เพียง 1 ปี ในยุคพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ สามารถถีบตัวเองจากผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้นเทียบเท่ารอง ผบ.ตร. ได้ติดยศ พล.ต.อ. อย่างหน้าตาเฉย !? วันนี้อดีตโฆษก “หน้าเหี่ยว” กำลังถูกสังคมจับจ้อง ตลอดทั้งวันมีข่าวเกี่ยวข้องจนทุกสำนักฯต้องยึดเป็นประเด็นพาดหัว เขาจะกลับมาให้สัมภาษณ์น้อง ๆ นักข่าว หรือ “ไปแล้วไปลับ” โปรดติดตามตอนต่อไป
ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปวนเวียนไปเป็นวัฏจักร ไม่มีสิ่งใดสามารถหลีกหนีกฎธรรมชาติข้อนี้ไปได้....ย้อนกลับไปดูเส้นทางของนายตำรวจคนดัง พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ 10 ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สังคมไทยรู้จักกันดีและมีบทบาทในคดีสำคัญ ๆ มากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะปฏิบัติการ “ย้ายฟ้าผ่าตอนตี 3” อันเป็นที่มาของปฏิบัติการขุดรากถอนโคนเครือข่ายอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์
วันนี้อดีตโฆษก สตช. กำลังตกเป็นประเด็น และมีลางบอกเหตุบางอย่างว่าอาจจะร้ายแรงชนิดที่เคยมีบทวิจารณ์หนึ่งที่เปรียบเทียบไว้ว่า “ดาวจรัสแสง และดาวที่ร่วงลงสู่หุบเหวในชั่วข้ามคืน”
เส้นทางการเติบโตของ พล.ต.อ.ประวุฒิ เมื่อพิจารณากันอย่างถ่องแท้แล้วไม่ต่างอะไรกับเพื่อนร่วมรุ่น หรือนายตำรวจคนอื่นๆที่พอมีเส้นมีสาย มีสมัครพรรคพวกเมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รุ่น 31) ได้รับการบรรจุเป็นรองสารวัตรประจำ สน.คลองตัน จัดเป็นพื้นที่เกรดเอ ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ต่อจากนั้นขยับไปเป็นรองสารวัตรฝ่ายสืบสวน สน.ลุมพินี พื้นที่เกรดเอบวก มีบทบาทหน้าที่มากขึ้น ด้วยความเป็นนายตำรวจมนุษยสัมพันธ์ดี วาทะเยี่ยมจึงเป็นขวัญใจบรรดาเหยี่ยวข่าวอาชญากรรมที่ใช้ห้องสอบสวน สน.ลุมพินี เป็นจุดพักหาข่าวตอนผลัดดึก จนเกิดความคุ้นเคยกับกลุ่มผู้สื่อข่าวหลายสำนัก และนี่คือเป็นพื้นฐานของการทำหน้าที่โฆษกในเวลาต่อมา
จาก รอง สว.สส.สน.ลุมพินี เลื่อนมาเป็นสารวัตรสืบสวนพระนครบาลใต้ (สมัยนั้นกองบัญชาการตำรวจนครบาล แบ่งพื้นที่เป็น บก.น. เหนือ บก.น. ใต้ และ บก.น. ธนฯ) ทำงานได้ระยะหนึ่งได้เป็น รอง ผกก. จเรตำรวจ เป็น ผกก. ตำรวจท่องเที่ยว รอง ผบก. กองสวัสดิการตำรวจ และทะเบียนพล จากนั้นได้เป็นเลขานุการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เทียบเท่าตำแหน่ง ผบก. เป็น รอง ผบช. สำนักตรวจคนเข้าเมือง และรองจเร (สบ 7) ก่อนย้ายมาเป็น รอง ผบช. สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทั้งได้เป็น ผบช. ในเวลาต่อมา
จนเข้ายุค นรต.31 เป็นใหญ่เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับความไว้วางใจจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้เป็น ผบ.ตร. ชื่อของ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ (ในขณะนั้น) ถูกเสนอขึ้นเป็น “โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” และขยับเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเดือน ต.ค. 2557 นับเป็น “โฆษกคู่บารมี” ของ ผบ.ตร.“สมยศ” อย่างแท้จริง โดยได้รับมอบหมายหน้าที่หลายอย่าง เช่น จัดทีมประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ ดูแลปัญหาอาชญากรรม และปัญหาการจราจร เป็นต้น
