ตลาดทุนโลกรีบาวนด์รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างเสถียรภาพของรัฐบาลจีน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศช่วยหนุน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนระวังแรงขายทำกำไรบริเวณแนวรับจิตวิทยา 1,395 จุด
วานนี้ (9 ส.ค.) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงคลังจีนแถลงนโยบายการคลังกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น พร้อมให้คำมั่นให้คำมั่นว่า จะยังคงลดการจัดเก็บภาษีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพิ่มจำนวนร้านค้าปลอดภาษีตามท่าเรือต่างๆ ตลอดจนยกระดับการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา SME ระดับประเทศ รวมทั้งกองทุนร่วมทุนด้านอุตสาหกรรมใหม่ๆ
ส่งผลให้ตลาดหุ้นสำคัญปิดตลาดปรับตัวขึ้นแรงทั่วหน้า นำโดยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดวันที่ 8 ก.ย. พุ่งขึ้น 390.30 จุด หรือ +2.42% ปิดที่ 16,492.68 จุด, ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดทะยานขึ้น +7.71% แตะที่ 18,770.51 จุด เพิ่มขึ้น1,343.43 จุด เป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.2537 และทะยานขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดวันนี้พุ่งสูงขึ้น 72.64 จุด หรือ +2.29% ปิดที่ 3,243.09 จุด ส่วนดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ 22,131.31 จุดเพิ่มขึ้น 872.27 จุด หรือ +4.10%
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันที่ 9 ส.ค.ไปที่ 1,396.29 จุด เพิ่มขึ้น 16.97 จุดเปลี่ยนแปลง +1.23% มูลค่าการซื้อขาย 46,002.76 ล้านบาท โดยแตะจุดสูงสุดที่ 1,398.57 จุด และต่ำสุดที่ 1,385.89 จุด
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด ตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า รับข่าวรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จากที่สภาปฏิรูปได้อนุมัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และทางจีนก็ยังมีการพัฒนาตลาดทุน โดยให้ความโปร่งใสบริษัทจดทะเบียนมากเพิ่มขึ้น และจะให้มีการเพิ่มมาร์เกตแคปด้วย ขณะที่ปัจจัยบวกในประเทศคือ รัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ และลดภาษีช่วยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME
“มองหุ้น Domestic Plays น่าสนใจ เพราะจะได้รับประโยชน์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ กลุ่มรับเหมาฯ เป็นต้น อีกทั้งมองว่าต่อไปก็คงจะมีการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ต่อไปด้วย” นายภาดล กล่าว พร้อมคาดความเคลื่อนไหวดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ไทยวันนี้ (10 ส.ค.) จะมีแนวรับอยู่ที่ 1,385 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,400 จุด
สอดคล้องต่อนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศผลักดันให้หุ้นในกลุ่มธนาคารปรับขึ้นนำตลาด ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาฯ ขณะที่กลุ่มพลังงานปรับขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่ทยอยฟื้นตัวหลังย่อลงแรง ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศมีทั้ง 1) ทางการจีนอนุมัติโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (รางรถไฟ) และ 2) นายกฯ ญี่ปุ่นประกาศให้ปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงอย่างน้อย 3.3% ในปี 2559
พร้อมคาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้ (10 ส.ค.) ดัชนีน่าจะยังเคลื่อนไหวในแดนบวกได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศก็มองว่าตลาดฯ น่าจะตอบรับน้อยลงหลังจากที่ได้ขึ้นตอบรับไปมากแล้ว โดยแนะนำให้เริ่มทยอยขายหุ้น Domestic Plays แต่มองว่าหุ้นที่น่าจะเข้าลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากดูท่าทีแล้วราคาน้ำมันน่าจะดีดกลับได้ และกลุ่มนี้ก็ Underperform ด้วย และยังสามารถลงทุนหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างบางตัว
“ยังพอจะมีเวลาให้เก็งกำไรกันอีก 2-3 วัน ตามบรรยากาศเชิงบวกที่เกิดขึ้นทั้งใน และนอกประเทศ แต่ควรระวังแรงขายทำกำไรในโซน 1,395 จุด” นักวิเคราะห์ กล่าว
วานนี้ (9 ส.ค.) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงคลังจีนแถลงนโยบายการคลังกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเข้มข้น พร้อมให้คำมั่นให้คำมั่นว่า จะยังคงลดการจัดเก็บภาษีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพิ่มจำนวนร้านค้าปลอดภาษีตามท่าเรือต่างๆ ตลอดจนยกระดับการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนา SME ระดับประเทศ รวมทั้งกองทุนร่วมทุนด้านอุตสาหกรรมใหม่ๆ
ส่งผลให้ตลาดหุ้นสำคัญปิดตลาดปรับตัวขึ้นแรงทั่วหน้า นำโดยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดวันที่ 8 ก.ย. พุ่งขึ้น 390.30 จุด หรือ +2.42% ปิดที่ 16,492.68 จุด, ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดทะยานขึ้น +7.71% แตะที่ 18,770.51 จุด เพิ่มขึ้น1,343.43 จุด เป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.2537 และทะยานขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2537
ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดวันนี้พุ่งสูงขึ้น 72.64 จุด หรือ +2.29% ปิดที่ 3,243.09 จุด ส่วนดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ 22,131.31 จุดเพิ่มขึ้น 872.27 จุด หรือ +4.10%
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันที่ 9 ส.ค.ไปที่ 1,396.29 จุด เพิ่มขึ้น 16.97 จุดเปลี่ยนแปลง +1.23% มูลค่าการซื้อขาย 46,002.76 ล้านบาท โดยแตะจุดสูงสุดที่ 1,398.57 จุด และต่ำสุดที่ 1,385.89 จุด
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง สรุปความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นกว่า 10 จุด ตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า รับข่าวรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จากที่สภาปฏิรูปได้อนุมัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และทางจีนก็ยังมีการพัฒนาตลาดทุน โดยให้ความโปร่งใสบริษัทจดทะเบียนมากเพิ่มขึ้น และจะให้มีการเพิ่มมาร์เกตแคปด้วย ขณะที่ปัจจัยบวกในประเทศคือ รัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ และลดภาษีช่วยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME
“มองหุ้น Domestic Plays น่าสนใจ เพราะจะได้รับประโยชน์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มแบงก์ กลุ่มรับเหมาฯ เป็นต้น อีกทั้งมองว่าต่อไปก็คงจะมีการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ต่อไปด้วย” นายภาดล กล่าว พร้อมคาดความเคลื่อนไหวดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ไทยวันนี้ (10 ส.ค.) จะมีแนวรับอยู่ที่ 1,385 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,400 จุด
สอดคล้องต่อนักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศผลักดันให้หุ้นในกลุ่มธนาคารปรับขึ้นนำตลาด ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาฯ ขณะที่กลุ่มพลังงานปรับขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่ทยอยฟื้นตัวหลังย่อลงแรง ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนจากต่างประเทศมีทั้ง 1) ทางการจีนอนุมัติโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (รางรถไฟ) และ 2) นายกฯ ญี่ปุ่นประกาศให้ปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงอย่างน้อย 3.3% ในปี 2559
พร้อมคาดการณ์ความเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้ (10 ส.ค.) ดัชนีน่าจะยังเคลื่อนไหวในแดนบวกได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศก็มองว่าตลาดฯ น่าจะตอบรับน้อยลงหลังจากที่ได้ขึ้นตอบรับไปมากแล้ว โดยแนะนำให้เริ่มทยอยขายหุ้น Domestic Plays แต่มองว่าหุ้นที่น่าจะเข้าลงทุนเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากดูท่าทีแล้วราคาน้ำมันน่าจะดีดกลับได้ และกลุ่มนี้ก็ Underperform ด้วย และยังสามารถลงทุนหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้างบางตัว
“ยังพอจะมีเวลาให้เก็งกำไรกันอีก 2-3 วัน ตามบรรยากาศเชิงบวกที่เกิดขึ้นทั้งใน และนอกประเทศ แต่ควรระวังแรงขายทำกำไรในโซน 1,395 จุด” นักวิเคราะห์ กล่าว