สิ่งที่สังคมควรจับตามองต่อไปก็คือ แม้ “ประวุฒิ”จะลาออกแล้วแต่อาการหนาว ๆ ร้อน ๆ จากคดี 112 ยังไม่สะเด็ดน้ำอย่างแน่นอน รวมทั้งบรรดาอดีต “บิ๊กตำรวจ”ทั้งหลายซึ่งในตอนนี้มีข่าววงในระบุว่าต่างพากันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
ในที่สุดความอึมครึมกรณีพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 สมัยที่ยื้อกันมานานเกือบ 2 สัปดาห์ได้เดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ยอมรับกับผู้สื่อข่าวเมื่อตอนสายวันที่ 4 พ.ย.2558 ว่านายตำรวจคนดังที่กำลังตกเป็นเป้าสังคมไทยได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยให้เหตุผลว่าที่เพิ่งออกมายอมรับ เป็นเพราะว่าสำนักงานทะเบียนพล เพิ่งรายงานให้ทราบและในฐานะผู้บังคับบัญชาตนได้เซ็นอนุมัติไปแล้วตามความประสงค์ของเจ้าตัวเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ กรำงานมามากและอยากพักผ่อน
ย้อนรอยคดีแก๊งหมิ่นเบื้องสูงที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้ออกคำสั่งให้มีการสอบสวนช่วงกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาจนได้ผู้กระทำผิด 4 คนคือนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง นายวิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท ชัตเตอร์มหาเทพ พ.ต.ต.ปรากรม “สารวัตรเอี๊ยด” วารุณประภา อดีต สว.ก.1 บก.ปคม. (ปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับทางเทคโนโลยี)และนายศุกร์โข ตามเสรี นอกจากจะมีรายชื่อนายทหารยศ พล.ต. - พ.อ.อีกมากถึง 40-50 นายเข้ามาพัวพันตามคำซัดทอดแล้วยังมีพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ
กระทั่งเมื่อวันที่ 27 ต.ค.ช่วงเปิดแถลงข่าวการจับกุมแก๊งหมอหยอง -สารวัตรเอี๊ยด ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ผู้นำแถลงข่าวตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวว่าอดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลาพักร้อนไปประเทศอิตาลี ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.จนถึงวันที่ 2 พ.ย.รวมเวลา 8 วันซึ่งกระทำตั้งแต่ผบ.ตร.คนก่อน (พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง)ส่วนการเกี่ยวข้องกับคดี 112 นั้นเป็นแค่กระแสข่าวซึ่งการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ไม่พบว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีการบุกเข้าค้นบ้านพักนายตำรวจท่านนี้แต่อย่างใด
กระทั่งวันที่ 2 พ.ย.อันเป็นวันครบกำหนดลา ผู้สื่อข่าวที่ติดตามกันอย่างใจจดใจจ่อต่างรอวันนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้จะมีใครยืนยันว่าอดีตโฆษก สตช.คนดังจะเกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นเบื้องสูงอย่างไรหรือไม่เพราะยังคงเป็นเพียงแค่กระแสข่าวที่คงเป็นความลับ บ้างก็ลือว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ พร้อมกับครอบครัวได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว และจะไม่กลับมาประเทศไทย อีกระยะหนึ่งจนกว่าจะสามารถพิสูจน์ตัวเองจากคดี 112 ได้
บางกระแสระบุว่า เดินทางกลับมาแล้วเพื่อยื่นหนังสือลาออกแต่ทุกอย่างยังคงเป็นความลับแม้แต่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ยังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวตามแนวทางเดิมๆคือยืนกรานว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ ยังไม่ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแต่ได้กลับมาก่อนกำหนด 2 วัน
“ท่านโทรฯมาคุยกับผมตามปกติแต่ไม่ได้คุยเรื่องลาออก ตามระเบียบหากไม่มารายงานตัวภายใน 15 วันถือว่าขาดราชการ และจนขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าท่านประวุฒิ เกี่ยวข้องกับคดี 112 หากพนักงานสอบสวนติดใจก็สามารถเรียกท่านมาสอบปากคำได้”
ประเด็นขาดราชการ 15 วันถูกหยิบไปพาดหัวข่าวใหญ่โต....รุ่งขึ้นวันที่ 3 พ.ย.มีการประชุมระดับบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทุกคนมาครบขาดแต่พล.ต.อ.ประวุฒิ !?