การทำหน้าที่โฆษก สตช. ผ่านไปด้วยดี กระทั่งกลางเดือน พ.ย. ปีเดียวกัน หรืออีกเพียงเดือนเศษต่อมา เกิดคำสั่งย้ายฟ้าผ่าจนเป็นที่มาของยุทธการขุดรากถอนโคนเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง มีการจับกุมและดำเนินคดีนายตำรวจที่เกี่ยวข้องมากมาย อาทิ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ พ.ต.อ.อัครวุฒิ หลิมรัตน์ อดีต ผกก.1 ป. (เสียชีวิต) พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ อดีต ผกก.4 บก.ปคม. พ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล อดีตผกก.ตม.สมุทรสาคร เป็นต้น ยังรวมไปถึง 3 พี่น้องตระกูล “อัครพงศ์ปรีชา”และอื่น ๆ รวมกว่า 30 คน ในความผิดตามมาตรา 112 หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาตรร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือรัชทายาทฯ พร้อมข้อหาอื่น ๆ ต่างกรรมต่างวาระ คือ เป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พ่วงด้วยความผิด พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และขยายต่อไปยังเครือข่ายอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง คือ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน. โดนคำสั่งปลดจากตำแหน่งไปด้วย เนื่องจากพบว่าทุจริตต่อหน้าที่เรียกรับสินบนน้ำมันเถื่อน 118 ล้านบาท
ช่วงเดินหน้ากวาดล้างแก๊งอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลางนั้นสังคมตำรวจ และสังคมภายนอก ทราบกันดีว่า ทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก สตช. มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต. 31 ด้วยกันแต่ด้วยหน้าที่ อีกทั้งเป็นภารกิจสำคัญบทบาทระหว่างผู้รักษากฎ กับความเป็นเพื่อนจึงต้องแยกแยะออกจากกัน อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการอย่างเอาจริงเอาจังของตำรวจในตอนนั้น ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดสิ่งไม่ชอบมาพากลขึ้น บัญชีของกลางจากการอายัดขุมสมบัติของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ ที่ซุกซ่อนตามบ้านพักต่าง ๆ 15 จุด บางแห่งสร้างเป็นห้องใต้ดิน มีเซฟใส่มหาสมบัติ โดยเฉพาะ และที่สามารถตรวจยึดมาได้มีมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน 114 ฉบับ มูลค่า 418 ล้านบาท สมุดเงินฝาก 111 บัญชี มียอดเงินสดกว่า 100 ล้านบาท รถยนต์ชนิดต่าง ๆ กว่า 20 คัน ทองคำขาว 180 กก. สร้อยทองคำ 224 เส้น กรอบพระทองคำ 225 ชิ้น ทองคำแท่ง 24 แท่ง เงินสด ภาพเขียนจากศิลปินดัง โบราณวัตถุ และไม้แปรรูปหายาก
ทรัพย์สินทั้งหมดถูกนำมารวมกันและเปิดแถลงข่าวโดยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกคู่บารมี
เมื่อทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน มีการทยอยสมบัติต่าง ๆของอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง ขายทอดตลาด ซึ่งมีผู้สนใจเข้าประมูลซื้อกันอย่างล้นหลาม คดีประวัติศาสตร์ทำท่าจะจบ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องทุกกลุ่มต่างทยอยถูกดำเนินคดีอย่างครบถ้วน นอกจากนั้น เครือข่าย “พงศ์พัฒน์” ยังถูกทำลายอย่างราบคาบ มีการสั่งย้ายอย่างล้างบางทุกระดับตั้งแต่สัญญาบัตร ยันชั้นประทวน ส่วนหัวหน้าใหญ่ที่ถูกจองจำในเรือนจำในระยะแรกต้องปรับตัวขนานใหญ่ เข้า - ออกโรงพยาบาล เพื่อรักษาตัวหลายครั้งแต่ก็ผ่านไปได้
เรื่องควรจบกลับไม่ยอมจบ เพราะยังมีขบวนการแอบอ้างเบื้องสูงไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเกิดขึ้นอีก จากกรณี พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา ให้ดำเนินคดีตามความผิดมาตรา 112 กับ นายสุริยัน หรือ หมอหยอง สุจริตพลวงศ์ หมอดูนักโหราศาสตร์ชื่อดัง นายจิรวงศ์ หรือ อาท วัฒนเทวาศิลป์ เลขาฯ และ พ.ต.ต.ปรากรม หรือ สารวัตรเอี๊ยด วารุณประภา สว.กก.1 บก.ปอท. โดยต่อมามีการควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปฝากขังยังเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 ต่อมาวันที่ 23 ต.ค.พ.ต.ต.