ASTV ผู้จัดการรายวัน - บาทอ่อน น้ำมันร่วง เหตุรุนแรงทั้งใน-ต่างประเทศกดดัชนีหุ้นไทยร่วง ขณะที่ราคาทองพุ่งรับวิกฤต นักวิเคราะห์คาดดัชนี้สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ1,350 - 1,375 จุด ยังคงแนะนำเข้าซื้อสะสมบริเวณแนวรับ เน้นเก็บรายตัว กลุ่มรับเหมาะก่อสร้าง กลุ่มพลังงานที่ราคาอ่อนคงมารับปัจจัยพื้นฐาน
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558 ไปที่ 1,365.61 จุด ลดลง 6.92 จุด เปลี่ยนแปลง -0.50% มูลค่าการซื้อขาย 42,795.14 ล้านบาท โดยระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,369.84 จุด และต่ำสุดที่ 1,357.90 จุด สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,269.35 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 772.94 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 421.32 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,620.98 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาพความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ก่อนปรับลดลงต่อเนื่องเกือบตลอดสัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับลดค่าเงินหยวนของจีน, ความกังวลจากเหตุวางระเบิดในกรุงเทพฯ ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นขึ้นเล็กน้อยในวันพุธจากมุมมองเชิงบวกต่อการปรับคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับลงต่อช่วงท้ายสัปดาห์ตามการร่วงลงของหุ้นพลังงาน และความกังวลต่อเศรษฐกิจประเทศในเอเชีย ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท สัปดาห์นี้ (24-28 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดการณ์ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,350 - 1,375 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม คงได้แก่ สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในเอเชีย
นายยศพล แสงนิล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ประเมินทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ จะยังคงแกว่งตัวในแดนลบ จากปัจจัยกดดันต่างประเทศ คือ เศรษฐกิจจีน และ ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่เริ่มรุนแรงขึ้นจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงรอความชัดเจนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FOMC ประจำเดือนก.ย.2558 นี้
ขณะที่ปัจจัยบวกยังคงเป็นความคาดหวังการทำงานของทีมเศรษฐกิจชุดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ควมถึงคาดหวังเม็ดเงินจากโครงการ เมกะโปรเจค ที่จะอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างขยายตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงนโยบายการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้เติบโตได้ในอนาคต กลยุทธ์การลงทุน แนะเข้าซื้อช่วงดัชนีเข้าใกล้แนวรับที่ 1,350 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,400 จุด สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราปันผลสูง
ขณะที่นายนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ คาดว่าจะได้เห็นการรีบาวด์ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับ จากเหตุการณ์ปะทะบนคาบสมุทรเกาหลี และราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT ก็ราคาปรับลงจนใกล้เคียงกับราคาตามมูลค่าพื้นฐาน (Book value) จึงเหมาะที่จะเป็นจังหวะการซื้อกลับของนักลงทุน อีกทั้งจะมีกองทุนรวมทริกเกอร์ฟันด์ (Trigger fund) ออกใหม่ อีก 2 กองทุน ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยช่วยสนับสนุนให้ดัชนีฯ ฟื้นตัว
กลยุทธ์การลงทุน แนะหาจังหวะซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานเมื่อราคาอ่อนตัว เพื่อหวังการรีบาวด์ช่วงสั้น และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับครม.ชุดใหม่ พร้อมกับประเมินแนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,380-1,385 จุด
นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุราคาทองคำมีแนวโน้มจะขยับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,173 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากปัจจัยบวกทั้งความกังวลในเศรษฐกิจจีน และความรุนแรงในคาบสมุทรเกาหลี อย่างไรก็ตามขณะที่ราคากำลังเร่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,166 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจเผชิญแรงขายทำกำไรจนราคาอ่อนตัวกลับลงไป นักลงทุนยังสามารถเข้าซื้อ - ขายบริเวณแนวรับ แนวต้านได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนนักลงทุนระยะกลางคงต้องรอการย่อตัวและการตั้งฐานของราคาทองคำได้อย่างแข็งแกร่งจึงเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติม
“จากความวิตกที่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะทำให้ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงด้วย เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการไหลออกของเงินทุนรอบใหม่ที่เกิดขึ้นจากหยวนที่อ่อนค่าลงอย่างหนักหลังจากจีนได้ลดค่าเงินหยวน และนั่นทำให้สกุลเงินและหุ้นในภูมิภาคร่วงลงมากขึ้น ถือเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น” นายวรุต กล่าว
ขณะเดียวกันแนะนำนักลงุทนจับตาความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในประเทศ เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่ที่ 35.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับการเทขายสกุลเงินในเอเชีย และสกุลเงินของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อื่นๆ นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากสถานะขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติหลังเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ในช่วงต้นสัปดาห์ สำหรับในวันศุกร์ (21 ส.ค.) เงินบาทฟื้นตัวจากระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 ปีมาปิดตลาดที่ 35.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2558 ไปที่ 1,365.61 จุด ลดลง 6.92 จุด เปลี่ยนแปลง -0.50% มูลค่าการซื้อขาย 42,795.14 ล้านบาท โดยระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ 1,369.84 จุด และต่ำสุดที่ 1,357.90 จุด สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,269.35 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 772.94 ล้านบาท ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 421.32 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,620.98 ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปภาพความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย สัปดาห์ก่อนปรับลดลงต่อเนื่องเกือบตลอดสัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากการปรับลดค่าเงินหยวนของจีน, ความกังวลจากเหตุวางระเบิดในกรุงเทพฯ ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นขึ้นเล็กน้อยในวันพุธจากมุมมองเชิงบวกต่อการปรับคณะรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ดัชนีปรับลงต่อช่วงท้ายสัปดาห์ตามการร่วงลงของหุ้นพลังงาน และความกังวลต่อเศรษฐกิจประเทศในเอเชีย ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท สัปดาห์นี้ (24-28 ส.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย คาดการณ์ดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,350 - 1,375 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม คงได้แก่ สถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในเอเชีย
นายยศพล แสงนิล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ประเมินทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ จะยังคงแกว่งตัวในแดนลบ จากปัจจัยกดดันต่างประเทศ คือ เศรษฐกิจจีน และ ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่เริ่มรุนแรงขึ้นจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงรอความชัดเจนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FOMC ประจำเดือนก.ย.2558 นี้
ขณะที่ปัจจัยบวกยังคงเป็นความคาดหวังการทำงานของทีมเศรษฐกิจชุดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ควมถึงคาดหวังเม็ดเงินจากโครงการ เมกะโปรเจค ที่จะอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างขยายตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงนโยบายการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้เติบโตได้ในอนาคต กลยุทธ์การลงทุน แนะเข้าซื้อช่วงดัชนีเข้าใกล้แนวรับที่ 1,350 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,400 จุด สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราปันผลสูง
ขณะที่นายนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ คาดว่าจะได้เห็นการรีบาวด์ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับ จากเหตุการณ์ปะทะบนคาบสมุทรเกาหลี และราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT ก็ราคาปรับลงจนใกล้เคียงกับราคาตามมูลค่าพื้นฐาน (Book value) จึงเหมาะที่จะเป็นจังหวะการซื้อกลับของนักลงทุน อีกทั้งจะมีกองทุนรวมทริกเกอร์ฟันด์ (Trigger fund) ออกใหม่ อีก 2 กองทุน ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยช่วยสนับสนุนให้ดัชนีฯ ฟื้นตัว
กลยุทธ์การลงทุน แนะหาจังหวะซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานเมื่อราคาอ่อนตัว เพื่อหวังการรีบาวด์ช่วงสั้น และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับครม.ชุดใหม่ พร้อมกับประเมินแนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,380-1,385 จุด
นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุราคาทองคำมีแนวโน้มจะขยับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,173 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากปัจจัยบวกทั้งความกังวลในเศรษฐกิจจีน และความรุนแรงในคาบสมุทรเกาหลี อย่างไรก็ตามขณะที่ราคากำลังเร่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,166 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจเผชิญแรงขายทำกำไรจนราคาอ่อนตัวกลับลงไป นักลงทุนยังสามารถเข้าซื้อ - ขายบริเวณแนวรับ แนวต้านได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนนักลงทุนระยะกลางคงต้องรอการย่อตัวและการตั้งฐานของราคาทองคำได้อย่างแข็งแกร่งจึงเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติม
“จากความวิตกที่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะทำให้ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงด้วย เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการไหลออกของเงินทุนรอบใหม่ที่เกิดขึ้นจากหยวนที่อ่อนค่าลงอย่างหนักหลังจากจีนได้ลดค่าเงินหยวน และนั่นทำให้สกุลเงินและหุ้นในภูมิภาคร่วงลงมากขึ้น ถือเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น” นายวรุต กล่าว
ขณะเดียวกันแนะนำนักลงุทนจับตาความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในประเทศ เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่ที่ 35.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับการเทขายสกุลเงินในเอเชีย และสกุลเงินของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อื่นๆ นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากสถานะขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติหลังเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ในช่วงต้นสัปดาห์ สำหรับในวันศุกร์ (21 ส.ค.) เงินบาทฟื้นตัวจากระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 ปีมาปิดตลาดที่ 35.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