xs
xsm
sm
md
lg

แนะจังหวะเข้าเก็บหุ้นรายตัว และทยอยซื้อสะสมกลุ่มรับเหมา-พลังงาน ที่ราคาอ่อนลงมารับปัจจัยพื้นฐาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บาทอ่อน น้ำมันร่วง เหตุรุนแรงทั้งใน-ต่างประเทศกดดัชนีหุ้นไทยร่วง ขณะที่ราคาทองพุ่งรับวิกฤต นักวิเคราะห์คาดดัชนีสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,350-1,375 จุด ยังคงแนะนำเข้าซื้อสะสมบริเวณแนวรับ เน้นเก็บรายตัว กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มพลังงานที่ราคาอ่อนคงมารับปัจจัยพื้นฐาน

นายยศพล แสงนิล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ประเมินทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (24-28 ส.ค.) โดยมองว่า ดัชนีหุ้นไทยจะยังคงแกว่งตัวในแดนลบจากปัจจัยกดดันต่างประเทศ คือ เศรษฐกิจจีน และราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลง รวมถึงความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ที่เริ่มรุนแรงขึ้น จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมถึงรอความชัดเจนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FOMC ประจำเดือน ก.ย.2558 นี้

ขณะที่ปัจจัยบวกยังคงเป็นความคาดหวังการทำงานของทีมเศรษฐกิจชุด นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ควมถึงคาดหวังเม็ดเงินจากโครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มรับเหมาก่อสร้างขยายตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงนโยบายการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SME) ให้เติบโตได้ในอนาคต กลยุทธ์การลงทุน แนะเข้าซื้อช่วงดัชนีเข้าใกล้แนวรับที่ 1,350 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,400 จุด สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราปันผลสูง

ขณะที่ นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ คาดว่าจะได้เห็นการรีบาวนด์ ด้วยแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะมีแรงซื้อกลับจากเหตุการณ์ปะทะบนคาบสมุทรเกาหลี และราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่าง PTT ก็ราคาปรับลงจนใกล้เคียงกับราคาตามมูลค่าพื้นฐาน (Book value) จึงเหมาะที่จะเป็นจังหวะการซื้อกลับของนักลงทุน อีกทั้งจะมีกองทุนรวมทริกเกอร์ ฟันด์ (Trigger fund) ออกใหม่ อีก 2 กองทุน ที่น่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยช่วยสนับสนุนให้ดัชนีฯ ฟื้นตัว

กลยุทธ์การลงทุน แนะหาจังหวะซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานเมื่อราคาอ่อนตัว เพื่อหวังการรีบาวนด์ช่วงสั้น และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับ ครม.ชุดใหม่ พร้อมกับประเมินแนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,380-1,385 จุด

นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุราคาทองคำมีแนวโน้มจะขยับขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,173 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากปัจจัยบวกทั้งความกังวลในเศรษฐกิจจีน และความรุนแรงในคาบสมุทรเกาหลี อย่างไรก็ตาม ขณะที่ราคากำลังเร่งตัวขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,166 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจเผชิญแรงขายทำกำไรจนราคาอ่อนตัวกลับลงไป นักลงทุนยังสามารถเข้าซื้อ-ขายบริเวณแนวรับ แนวต้านได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนนักลงทุนระยะกลางคงต้องรอการย่อตัว และการตั้งฐานของราคาทองคำได้อย่างแข็งแกร่งจึงเข้าสะสมทองคำเพิ่มเติม

“จากความวิตกที่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงด้วย เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับการไหลออกของเงินทุนรอบใหม่ที่เกิดขึ้นจากหยวนที่อ่อนค่าลงอย่างหนักหลังจากจีนได้ลดค่าเงินหยวน และนั่นทำให้สกุลเงิน และหุ้นในภูมิภาคร่วงลงมากขึ้น ถือเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น” นายวรุต กล่าว

ขณะเดียวกัน แนะนำนักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทในประเทศ เนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทร่วงแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่ที่ 35.73 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องต่อการเทขายสกุลเงินในเอเชีย และสกุลเงินของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อื่นๆ นอกจากนี้ เงินบาทยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากสถานะขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติหลังเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ในช่วงต้นสัปดาห์ สำหรับในวันศุกร์ (21 ส.ค.) เงินบาทฟื้นตัวจากระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 ปี มาปิดตลาดที่ 35.63 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น