ปรากรม ใช้เสื้อผูกคอตายในเรือนจำ และการดำเนินคดีพนักงานสอบสวนได้เข้าตรวจค้นคอนโดลาเมซอง ย่านพหลโยธิน ซึ่งเป็นที่พักของสารวัตรเอี๊ยด พบว่า มีชื่อครอบครองถึง 26 ห้อง แต่ที่เป็นประเด็นเมื่อพบของกลางหลายชิ้น อาทิ พระเครื่องจำนวน 10 องค์ มีโค้ดสลักหลังเลข 49 เป็นรหัส นรต. รุ่น 49 เชื่อว่า เป็นของพ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ อดีต ผกก. 2 บกป. ผู้ต้องหาคดี 112 ที่เสียชีวิตจากการกระโดดตึก และทรัพย์สินอื่น ๆ คาดว่า เป็นของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ อดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลาง คือ รถยนต์หรูเบนท์ลีย์ รถโรลสรอยซ์ รถเบนซ์ จอดอยู่บนชั้น 9 ของคอนโดฯ นอกจากนั้น ยังพบพระสมเด็จวัดระฆัง 2 องค์ พระสมเด็จนางพญา พระกิ่งวัดสุทัศน์ฯ พระเครื่องอื่น ๆ ทองคำ เพชร วัตถุโบราณ ภาพเขียนอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งกีตาร์ไฟฟ้า ยี่ห้อพอล รีด สมิธ ราคาตามท้องตลาดประมาณ 6 แสนบาทอันเป็นกีตาร์สะสม ซึ่งเคยเป็นของกลางคดีเจ้าพ่อสอบสวนกลางที่เคยถูกอายีดไว้ แต่ไม่ทราบว่ามาอยู่ในห้องพักของ พ.ต.ต.ปรากรม ได้อย่างไร
ปริศนาทั้งหมดจะมีความเชื่อมโยงไปถึง “ไอ้โม่ง” ตัวละครสำคัญหรือไม่ และเหตุอันใด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จึงสั่งเปลี่ยนแปลงโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างกะทันหัน จึงต้องกลับไปดูการเยื้องย่างของ พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ อดีตโฆษก สตช. ห้วงเวลาที่ผ่านมา
ทันทีที่ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ในขณะนั้นตามคำสั่ง ตร. ที่ 610/2557 ลงวันที่ 14 พ.ย. 2557 ให้ พล.ต.ท.ประวุฒิ รักษาการแทน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ผู้ถูกดำเนินคดี นอกจากจัดการล้างกลุ่มแก๊งอดีตเจ้าพ่อสอบสวนกลางแล้ว ยังถือจังหวะนั้นส่งสมัครพรรคพวกในสายตนเองเข้าไปนั่งแทนที่ ถือเป็นบรรยากาศแห่งความชุลมุนมากที่สุดครั้งหนึ่งของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
ช่วงทำหน้าที่รักษาการ พล.ต.ท.ประวุฒิ ออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนอกฤดูนายตำรวจระดับ รอง ผบก. - สารวัตร สร้างความฮือฮา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ไม่น้อย เนื่องจากมารยาททั่วไปแล้วผู้ทำหน้าที่ “รักษาการ” แค่เพียงช่วยประคองสถานการณ์ให้ผ่านไปได้ในระยะหนึ่งเท่านั้น และที่สำคัญ “ตัวจริง” ที่วางไว้ทราบกันภายในแล้วว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ แต่ยังมีความพยายาม “ยื้อเวลา - ยื้อโผ” เกิดขบวนการปล่อยข่าวสร้างความสับสนต่าง ๆ นานา กระทั่งวันที่ 15 ม.ค. 2558 พล.ต.ท.ฐิติราช ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผบช.ก.
เส้นทางของอดีตโฆษก ตร. ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้รับแรงหนุนจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. เพื่อนร่วมรุ่น นรต. 31 อย่างสุดกำลังอีกครั้ง และมีผู้อำนาจร่วมเอออห่อหมกด้วย นั่นคือ การเสนอให้คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือก.ตร. อนุมัติตำแหน่งที่ปรึกษา สบ 10 ติดยศ พล.ต.อ. ให้ทำหน้าที่ผ้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นกรณีพิเศษ เพื่อรองรับ พล.ต.ท.ประวุฒิ โดยเฉพาะ เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อเป็นเกียรติสูงสุดก่อนเกษียณอายุราชการในปี 2559
สรุปว่า เพียง 1 ปี ในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ สามารถถีบตัวเองจากผู้ช่วย ผบ.ตร. ขึ้นเทียบเท่ารอง ผบ.ตร. ได้ติดยศ พล.ต.อ. อย่างหน้าตาเฉย !?
วันนี้อดีตโฆษก “หน้าเหี่ยว” กำลังถูกสังคมจับจ้อง ตลอดทั้งวันมีข่าวเกี่ยวข้องจนทุกสำนักฯต้องยึดเป็นประเด็นพาดหัว แม้ยังไม่มีใครยืนยันพร้อมความบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่ พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ได้ยื่นใบลาหยุดราชการกับ ผบ.ตร. เพื่อพักผ่อนต่างประเทศ (ยุโรป) ระหว่างวันที่ 25 ต.ค. - 1 พ.ย. รวม 8 วันนั้นเขาจะกลับมาให้สัมภาษณ์น้อง ๆ นักข่าว หรือ “ไปแล้วไปลับ” โปรดติดตามตอนต่อไป