมหากาพย์ไม่แพ้คดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์เลยทีเดียว