xs
xsm
sm
md
lg

ขายBig capฉุดดัชนีรูดระบุLTF/RMFแรงสิ้นปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - แม้จะคาดการณ์ว่า FED จะไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่ตลาดการเงินทั่วโลกยังทรงตัวรอผลประชุมวันนี้ โดยหุ้นไทยหลุดแนวรับ 1420 จุดลงมา นักวิเคราะห์ระบุปรับฐานระยะสั้น คาดไตรมาสสุดท้ายดัชนีฟื้นจากแรงซื้อ RMF LTF เน้นเลือกลงทุนรายหุ้นเป็นหลัก ด้านบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งมองปีหน้าดัชนีอาจดีดสูงถึง 1,650 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่เริ่มเห็นเป็นรูปธรรม

ตลาดทุนสำคัญทั่วโลกยังคงผันผวนรอผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคากลางสหรัฐ หรือ FOMC ในช่วงเช้าวันนี้แม้นักเศรษฐศาสตร์จะคาดการณ์ว่าจะยังไม่มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ก็ตาม โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตร่วงลง 59.14 จุด หรือ 1.72% ปิดที่ 3,375.20 จุด ดัชนีฮั่งเส็งปิดตลาดปรับตัวลง 186.16 จุด หรือ 0.80% ปิดที่ 22,956.57 จุด ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 390.30 จุด หรือ 2.42% ปิดที่ 16492.68 จุด สอดคล้องกับดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 125.98 จุด หรือ 0.67% แตะที่ 18,903.02 จุด

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 28 ตุลาคม 58 ปิดที่ 1,409.26 จุด ลดลง 14.79 จุด เปลี่ยนแปลง -1.04% มูลค่าการซื้อขาย 51,825.52 ล้านบาท โดยระหว่างเทรดแตะจุดสูงสุดที่ 1,423.94 จุด และต่ำสุดที่ 1,407.02 จุด โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,031.10 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,660.43 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,074.50 ล้านบาท มีเพียงนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,766.03 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย สรุปภาพการลงทุนวานนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดวัน โดยมีแรงขายออกมาในหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวที่ปรับเพิ่มขึ้นมาโดดเด่นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีหลุดแนวรับจิตวืทยา 1420 จุดลงมา แต่ยังสามารถยืนเหนือ 1400 จุดได้อย่างแข็งแกร่ง

“ในรอบนี้จะสังเกตุเห็นแรงขายออกมาจากหุ้นกลุ่มที่ปรับเพิ่มขึ้นมาโดดเด่นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เช่น กลุ่มปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนั้น ยังเริ่มเห็นภาพการสลับหุ้นกันภายในกลุ่ม โดยหุ้นตัวไหนที่เหลือ Upside จำกัด จะเริ่มเห็นการถูกขาย และโยกไปซื้อหุ้นในกลุ่มเดียวกันที่ยัง Laggard และมี Upside ที่สูงมากกว่า รวมถึงหุ้นที่มีข่าวร้ายเฉพาะตัว เช่นบมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น” นักวิเคราะห์ กล่าว

พร้อมคาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวันนี้ (29 ต.ค.) ดัชนีฯ น่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ อาจมีรีบาวด์จากแรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาสเข้ามาหนุนดัชนีฯ กลยุทธ์ยังคงให้สะสมหุ้น PE ต่ำกว่าตลาด เช่น กลุ่มธนาคารฯ หุ้นที่ได้รับอานิสงฆ์นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่นกลุ่มรับเหมาฯ สินเชื่อส่วนบุคคล ค้าปลีก และ อสังหาฯ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ระบุ ระยะสั้นดัชนีหุ้นไทยอาจมีการย่อตัวลง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาขายสุทธิอีกครั้ง ขณะที่ฝั่งสถาบันยังคงอยู่ฝั่งขายสุทธิมากกว่าซื้อ ทำให้ภาพรวมดัชนีขาดปัจจัยสนับสนุนให้ฟื้นตัว อย่างไรก็ดีฝ่ายวิเคราะห์ฯ มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดในช่วงที่เหลือของปี หากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FOMC ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบนี้ และน่าจะเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยเป็นการประชุมรอบถัดไปคือ ธ.ค. 2558 หรือต้นปี 2559

ประกอบกับเป็นช่วงเวลาของกองทุน LTF RMF โดยประเมินคร่าวๆ ว่า น่าจะมีเม็ดเงินเข้าซื้อ LTF ในเดือน พ.ย. ราว 8.1 พันล้านบาท และเดือน ธ.ค. กว่า 2.7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นหากตลาดย่อตัวลงมาแถว 1,395-1,400 จุด มองเป็นโอกาสเข้าซื้ออีกครั้ง

ขณะที่นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET มองดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีกรอบบนอยู่ที่ 1,450 จุด เนื่องจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ รวมไปถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะยังไม่เห็นผลมากนักในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ปี 59 SET Index มีโอกาสขึ้นไปที่ระดับ 1,550 จุดในช่วงครึ่งปีแรก และในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,650 จุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่เริ่มเห็นเป็นรูปธรรม ประกอบกับ ปัจจัยภายนอกที่เริ่มคลี่คลายความกังวลลง

"มองว่าแนวโน้ม SET INDEX ในปีหน้าคาดว่าแนวรับ-แนวต้านจะเคลื่อนใหวจะอยู่ที่ประมาณ 1,550-1,650 จุด และ ต่ำสุดที่ 1,300 จุดตามลำดับ ทั้งนี้ต้องพิจารณาอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น หรือ EPS Growth ที่จะเติบโตขึ้นประกอบด้วย โดยคาดว่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 13% จากปีนี้ หุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นกลุ่มหลักที่กำหนดอัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนในอนาคต ได้แก่หุ้นกลุ่มพลังงาน" นายสุกิจ กล่าว

ในส่วนของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX ที่ควบรวมกับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือ AFET มองว่าจะเป็นผลดีต่อตลาดเนื่องจากจะทำให้วอลุ่มการเข้ามาลงทุนมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น และนักลงทุนในแต่ละตลาดสามารถเพิ่มทางเลือกในการลงทุนจากหลายๆผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น