“สุกิจ” ชี้แนวโน้ม GDP ไทยปีหน้าอาจฟื้นตัวแตะ 3.5% เหตุรัฐเดินหน้าโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ ชี้หุ้นไทยหากฟื้นตัวอาจแตะ 1,650 จุด แนะนักลงทุนจับตาตลาดทุนจีนผันผวนกระทบเม็ดเงินไหลเข้าไทย
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนในปีหน้า 2559 คาดว่าจะดีกว่าปีนี้ จากการที่รัฐบาลได้เดินหน้าโครงการต่างๆ ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยในระดับล่าง เพื่อให้มีสภาพคล่องของเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับที่ดีขึ้น
ขณะที่ในส่วนของภาคกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารยังคงต้องพิจารณาในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นหลัก ซึ่งจะต้องมีการประเมินเป็นรายไตรมาสต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหุ้นบริษัทฯ ที่มีผลประกอบการเติบโตในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด และก็มีแนวโน้มที่จะโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต หรือ Growth Stock ก็ยังคงเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากมีการเติบโตที่มั่นคง ในขณะที่หุ้นประเภท Blue Chip ยังคงเป็นหุ้นที่มีความผันผวนอยู่สูง เนื่องจากยังคงต้องอิงกับเงินทุนจากนักลงทุนต่างประเทศเป็นหลัก โดยจะต้องพิจารณาเม็ดเงินจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาในประเทศ ช่วงครึ่งหลังของปี 2559 ซึ่งหากไม่มีการใหลเข้ามาของเงินทุนต่างชาติ และสภาพคล่องของตลาดในขณะนั้นก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก
“มองว่าแนวโน้ม SET INDEX ในปีหน้าคาดว่าแนวรับ-แนวต้านจะเคลื่อนใหวจะอยู่ที่ประมาณ 1,550-1,650 จุด และ ต่ำสุดที่ 1,300 จุดตามลำดับ ทั้งนี้ จุดที่จะทำให้ดัชนี SET INDEX นอกเหนือจากนี้จะต้องพิจารณาในส่วนของอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น หรือ EPS Growth ที่จะเติบโตจากขึ้นโดยคาดว่าจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 13% จากปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นกลุ่มหลักที่กำหนดอัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนในอนาคตนั้น ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงอย่างมากแล้ว ซึ่งมองว่ากลุ่มพลังงานลดลงถึงจุดต่ำสุดแล้ว โดยคาดว่าผู้ประกอบการธุรกิจกลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเคมีจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้”
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในปีหน้า มองว่า นักลงทุนควรเน้นจับตาเศรษฐกิจในประเทศจีนเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศจีนจะปรับตัวลดลงเหลือประมาณ 6% ขณะที่ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ
นอกจากนี้ ในส่วนของความเชื่อมั่นในการลงทุน คาดว่าจะมีส่วนหนึ่งที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขาดความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากว่ายังไม่มีความชัดเจนด้านการเมือง เพราะยังไม่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้กลุ่มทุนที่ยึดติดกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีความลังเลที่จะเข้ามาลงทุน ซึ่งหากนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย มองว่าจะเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ธนาคาร หรือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นพิเศษ หรือหุ้นใหญ่ในกลุ่ม SET50
ขณะที่อานิสงส์ที่เปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน มองว่า ไทยจะได้ประโยชน์ โดยพิจารณาเทียบกับความพร้อม และศักยภาพของประเทศไทยเทียบกับกลุ่มประเทศยูโร ซึ่งเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ขณะที่หุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ได้แก่ กลุ่มอุตฯ ยานยนต์ แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ได้เติบโตอย่างชัดเจน แต่ยังคงมีศักยภาพ แต่ทั้งนี้ก็ยังคงอ้างอิงต่อปัจจัยความต้องการในตลาดโลกเป็นหลัก ซึ่งมีวัฏจักรที่ขึ้นลง นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มบริโภคคาดว่าจะปรับตัวเริ่มดีขึ้น ตามแนวโน้มของ GDP ที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวและบริการคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างโดดเด่น เนื่องจากเมื่อมีการเปิดเขตการค้าเสรี ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวมีความสะดวก และรวดเร็วมากขึ้น และส่งผลไปยังกลุ่มขนส่ง และโรงแรมที่จะได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ส่วนกลุ่มสุขภาพ และโรงพยาบาล ซึ่งประเทศไทยมีความได้เปรียบในเรื่องคุณภาพ และได้รับความนิยมจากต่างประเทศที่เข้ามาใช้บริการ แต่ในทางกลับกัน มองว่าราคาของหุ้นกลุ่มนี้ที่เริ่มแพงขึ้น อาจไม่มีความดึงดูดใจในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนในอนาคต
ในส่วนของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX ที่ควบรวมกับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือ AFET มองว่าจะเป็นผลดีต่อตลาดเนื่องจากจะทำให้วอลุ่มการเข้ามาลงทุนมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น และนักลงทุนในแต่ละตลาดสามารถเพิ่มทางเลือกในการลงทุนจากหลายๆ ผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย