ตลาดหุ้นยังผันผวนไม่ตอบรับกระแสธนาคารกลางจีนจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย และสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงแล้วก็ตาม โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ร่วงลง -1.27% ดาวโจนส์ ปรับลดลง -1.29% ดัชนีฮั่งเส็ง ลดลง -1.52% และหุ้นไทย ปิดตลาดปรับตัวลดลง -0.29% ขณะที่ดัชนีนิกเกอิ ปิดพุ่งขึ้น +3.20%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.6% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.25% เหลือ 1.75% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วานนี้ นอกจากนี้ ยังได้ได้ปรับลด RRR ลง 0.50% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 ก.ย.
นายจู เป่าเลี่ยง นักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์สารสนเทศแห่งรัฐของจีน หรือ SIC เปิดเผยว่า จีนสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2558 ที่ประมาณ 7% เนื่องจากจีนมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัว ประกอบด้วย อุปสงค์มหาศาลภายในประเทศ อุตสาหกรรมการบริการที่ขยายตัวขึ้น และความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการดำเนินการปฏิรูป
“ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นความพยายามที่จะบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้น และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง” นายจู กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวานนี้ (26 ส.ค.) ร่วงลง 37.68 จุด หรือ -1.27% ปิดที่ 2,927.29 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของจีน แม้ว่าธนาคารกลางจีนจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย และสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงแล้วก็ตาม เช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดเมื่อวานนี้ (25 ส.ค. 58) ปรับลดลง 204.91 จุด หรือ -1.29% ปิดที่ 15,666.44 จุด เช่นเดียวดัชนีฮั่งเส็ง ลดลง 324.57 จุด หรือ -1.52% ปิดที่ 21,080.39 จุด มีเพียงดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดทะยานขึ้นแตะที่ 18,376.83 จุด เพิ่มขึ้น 570.13 จุด หรือ +3.20% รับข่าวธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าการลดอัตราดอกเบี้ย และสัดส่วนการกันสำรองอาจจะสร้างแรงกดดันให้แก่เงินหยวนมากขึ้น รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใช้วัตถุดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวานนี้ไปที่ 1,320.08 จุด ลดลง 3.80 จุด เปลี่ยนแปลง 0.29% มูลค่าการซื้อขาย 45,888.89 ล้านบาท นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่กรุ๊ป ระบุแม้ช่วงเช้าดึชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นสอดคล้องต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ตอบรับผลดีจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เผชิญแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อยตลอดช่วงบ่ายจนปิดตลาดปรับตัวลงไป -0.29%
พร้อมคาดวันนี้ (27 ส.ค.) ตลาดหุ้นไทยจะยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,320-1,340 จุด นายรณกฤตแนะนำสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สามารถเข้าเก็งกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งจุดขาดทุนไว้ทุกครั้ง ผู้ต้องการลดการถือหุ้นใช้จังหวะขายเพิ่มการถือครองเงินสด
“แม้จะอ่อนตัวลงมาทดสอบ 1,320 จุด แต่เราคาดตลาดมีโอกาสฟื้นขึ้นทดสอบกรอบบน 1,340-1,360 จุด การเก็งกำไรเน้นกลุ่มที่ปรับลดลงมามากในช่วงก่อนหน้า หุ้นปันผล หรือหุ้นที่มี valuation ไม่แพง การเก็งกำไรกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ควรใช้ความระมัดระวัง และตั้งจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง”
ขณะที่ บล.ธนชาต แนะกลยุทธ์ “ซื้อ” แบบจำกัดวงเงินในจังหวะ Rebound ไปก่อนจนกว่าจะสามารถยืนได้เหนือ 1,340 จุด โดยมีกลุ่มหุ้นเด่นที่ได้รับผลดีจากการกระตุ้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมไปถึงค่าเงินบาทอ่อนค่าลง อย่าง 1.กลุ่มรับเหมาฯ 2.กลุ่มค้าปลีก 3.กลุ่มที่ได้รับผลดีจากค่าเงินบาทอ่อน เป็นต้น
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 1 ปี ลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.6% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.25% เหลือ 1.75% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วานนี้ นอกจากนี้ ยังได้ได้ปรับลด RRR ลง 0.50% โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 ก.ย.