สายวันที่ 4 พ.ย.พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ยอมรับว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแล้วเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมาแต่เพิ่งได้รับรายงานจากสำนักทะเบียนพลเป็นอันว่าเส้นทางของอดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เคยรุ่งโรจน์วันนี้ปิดฉากลงแล้วและเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพของสื่อมวลชนไทยได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนต่อไปจึงต้องค้นหาข้อเท็จจริงกันอีกว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ มีเหตุผลอะไรถึงต้องลาออกจากราชการ อีกทั้งยังทำลับๆล่อๆไม่ยอมปรากฏตัว ไม่ยอมรับสายโทรศัพท์แทบกลายเป็น "บุคคลสาปสูญ"ทั้งที่ก่อนหน้าเป็นนายตำรวจที่เข้าถึงง่ายใครติดต่อไป อยากได้ประเด็นข่าวอะไรสามารถสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ดังนั้น จากนี้ต่อไปจึงต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของคดี 112 อย่างใก้ลชิดเพราะนอกจากคำยืนยันของพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพราหณกุล รรท.รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ว่าการสอบสวนได้พาดพิงไปถึงนายพลทหาร และพันเอกทหารอีกเกือบครึ่งร้อยนาย จะมีใครหรือไม่ที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดได้ รวมทั้งพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ซึ่งมีข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่าแม้จะไม่มีความผิดตามมาตรา 112 โดยตรงแต่อาจจะเกี่ยวข้องในฐานะผู้ร่วม หรือสนับสนุนให้พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด กระทำความผิดในต่างกรรมต่างวาระมากมายถึง 13 คดี
ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นถึงขบวนการแอบอ้างเบื้องสูงเพื่อนำไปสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มตัวเองขอพากลับไปช่วงการเติบโตของอดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 สมัยพอสังเขปดังนี้ ในยุคพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นผบ.ตร.พล.ต.อ.ประวุฒิ คือหัวหน้าสำนักงานฯทำหน้าที่เสมือน ผบ.ตร.น้อยเพราะได้รับความไว้วางใจอย่างสูง ต่อมาพรรคเพื่อไทย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องการเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.โดยย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งแทน แต่ด้วยกฎหมายระบุให้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ต้องขึ้นกับความสมัครใจด้วยเมื่อพล.ต.อ.วิเชียร ปฏิเสธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯกำกับดูแล สตช.ขณะนั้นจึงหยิบยกเอากรณีบ่อนพระราม 9 มาปราม ต่อมามีกระแสข่าวว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ หัวหน้าสำนักงานผบ.ตร.ขณะนั้นได้ทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์นำ “ข่าวร้าย”ไปแจ้งให้พล.ต.อ.วิเชียร ทราบจนต้องตัดสินใจยอมลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร.เปิดทางให้พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.ส่วนพล.ต.อ.วิเชียร ไปรับตำแหน่งเลขาฯสมช. และขยับเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม ขณะที่พล.ต.อ.ประวุฒิ ได้รับโบนัสจากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”ได้เป็น ผบช.สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
ตลอดเวลาของการรับราชการพล.ต.อ.ประวุฒิ มีช่วงจังหวะช้าบ้าง เร็วบ้างแต่มาเปล่งประกายเต็มที่ในยุคที่มีเพื่อน นรต.31 ขึ้นมาเป็นผบ.ตร.โดยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ให้ความสำคัญแก่โฆษกหน้าเหี่ยวอย่างออกหน้าออกตา ร่วมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญๆอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่และ 1 ในอภิมหาโปรกเจกก็คือ
การเตรียมยกระดับเทคโนโลยีสื่อสารทางวิทยุ ของ สตช.ซึ่งพล.ต.อ.ประวุฒิ ได้นำคลื่นความถี่ระบบใหม่โดยอ้างถึงความจำเป็น ความทันสมัยต้องโละระบบเดิมทั้งหมดคาดว่าจะใช้งบประมาณ สตช.จำนวนหลายพันล้านบาทรวมทั้งการเปลี่ยน ว.ประจำตัวของตำรวจทั้งประเทศ
แต่ด้วยระยะเวลาอันจำกัด เพียง 1 ปีของพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง มีเรื่องรวมต่างๆเข้ามามากมาย และอภิมหาโปรเจกของพล.ต.อ.ประวุฒิ ที่นำเสนอต่อเพื่อนรักนั้นถูกนายตำรวจระดับบริหารด้วยกันคัดค้านเป็นจำนวนมาก มีเสียงสะท้อนจากตำรวจชั้นผู้น้อยตามโรงพักที่จะต้องเสียเงินซื้อวิทยุมือถือกันใหม่ โครงการที่ชกไว้แล้วจึงต้องพับเก็บไว้ก่อน
อีกประเด็นที่จำเป็นต้องนำมาขยายก็คือการเน็จเหนื่อยกับหน้าที่ราชการที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ยกมาเป็นเกาะกำบังให้กับพล.ต.อ.ประวุฒิ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มมีข้อมูลอยู่ว่า อดีตโฆษกฯ 4 สมัยเคยปรารภกับคนใก้ลชิดจริงแต่อารมณ์ช่วงนั้นอยู่ตอนพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับรองผบ. ตร. และที่ปรึกษา (สบ. 10)ในราวเดือน ก.ย.ที่ผ่านมานี้เองเนื่องจากมีการขยับขึ้นเป็นพล.ต.อ.เพียง 6 ตำแหน่งแต่พล.ต.อ.ประวุฒิ มีอาวุโสอันดับ 9 อาการน้อยเนื้อต่ำใจที่แสดงออกจึงได้รับการสนองตอบจากพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ในขณะนั้นด้วยการเปิดตำแหน่งที่ปรึกษา สบ.10
นับจากวันติดยศ พล.ต.อ. ไม่เคยมีใครได้ยินคำน้อยอกน้อยใจของโฆษกหน้าเหี่ยวอีกต่อไป เหตุผลเรื่องนี้จึงมาคนละจังหวะ ต่างอารมณ์ แต่มีความพยายามดึงให้มาเป็นเรื่องเดียวกัน อารมณ์เดียวกัน ข้อเท็จจริงในส่วนหนึ่งจึงขัดกับสิ่งที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.พยายามนำเสนอต่อสังคม
หากไม่เกิดรายการ “ตกม้าตาย” หรือบุญทำ กรรมแต่งแล้วล่ะก็ พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 มีหรือจะรีบลาออกเพราะอายุราชการที่เหลืออีก 1 ปีเพียงพอต่อการหยิบอภิมาหาโปรเจกมาปัดฝุ่นเริ่มนับ 1 กันใหม่ แถมยังมีอนาคตอันสดใสรออยู่ข้างหน้าเนื่องจากมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักการเมือง ทหาร ตำรวจหรือนักธุรกิจแทบทุกกลุ่ม
การลาออกแบบ “สำเร็จโทษ- ตัดกรรม”ตัวเองเพื่อให้สังคมลืมๆไปอาจจะเป็นอีกหนทางของการผ่อนหนักเป็นเบา
แต่ข้อเท็จจริงต่างๆที่มีคำซัดทอด มีพยานหลักฐานออกมานั้นบางขั้นบางตอนระบุว่าเขาคือคนออกคำสั่งให้ “สารวัตรเอี๊ยด”เข้ามาร่วมมีอำนาจ “แจม”ในชุดเฉพาะกิจปราบปรามสถานบริการ จนมีการนำไปบิดเบือน กลั่นแกล้งและสร้างผลประโยชน์ในทางมิชอบและมีคำสั่งอนุมัติให้ใช้ของหลวงนอกงานภารกิจตำรวจ ทั้งจักรยานยนต์สายตรวจ รถยนต์สายตรวจหรือแม้แต่กองกำลังต่างๆ หากไม่มี “ไอ้โม่ง”ตัวใหญ่กว่า “สารวัตรเอี๊ยด”มันจะมีอิทธิฤทธิ์อะไรมากมายขนาดนั้น
สิ่งที่สังคมควรจับตามองต่อไปก็คือ แม้ “ประวุฒิ”จะลาออกแล้วแต่อาการหนาวๆร้อนๆจากคดี 112 ยังไม่สะเด็ดน้ำอย่างแน่นอน รวมทั้งบรรดาอดีต “บิ๊กตำรวจ”ทั้งหลายซึ่งในตอนนี้มีข่าววงในระบุว่าต่างพากันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
ส่วนจะเป็นเพราะอะไร.....ขอให้ดู “น้ำหนัก”การเคลื่อนตัวของพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิตพรมหณกุล รรท.รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง