ขบวนการเหลือบที่แอบอ้างเบื้องสูงที่ถูกจับกุมดำเนินคดีนั้น เกิดจากคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้สั่งให้ฝ่ายกฎหมายของกองทัพ เป็นผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ มองกันมุมนี้คนหน้าแตกคงไม่ต้องบอกว่าเป็นใครถ้าไม่ใช่นายๆ พี่ๆ “บิ๊กสีกากี” ทั้งนอกและในราชการที่เคยคบหากัน
ทุกสำนักข่าว “ส่ายหน้า”แถลงคดีประวัติศาสตร์จัดฉากอลังการณ์แต่เนื้อหาฉายซ้ำ “ผิดหวัง”กรณี พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ยังอึมครึม
บ่ายวันที่ 28 ต.ค.2558 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้สื่อข่าวทุกสำนักทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์ต่างทะยอยไปรอรับฟังการแถลงข่าวคดีประวัติศาสตร์กรณีนายสุริยัน หรือหมอหยอง สุจริตพลวงศ์ นายจิรวงศ์หรืออาท วัฒนเทวาศิลป์ และพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ สว.เอี๊ยด ในคดีความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งในการแจกแจงรายละเอียดทั้งหมดแก่สื่อมวลชนนั้นทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมของกลางต่างๆนับร้อยชิ้น เช่นอาวุธปืนพก อาวุธสงคราม เครื่องประดับต่างๆ กีตาร์ไฟฟ้า กระเป๋าเป้ วิทยุสื่อสาร โดยการจัดเตรียมโชว์ของกลางทั้งหมดนำมาจัดวางไว้ก่อนการแถลงข่าวก่อนเวลาเล็กน้อย ถือเป็นการอุ่นเครื่องให้บรรดาช่างภาพมีโอกาสบันทึกภาพในทุกแง่มุมอย่างจุใจ
กระทั่งเวลา 14.30 น.พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรหมกุล รรท.รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษก สตช.และพล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผบช.ก.เข้าประจำที่เปิดการแถลงโดย “บิ๊กแป๊ะ”กล่าวนำว่าตามที่มีกลุ่มบุคคลร่วมกระทำความผิดโดยมีพฤติกรรมแอบอ้างหรือแสดงออกในลักษณะต่างกรรมต่างวาระเพื่อให้ประชาชน หรือบุคคลทั่วไปเข้าใจว่าตนเองมีความใก้ลชิดกับสถาบันเบื้องสูง และได้เรียกรับผลประโยชน์รวมทั้งได้กระทำความผิดตามกฎหมายอื่นๆเป็นวงกว้าง เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหารจึงใช้อำนาจตามคำสั่งของหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 เรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบถามข้อมูล และควบคุมตัวไว้
จากการสอบถามพบว่ามีมูลความผิดจริงจึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช.แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดดังกล่าว จึงมีคำสั่ง ตร.ที่ 578/2558 ลงวันที่ 16 ต.ค.2558 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนโดยมีพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.รองผบ.ตร.เป็นหัวหน้า พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผบช.ก.เป็นรองหัวหน้า ร่วมทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนเป็นที่แน่ชัดและเชื่อได้ว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทำความผิดจริง
ส่วนกระแสข่าวพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ยื่นหนังสือลาออกนั้น ผบ.ตร.ยืนยันว่ายังไม่ได้รับและยังไม่ได้ติดต่อเข้ามา ขณะนี้เจ้าตัวลาราชการไปพักร้อนต่างประเทศ เป็นสิทธิของท่านและเป็นการลาล่วงหน้าก่อนตนมารับตำแหน่ง
“ท่านไปเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ก็เพียงกระแสข่าว ขณะนี้ยังไม่พบอะไร ที่ผ่านมาไม่มีใครเคยพูดเลยว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องรอผลการสอบสวนซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ เรื่องตรวจค้นบ้านก็ไม่มี การเปลี่ยนโฆษกฯเป็นอำนาจของผม ปรับเปลี่ยนตามปกติและเป็นการเปลี่ยนทั้งทีมไม่ใช่เฉพาะตัวบุคคล”
เป็นคำกล่าวของผบ. ตร.