นายจู เป่าเลี่ยง นักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์สารสนเทศแห่งรัฐของจีน หรือ SIC เปิดเผยว่า จีนสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2558 ที่ประมาณ 7% เนื่องจากจีนมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยปัจจัยที่เอื้อต่อการขยายตัว ประกอบด้วย อุปสงค์มหาศาลภายในประเทศ อุตสาหกรรมการบริการที่ขยายตัวขึ้น และความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการดำเนินการปฏิรูป
“ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นความพยายามที่จะบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้น และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง” นายจู กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีนปิดตลาดวานนี้ (26 ส.ค.) ร่วงลง 37.68 จุด หรือ -1.27% ปิดที่ 2,927.29 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจของจีน แม้ว่าธนาคารกลางจีนจะประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย และสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ลงแล้วก็ตาม เช่นเดียวกับดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดเมื่อวานนี้ (25 ส.ค. 58) ปรับลดลง 204.91 จุด หรือ -1.29% ปิดที่ 15,666.44 จุด เช่นเดียวดัชนีฮั่งเส็ง ลดลง 324.57 จุด หรือ -1.52% ปิดที่ 21,080.39 จุด มีเพียงดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดทะยานขึ้นแตะที่ 18,376.83 จุด เพิ่มขึ้น 570.13 จุด หรือ +3.20% รับข่าวธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าการลดอัตราดอกเบี้ย และสัดส่วนการกันสำรองอาจจะสร้างแรงกดดันให้แก่เงินหยวนมากขึ้น รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใช้วัตถุดิบรายใหญ่ที่สุดในโลก
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดตลาดวานนี้ไปที่ 1,320.08 จุด ลดลง 3.80 จุด เปลี่ยนแปลง 0.29% มูลค่าการซื้อขาย 45,888.89 ล้านบาท นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่กรุ๊ป ระบุแม้ช่วงเช้าดึชนีหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นสอดคล้องต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ที่ตอบรับผลดีจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เผชิญแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อยตลอดช่วงบ่ายจนปิดตลาดปรับตัวลงไป -0.29%
พร้อมคาดวันนี้ (27 ส.ค.) ตลาดหุ้นไทยจะยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,320-1,340 จุด นายรณกฤตแนะนำสำหรับผู้รับความเสี่ยงได้สามารถเข้าเก็งกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งจุดขาดทุนไว้ทุกครั้ง ผู้ต้องการลดการถือหุ้นใช้จังหวะขายเพิ่มการถือครองเงินสด
“แม้จะอ่อนตัวลงมาทดสอบ 1,320 จุด แต่เราคาดตลาดมีโอกาสฟื้นขึ้นทดสอบกรอบบน 1,340-1,360 จุด การเก็งกำไรเน้นกลุ่มที่ปรับลดลงมามากในช่วงก่อนหน้า หุ้นปันผล หรือหุ้นที่มี valuation ไม่แพง การเก็งกำไรกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ควรใช้ความระมัดระวัง และตั้งจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง”
ขณะที่ บล.ธนชาต แนะกลยุทธ์ “ซื้อ” แบบจำกัดวงเงินในจังหวะ Rebound ไปก่อนจนกว่าจะสามารถยืนได้เหนือ 1,340 จุด โดยมีกลุ่มหุ้นเด่นที่ได้รับผลดีจากการกระตุ้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมไปถึงค่าเงินบาทอ่อนค่าลง อย่าง 1.กลุ่มรับเหมาฯ 2.กลุ่มค้าปลีก 3.กลุ่มที่ได้รับผลดีจากค่าเงินบาทอ่อน เป็นต้น