ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เกือบหลุด 1,300 จุดไปแล้ว สำหรับตลาดหุ้นไทย จากเหตุการณ์ “แบล็กมันเดย์” เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา เริ่มตั้งการปรับตัวดิ่งลงอย่างหนักของตลาดหุ้นดาวโจนส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม กว่า 530.94 จุด จากความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะปัญหาเศรษฐกิจจีน บวกกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ไม่มีความชัดเจนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และยิ่งขยับเข้าใกล้เดือนกันยายนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การปรับลดพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงลงทุน ถูกนำขึ้นมาพิจารณาเป็นทางเลือก จนนำมาแรงเทขายจำนวนมหาศาลในทุกตลาดหุ้น
เมื่อตลาดหุ้นเบอร์หนึ่งของโลกดิ่งเหว ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมส่งต่อมาถึงตลาดหุ้นต่างๆทั่วทุกมุมโลก อย่างหนีไม่พ้น จึงเป็นผลให้เมื่อผ่านพ้นวันหยุดสุดสัปดาห์และกลับมาซื้อขายเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ดัชนีในทุกตลาด
หุ้นจึงร่วงลงอย่างหนัก อาทิ ตลาดใหญ่ในเอเชีย อย่างดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดร่วงลง 895.15 จุด หรือกว่า 4% สู่ระดับ 18,540.68 จุด ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เช่นเดียวกับดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดดิ่งลง 1,158.05 จุด หรือ 5.17% ปิดที่ 21,251.57 จุด
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ก็หนีวังวนดังกล่าวไม่พ้น โดยดัชนีวิ่งในแนวลบตลอดวัน ปิดปรับตัวลดลงแรง 64.55 จุด หรือ 4.73% มาอยู่ที่ระดับ 1,301.06 จุด ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 6 เดือน และแรงเทขายในครั้งนี้ยังมาซึ่งยอดเทขายสุทธิหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีของนักลง ทุนต่างประเทศขยับขึ้นไปที่ 76,054.78 ล้านบาท
หากพิจารณาเพิ่มเติม ต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจก่อนว่า นี่คือทิศทางขาลงของตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน หลังจากก่อนหน้านี้มีนักวิเคราะห์หลายรายออกมาวิเคราะห์ว่าสภาพตลาดหุ้นไทย ที่ซื้อขายอยู่ในปัจจุบัน แม้จะปรับตัวลดลง แต่หากเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ราคาหุ้นไทยยังถือว่าเพียงและเทรดใน P/E ที่สูงเกินไป ....แต่ด้วยความคาดหวังที่ต่างเชื่อกันว่า ช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ดัชนีจะมีโอกาสฟื้นตัวมากขึ้น จากการลงทุนภาครัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้น และถือเป็นช่วงกำลังเข้าสู่ไฮซีซันของหลายธุรกิจสำคัญของประเทศ ทำให้สัญญาณเตือนดังกล่าวไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก....ท้ายที่สุดแรงมุ่งหวังดังกล่าวส่อเค้าดับลงนับตั้งแต่จีนประกาศลดค่าเงินหยวน เพื่อหวังพยุงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จนทำให้ค่าเงินบาทผันผวนหนัก และกดดันให้ตลาดหุ้นผันผวนในแดนลบ
เหมือนพายุที่ยังไม่สงบ ตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับพายุลูกใหม่ นั่นคือเหตุการณ์ลอบวางระเบิดสี่แยกราชประสงค์ที่นำไปสู่ความเสียหายใหญ่ หลวง และความเศร้าเสียใจของคนทั้งประเทศ และได้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งนับเป็นพระเอกของภาคเศรษฐกิจไทยในปีนี้ รวมไปถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยรวม หลายฝ่ายเชื่อว่าความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในจีน น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญต่อการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลกในครั้งนี้มากที่ สุด เพราะจีนถือเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีอัตราการเติบโตที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจจีนเกิดปัญหาและมาตรการต่างๆที่ทางการจีนเคยนำมาใช้ไม่สามารถ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ความวิตกที่เกิดขึ้นจึงได้นำพาแรงเทขายเข้ามากดดันตลาด เมื่อรวมกับความไม่ชัดเจนต่อการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง สหรัฐฯ (เฟด) ที่เดิมหลายต่อหลายคนเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงกันยายนนี้ ซึ่งนับวันยิ่งเข้าใกล้เข้ามาทุกที จึงกลายเป็นแรงผสมที่ช่วยเพิ่มแรงเทขายจำนวนมหาศาลออกมาในตลาดหุ้นหลาย ประเทศเพื่อลดความเสี่ยง
