xs
xsm
sm
md
lg

“ประวุฒิ” สำเร็จโทษหลบมรสุมชีวิต ตัดกรรมชิงลาออกยอมทิ้งบิ๊กโปรเจกต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

*** สิ่งที่สังคมควรจับตามองต่อไปก็คือ แม้ “ประวุฒิ”จะลาออกแล้วแต่อาการหนาว ๆ ร้อน ๆ จากคดี 112 ยังไม่สะเด็ดน้ำอย่างแน่นอน รวมทั้งบรรดาอดีต “บิ๊กตำรวจ” ทั้งหลายซึ่งในตอนนี้มีข่าววงในระบุว่าต่างพากันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
ในที่สุดความอึมครึมกรณีพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 สมัยที่ยื้อกันมานานเกือบ 2 สัปดาห์ ได้เดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยอมรับกับผู้สื่อข่าวเมื่อตอนสายวันที่ 4 พ.ย.58 ว่า นายตำรวจคนดังที่กำลังตกเป็นเป้าสังคมไทยได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยให้เหตุผลว่า ที่เพิ่งออกมายอมรับ เป็นเพราะว่าสำนักงานทะเบียนพล เพิ่งรายงานให้ทราบ และในฐานะผู้บังคับบัญชา ได้เซ็นอนุมัติไปแล้วตามความประสงค์ของเจ้าตัว เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ กรำงานมามาก และอยากพักผ่อน
ย้อนรอยคดีแก๊งหมิ่นเบื้องสูงที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้ออกคำสั่งให้มีการสอบสวนช่วงกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา จนได้ผู้กระทำผิด 4 คน คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง นายวิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ อาท ชัตเตอร์มหาเทพ พ.ต.ต.ปรากรม “สารวัตรเอี๊ยด” วารุณประภา อดีต สว.ก.1 บก.ปคม. (ปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับทางเทคโนโลยี)และ นายศุกร์โข ตามเสรี นอกจากจะมีรายชื่อนายทหารยศ พล.ต. - พ.อ. อีกมากถึง 40-50 นาย เข้ามาพัวพันตามคำซัดทอดแล้วยังมีชื่อพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ปรากฏขึ้นเป็นระยะๆ
กระทั่งเมื่อวันที่ 27 ต.ค. ช่วงเปิดแถลงข่าวการจับกุมแก๊งหมอหยอง -สารวัตรเอี๊ยด ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร .ผู้นำแถลงข่าวตอบข้อซักถามผู้สื่อข่าวว่า อดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลาพักร้อนไปประเทศอิตาลี ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. จนถึงวันที่ 2 พ.ย. รวมเวลา 8 วัน ซึ่งกระทำตั้งแต่ผบ.ตร.คนก่อน (พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง) ส่วนการเกี่ยวข้องกับคดี 112 นั้น เป็นแค่กระแสข่าวซึ่งการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ไม่พบว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีการบุกเข้าค้นบ้านพักนายตำรวจท่านนี้แต่อย่างใด
** กระทั่งวันที่ 2 พ.ย. อันเป็นวันครบกำหนดลา ผู้สื่อข่าวที่ติดตามกันอย่างใจจดใจจ่อต่างรอวันนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้จะมีใครยืนยันว่า อดีตโฆษก สตช.คนดังจะเกี่ยวข้องกับคดีหมิ่นเบื้องสูงอย่างไร หรือไม่ เพราะยังคงเป็นเพียงแค่กระแสข่าวที่คงเป็นความลับ บ้างก็ลือว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ พร้อมกับครอบครัวได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว และจะไม่กลับมาประเทศไทย อีกระยะหนึ่งจนกว่าจะสามารถพิสูจน์ตัวเองจากคดี 112 ได้
บางกระแสระบุว่า เดินทางกลับมาแล้ว เพื่อยื่นหนังสือลาออกแต่ทุกอย่างยังคงเป็นความลับ แม้แต่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวตามแนวทางเดิมๆ คือยืนกรานว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ ยังไม่ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแต่ได้กลับมาก่อนกำหนด 2 วัน
“ท่านโทรฯมาคุยกับผมตามปกติแต่ไม่ได้คุยเรื่องลาออก ตามระเบียบหากไม่มารายงานตัวภายใน 15 วัน ถือว่าขาดราชการ และจนขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานว่าท่านประวุฒิ เกี่ยวข้องกับคดี 112 หากพนักงานสอบสวนติดใจก็สามารถเรียกท่านมาสอบปากคำได้”
ประเด็นขาดราชการ 15 วันถูกหยิบไปพาดหัวข่าวใหญ่โต....รุ่งขึ้นวันที่ 3 พ.ย. มีการประชุมระดับบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทุกคนมาครบ ขาดแต่พล.ต.อ.ประวุฒิ !?
** สายวันที่ 4 พ.ย.58 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยอมรับว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแล้ว เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่เพิ่งได้รับรายงานจากสำนักทะเบียนพล เป็นอันว่าเส้นทางของอดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เคยรุ่งโรจน์วันนี้ปิดฉากลงแล้ว และเป็นเครื่องพิสูจน์คุณภาพของสื่อมวลชนไทยได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอนต่อไปจึงต้องค้นหาข้อเท็จจริงกันอีกว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ มีเหตุผลอะไรถึงต้องลาออกจากราชการ อีกทั้งยังทำลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมปรากฏตัว ไม่ยอมรับสายโทรศัพท์แทบกลายเป็น "บุคคลสาปสูญ" ทั้งที่ก่อนหน้าเป็นนายตำรวจที่เข้าถึงง่าย ใครติดต่อไป อยากได้ประเด็นข่าวอะไร สามารถสอบถามได้ตลอด 24 ชั่วโมง
** ดังนั้น จากนี้ต่อไปจึงต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของคดี 112 อย่างใก้ลชิด เพราะนอกจากคำยืนยันของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง ว่าการสอบสวนได้พาดพิงไปถึงนายพลทหาร และพันเอกทหาร อีกเกือบครึ่งร้อยนาย จะมีใครหรือไม่ ที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดได้ รวมทั้ง พล.ต.อ.ประวุฒิ ซึ่งมีข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุว่า แม้จะไม่มีความผิดตามมาตรา 112 โดยตรง แต่อาจจะเกี่ยวข้องในฐานะผู้ร่วม หรือสนับสนุนให้ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ สารวัตรเอี๊ยด กระทำความผิดในต่างกรรมต่างวาระมากมายถึง 13 คดี
ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นถึงขบวนการแอบอ้างเบื้องสูง เพื่อนำไปสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มตัวเองขอพากลับไปช่วงการเติบโตของอดีตโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 สมัย พอสังเขปดังนี้ ในยุคพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เป็นผบ.ตร. พล.ต.อ.ประวุฒิ คือหัวหน้าสำนักงานฯ ทำหน้าที่เสมือน ผบ.ตร.น้อย เพราะได้รับความไว้วางใจอย่างสูง
ต่อมาพรรคเพื่อไทย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องการเปลี่ยนตัว ผบ.ตร. โดยย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งแทน แต่ด้วยกฎหมายระบุให้ตำแหน่ง ผบ.ตร. ต้องขึ้นกับความสมัครใจด้วย เมื่อพล.ต.อ.วิเชียร ปฏิเสธ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯกำกับดูแล สตช. ขณะนั้น จึงหยิบยกเอากรณีบ่อนพระราม 9 มาปราม ต่อมามีกระแสข่าวว่าพล.ต.อ.ประวุฒิ หัวหน้าสำนักงาน ผบ.ตร.ขณะนั้น ได้ทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์นำ “ข่าวร้าย” ไปแจ้งให้ พล.ต.อ.วิเชียร ทราบ จนต้องตัดสินใจยอมลุกจากเก้าอี้ ผบ.ตร. เปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ส่วนพล.ต.อ.วิเชียร ไปรับตำแหน่งเลขาฯสมช. และขยับเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม ขณะที่ พล.ต.อ.ประวุฒิ ได้รับโบนัสจากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ได้เป็น ผบช.สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร
ตลอดเวลาของการรับราชการ พล.ต.อ.ประวุฒิ มีช่วงจังหวะช้าบ้าง เร็วบ้าง แต่มาเปล่งประกายเต็มที่ในยุคที่มีเพื่อน นรต.31 ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. โดยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ให้ความสำคัญแก่โฆษกหน้าเหี่ยวอย่างออกหน้าออกตา ร่วมขับเคลื่อนนโยบายสำคัญๆ อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ และ 1 ในอภิมหาโปรเจกต์ ก็คือ
การเตรียมยกระดับเทคโนโลยีสื่อสารทางวิทยุ ของ สตช. ซึ่งพล.ต.อ.ประวุฒิ ได้นำคลื่นความถี่ระบบใหม่โดยอ้างถึงความจำเป็น ความทันสมัย ต้องโละระบบเดิมทั้งหมด คาดว่าจะใช้งบประมาณ สตช.จำนวนหลายพันล้านบาท รวมทั้งการเปลี่ยน ว.ประจำตัวของตำรวจทั้งประเทศ
แต่ด้วยระยะเวลาอันจำกัด เพียง 1 ปีของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง มีเรื่องรวมต่างๆ เข้ามามากมาย และอภิมหาโปรเจกต์ ของพล.ต.อ.ประวุฒิ ที่นำเสนอต่อเพื่อนรักนั้น ถูกนายตำรวจระดับบริหารด้วยกันคัดค้านเป็นจำนวนมาก มีเสียงสะท้อนจากตำรวจชั้นผู้น้อยตามโรงพักที่จะต้องเสียเงินซื้อวิทยุมือถือกันใหม่ โครงการที่ชงไว้แล้ว จึงต้องพับเก็บไว้ก่อน
อีกประเด็นที่จำเป็นต้องนำมาขยายก็คือ ความเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่ราชการ ที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยกมาเป็นเกราะกำบังให้กับ พล.ต.อ.ประวุฒิ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม มีข้อมูลอยู่ว่า อดีตโฆษกฯ 4 สมัย เคยปรารภกับคนใก้ลชิดจริง แต่อารมณ์ช่วงนั้นอยู่ตอนพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับ รอง ผบ. ตร. และที่ปรึกษา (สบ. 10) ในราวเดือน ก.ย.ที่ผ่านมานี้เอง เนื่องจากมีการขยับขึ้นเป็น พล.ต.อ.เพียง 6 ตำแหน่ง แต่พล.ต.อ.ประวุฒิ มีอาวุโสอันดับ 9 อาการน้อยเนื้อต่ำใจที่แสดงออก จึงได้รับการสนองตอบจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. ในขณะนั้น ด้วยการเปิดตำแหน่งที่ปรึกษา สบ.10
นับจากวันติดยศ พล.ต.อ. ไม่เคยมีใครได้ยินคำน้อยอกน้อยใจของโฆษกหน้าเหี่ยวอีกต่อไป เหตุผลเรื่องนี้ จึงมาคนละจังหวะ ต่างอารมณ์ แต่มีความพยายามดึงให้มาเป็นเรื่องเดียวกัน อารมณ์เดียวกัน ข้อเท็จจริงในส่วนหนึ่งจึงขัดกับสิ่งที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พยายามนำเสนอต่อสังคม
** หากไม่เกิดรายการ “ตกม้าตาย” หรือบุญทำ กรรมแต่งแล้วล่ะก็ พล.ต.อ.ประวุฒิ มีหรือจะรีบลาออก เพราะอายุราชการที่เหลืออีก 1 ปี เพียงพอต่อการหยิบอภิมาหาโปรเจกต์ มาปัดฝุ่น เริ่มนับ 1 กันใหม่ แถมยังมีอนาคตอันสดใสรออยู่ข้างหน้า เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักการเมือง ทหาร ตำรวจ หรือนักธุรกิจแทบทุกกลุ่ม การลาออกแบบ “สำเร็จโทษ- ตัดกรรม” ตัวเองเพื่อให้สังคมลืมๆ ไปอาจจะเป็นอีกหนทางของการผ่อนหนักเป็นเบา
แต่ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีคำซัดทอด มีพยานหลักฐานออกมานั้น บางขั้นบางตอนระบุว่า เขาคือคนออกคำสั่งให้ “สารวัตรเอี๊ยด” เข้ามาร่วมมีอำนาจ “แจม” ในชุดเฉพาะกิจปราบปรามสถานบริการ จนมีการนำไปบิดเบือน กลั่นแกล้ง และสร้างผลประโยชน์ในทางมิชอบและมีคำสั่งอนุมัติให้ใช้ของหลวงนอกงานภารกิจตำรวจ ทั้งจักรยานยนต์สายตรวจ รถยนต์สายตรวจ หรือแม้แต่กองกำลังต่างๆ หากไม่มี “ไอ้โม่ง” ตัวใหญ่กว่า “สารวัตรเอี๊ยด” มันจะมีอิทธิฤทธิ์อะไรมากมายขนาดนั้น
**สิ่งที่สังคมควรจับตามองต่อไปก็คือ แม้ “ประวุฒิ” จะลาออกแล้ว แต่อาการหนาวๆ ร้อนๆ จากคดี 112 ยังไม่สะเด็ดน้ำอย่างแน่นอน รวมทั้งบรรดาอดีต “บิ๊กตำรวจ” ทั้งหลายซึ่งในตอนนี้มีข่าววงในระบุว่า ต่างพากันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ส่วนจะเป็นเพราะอะไร.....ขอให้ดู “น้ำหนัก” การเคลื่อนตัวของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท. รองผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง
กำลังโหลดความคิดเห็น