ต่อจากนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนายตำรวจอื่นๆช่วยกันแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติการณ์แห่งคดีสรุปว่ามีผู้ต้องหาเพิ่มเป็นรายที่ 4 คือนายศุกร์โข ตามเสรี และผู้ต้องหากลุ่มแรกมีความผิดทั้งสิ้น 13 คดี
จากบรรยากาศสุดคึกคัก หลายคนมองว่านี่คือคดีประวัติศาสตร์แต่กลายเป็นการแถลงในเรื่องที่สังคมรับรู้มาก่อนหน้าแล้วเพียงแต่มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และนำของกลางมากลบประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องการทราบข้อเท็จจริงมากกว่า หลังปิดการแถลงเล่นเอาผู้สื่อข่าวหลายสำนักต่างส่ายหน้ารวมทั้งบรรณาธิการข่าว หรือกระทั้งคอข่าวทั่วไปที่กำลังอยู่ในอารมณ์อยากทราบความจริงว่า “ไอ้โม่ง”ระดับนายพลที่มีกระแสข่าวตลอดห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นต่างอารมณ์ค้างไปตามๆกัน
ย้อนกลับช่วงเกิดข่าวลือจับ “หมองหยอง”ซึ่งเกิดราววันที่ 17-18 ต.ค.ที่ผ่านมาแต่ไม่มีสำนักข่าวใดนำเสนอเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องค่อนข้างเปราะบางจึงทำได้เพียงเลียบๆเคียงๆกระทั่งมีการนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังศาลทหารทุกสำนักข่าวจึงเสนอรายละเอียดในทุกขั้นตอนแต่ก็ยังสงวนข้อมูลบางอย่างไว้เนื่องจากเป็นการให้ข้อมูลจาก “แหล่งข่าว”ซึ่งเป็นทีมนายตำรวจผู้ควบคุมคดีบอกเล่าเหตุการณ์คร่าวๆเท่านั้นยัง จึงต้องรอบคอบและหาวิธีนำเสนอแก่สาธารณะโดยไม่กลายเป็นผู้ละเมิดหรือทำให้รูปคดีถูกบิดเบือนไปเสียเอง
อย่างไรก็ตามแม้ ผบ.ตร.จะปฏิเสธอย่างแข็งขันแต่ได้ทิ้งตะเข็บที่น่าสนใจไว้ไม่น้อยเช่น “ขณะนี้ยังไม่พบอะไร ต้องรอผลการสอบสวนก่อน” และ “การลาพักร้อนทำไว้ล่วงหน้าก่อน พล.ต.อ.จักรทิพย์ มารับตำแหน่ง” ทั้งสองตะเข็บที่พอเห็นร่องรอยอยู่นี้มีคำตอบอยู่ในตัวอย่างชัดเจน
มีทั้งแอบทิ้งประเด็นไว้ กับตีกรรเชียง “ลอยตัว”เหนือปัญหา
อย่าลืมว่าพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งกำกับดูแลเรื่องนี้มาแต่ต้นและเชื่อว่าต้องมีข้อมูลสำคัญอยู่ในมือจึงยืนยันว่าแม้ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด ผู้ต้องหาคนสำคัญจะเสียชีวิตไปแล้วแต่การสืบสวนสอบสวนจะต้องดำเนินการต่อไป !?
การสืบค้นข้อมูลจึงต้องลงลึก รวมถึงภาพกว้างในรอบ 1 ปีช่วงพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา กลับมารับราชการซึ่งในขณะนั้นพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีตผบ.ตร.มีอำนาจเต็ม รวมทั้งการใช้อำนาจเพื่อให้ประโยชน์ต่อพล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 อย่างสูงสุดน่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 27 ส.ค.2558 โดยพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ในขณะนั้นเป็นประธานประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)ครั้งที่ 13/2558 พิจารณาวาระขยายเวลาแต่งตั้งระดับ รองผบ.ตร.ประจำปี 2558 อีก 30 วันจนถึงวันที่ 30 ก.ย.และขออนุมัติ ก.ตร.เปิดตำแหน่งที่ปรึกษา สบ.10ติดยศ พล.ต.อ.ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นกรณีพิเศษแก่พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.ในขณะนั้นเพื่อเป็นเกียรติรองรับการเกษียณอายุราชการในปี 2559
การเปิดตำแหน่งปูนบำเหน็จความชอบให้กับเพื่อน นรต.31 ในฐานะโฆษกคู่บารมีได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่ที่สุดแล้วเสียงต้องเงียบไปแม้ตำรวจใหญ่หลายคนมองเห็นความไม่ชอบมาพากล และเป็นการเอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานแต่เพื่อความอยู่รอดจึงไม่มีใครกล้าหือ
คำถามข้อสำคัญจึงอยู่ที่ว่าการเปิดตำแหน่งเพื่อให้เพื่อนกินยศพล.ต.อ.แบบง่ายๆนี้ต้องมีระดับ “แรงส่งพิเศษ”เท่านั้นจึงจะไฟเขียวผ่านตลอด
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีตผบ.ตร. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.คนปัจจุบัน พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ.10 ที่กำลังลาพักร้อนและยืนยันจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติตามกำหนดคือวันที่ 2 พ.ย.หรือไม่อีกกี่วันที่จะถึงนี้ ท่านต้องยอมรับว่ามีความสนิทสนม รู้ไส้รู้พุง และถ้อยทีถ้อยอาศัยกันทุกเรื่องเพราะตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมานั้นคนในวงการ-นอกวงการต่างรู้กันดี
ไม่เว้นกระทั่งพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา แม้จะยศน้อย ตำแหน่งต่ำแต่การแอบอ้างเบื้องสูงรวมทั้งการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ไม่ธรรมดา เป็นขาใหญ่สีกากีอีกคนหนึ่ง ภาพแห่งความใก้ลชิดหรือการคบค้าสมาคมแบบเจ้านายกับลูกน้อง หรือเพื่อนๆพี่ๆท่านไม่อาจปฏิเสธได้ จนถือได้ว่า “สารวัตรเอี๊ยด”ก็คือคนวงในของขั้วอำนาจตำรวจในช่วงนั้นเช่นกัน
อย่างชัดเจนว่า ขบวนการเหลือบที่แอบอ้างเบื้องสูงที่ถูกจับกุมดำเนินคดีนั้น เกิดจากคำสั่งของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้สั่งให้ฝ่ายกฎหมายของกองทัพ เป็นผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ มองกันมุมนี้คนหน้าแตกคงไม่ต้องบอกว่าเป็นใครถ้าไม่ใช่นายๆ พี่ๆ “บิ๊กสีกากี” ทั้งนอกและในราชการที่เคยคบหากัน
สรุปว่าคดี “หมอหยอง -สารวัตรเอี๊ยด” ถ้าสาวกันจริงน่าจะมีใครอีกหลายคนนอนไม่หลับ หรือนั่งทำงานในห้องแอร์ยังเหงื่อแตก!?