ไม่เพียงเท่านี้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยังกดดันให้ราคาน้ำมันดิ่งลงต่ำกว่า 40 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งนับเป็นปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี จึงมีผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้น และมีมาร์เกตแคป มากที่สุดปรับตัวลดลงหนัก กดดันภาพรวมทั้งตลาดร่วง
.....มีการประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก จากสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนค่า ตามสงครามค่าเงินที่ชาติมหาอำนาจพร้อมหยิบใช้เพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจของ ชาติตนเอง ซึ่งการอ่อนค่าดังกล่าวยิ่งเพิ่มแรงจูงใจต่อการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่าง ชาติเพื่อทำกำไรพิเศษจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นหากสถานการณ์นี้ยังไม่มีท่าทียุติ โอกาสในการปรับตัวลดลงของดัชนียังเปิดกว้าง แม้ปัจจุบันเรตอัตราค่าเงินบาทไทยจะใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี2540 มากขึ้นทุกทีก็ตาม
แต่ถ้าถามว่า นี่คือโอกาสสำหรับการเข้าซื้อหุ้นเพื่อสะสมไหม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวมากกว่า เพราะในระยะสั้นยังไม่พบสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน หรืออาจกล่าวได้ว่ายังไม่พบปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของดัชนี .... โดย “อาภาภรณ์ แสวงพรรค” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำว่า จากภาวะตลาดที่ค่อนข้างผันผวนในปัจจุบัน จึงแนะนำให้นักลงทุนปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยลดน้ำหนักการถือครองหุ้นจากปกติที่เคยแนะนำให้มีสัดส่วนราว 70% ของพอร์ตลง แล้วหันมาถือเงินสดเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนใน ทิศทางขาลง
เช่นเดียวกับ “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ซึ่งประเมินว่า ดัชนีฯ ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบต่อ เนื่องจากปัจจัยที่เข้ามากดดัน ทั้งเรื่องของตัวเลขภาคการผลิตของจีนและสหรัฐฯที่สะท้อนความเปราะบางของ เศรษฐกิจโลก ประกอบกับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานภายในประเทศ และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเข้ามากดดันเพิ่มเติม ดังนั้น นักลงทุนต้องเลือกหุ้นที่ปลอดภัยจากแรงขายและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า
เมื่อตลาดหุ้นเบอร์หนึ่งของโลกดิ่งเหว ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมส่งต่อมาถึงตลาดหุ้นต่างๆทั่วทุกมุมโลก อย่างหนีไม่พ้น จึงเป็นผลให้เมื่อผ่านพ้นวันหยุดสุดสัปดาห์และกลับมาซื้อขายเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ดัชนีในทุกตลาด
หุ้นจึงร่วงลงอย่างหนัก อาทิ ตลาดใหญ่ในเอเชีย อย่างดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดร่วงลง 895.15 จุด หรือกว่า 4% สู่ระดับ 18,540.68 จุด ต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกพากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เช่นเดียวกับดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดดิ่งลง 1,158.05 จุด หรือ 5.17% ปิดที่ 21,251.57 จุด
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ก็หนีวังวนดังกล่าวไม่พ้น โดยดัชนีวิ่งในแนวลบตลอดวัน ปิดปรับตัวลดลงแรง 64.55 จุด หรือ 4.73% มาอยู่ที่ระดับ 1,301.06 จุด ต่ำสุดในรอบ 1 ปี 6 เดือน และแรงเทขายในครั้งนี้ยังมาซึ่งยอดเทขายสุทธิหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีของนักลง ทุนต่างประเทศขยับขึ้นไปที่ 76,054.78 ล้านบาท
หากพิจารณาเพิ่มเติม ต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจก่อนว่า นี่คือทิศทางขาลงของตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน หลังจากก่อนหน้านี้มีนักวิเคราะห์หลายรายออกมาวิเคราะห์ว่าสภาพตลาดหุ้นไทย ที่ซื้อขายอยู่ในปัจจุบัน แม้จะปรับตัวลดลง แต่หากเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ราคาหุ้นไทยยังถือว่าเพียงและเทรดใน P/E ที่สูงเกินไป ....แต่ด้วยความคาดหวังที่ต่างเชื่อกันว่า ช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ดัชนีจะมีโอกาสฟื้นตัวมากขึ้น จากการลงทุนภาครัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้น และถือเป็นช่วงกำลังเข้าสู่ไฮซีซันของหลายธุรกิจสำคัญของประเทศ ทำให้สัญญาณเตือนดังกล่าวไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากนัก....ท้ายที่สุดแรงมุ่งหวังดังกล่าวส่อเค้าดับลงนับตั้งแต่จีนประกาศลดค่าเงินหยวน เพื่อหวังพยุงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จนทำให้ค่าเงินบาทผันผวนหนัก และกดดันให้ตลาดหุ้นผันผวนในแดนลบ
เหมือนพายุที่ยังไม่สงบ ตลาดหุ้นไทยยังต้องเผชิญกับพายุลูกใหม่ นั่นคือเหตุการณ์ลอบวางระเบิดสี่แยกราชประสงค์ที่นำไปสู่ความเสียหายใหญ่ หลวง และความเศร้าเสียใจของคนทั้งประเทศ และได้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งนับเป็นพระเอกของภาคเศรษฐกิจไทยในปีนี้ รวมไปถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยรวม หลายฝ่ายเชื่อว่าความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในจีน น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญต่อการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลกในครั้งนี้มากที่ สุด เพราะจีนถือเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีอัตราการเติบโตที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจจีนเกิดปัญหาและมาตรการต่างๆที่ทางการจีนเคยนำมาใช้ไม่สามารถ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ความวิตกที่เกิดขึ้นจึงได้นำพาแรงเทขายเข้ามากดดันตลาด เมื่อรวมกับความไม่ชัดเจนต่อการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง สหรัฐฯ (เฟด) ที่เดิมหลายต่อหลายคนเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงกันยายนนี้ ซึ่งนับวันยิ่งเข้าใกล้เข้ามาทุกที จึงกลายเป็นแรงผสมที่ช่วยเพิ่มแรงเทขายจำนวนมหาศาลออกมาในตลาดหุ้นหลาย ประเทศเพื่อลดความเสี่ยง
ไม่เพียงเท่านี้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยังกดดันให้ราคาน้ำมันดิ่งลงต่ำกว่า 40 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งนับเป็นปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี จึงมีผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้น และมีมาร์เกตแคป มากที่สุดปรับตัวลดลงหนัก กดดันภาพรวมทั้งตลาดร่วง
.....มีการประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก จากสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อนค่า ตามสงครามค่าเงินที่ชาติมหาอำนาจพร้อมหยิบใช้เพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจของ ชาติตนเอง ซึ่งการอ่อนค่าดังกล่าวยิ่งเพิ่มแรงจูงใจต่อการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่าง ชาติเพื่อทำกำไรพิเศษจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นหากสถานการณ์นี้ยังไม่มีท่าทียุติ โอกาสในการปรับตัวลดลงของดัชนียังเปิดกว้าง แม้ปัจจุบันเรตอัตราค่าเงินบาทไทยจะใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี2540 มากขึ้นทุกทีก็ตาม
แต่ถ้าถามว่า นี่คือโอกาสสำหรับการเข้าซื้อหุ้นเพื่อสะสมไหม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวมากกว่า เพราะในระยะสั้นยังไม่พบสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน หรืออาจกล่าวได้ว่ายังไม่พบปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของดัชนี .... โดย “อาภาภรณ์ แสวงพรรค” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) แนะนำว่า จากภาวะตลาดที่ค่อนข้างผันผวนในปัจจุบัน จึงแนะนำให้นักลงทุนปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยลดน้ำหนักการถือครองหุ้นจากปกติที่เคยแนะนำให้มีสัดส่วนราว 70% ของพอร์ตลง แล้วหันมาถือเงินสดเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนใน ทิศทางขาลง
เช่นเดียวกับ “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ซึ่งประเมินว่า ดัชนีฯ ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบต่อ เนื่องจากปัจจัยที่เข้ามากดดัน ทั้งเรื่องของตัวเลขภาคการผลิตของจีนและสหรัฐฯที่สะท้อนความเปราะบางของ เศรษฐกิจโลก ประกอบกับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานภายในประเทศ และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเข้ามากดดันเพิ่มเติม ดังนั้น นักลงทุนต้องเลือกหุ้นที่ปลอดภัยจากแรงขายและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่า