**เข้าโหมดดรามาชัดขึ้นเรื่อยๆ สำหรับยุทธศาสตร์ลุกขึ้นสู้ของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในราย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขุนตัวสุดท้ายของตระกูลชินวัตร หลังออกมาร้องแรกแหกกระเชอในคดีโครงการรับจำนำข้าวทุกสนาม ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง หรือคดีอาญา หลักใหญ่ใจความเน้นไปที่กระบวนการยุติธรรมที่ดูเหมือนตัวเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จนกลายเป็นซีนอารมณ์ผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัวคนเดียว กำลังถูกผู้ชายที่มีอำนาจรัฐรังแก ไล่ต้อนกันจนมุม แทบจะไม่มีที่ยืน
ยามนี้เป็นแค่ฟืนยังไม่ถึงกับจุดติด แต่ก็มีช็อตต่อเนื่องเกิดขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย หลังมีกระแสสงสาร อยากจะลงขันกันช่วย ยิ่งลักษณ์จ่ายค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว คนละเล็กคนละน้อย เพราะเห็นอกเห็นใจ ที่อุตส่าห์เป็นแม่พระถลุงเงินคลังไปช่วยชาวนาแท้ๆ แต่กลับต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เพราะทำประเทศเจ๊งหลายแสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการนัดหมายกันสวมเสื้อสีแดงให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 1 พ.ย. พ้นจากคืนปล่อยผี วันเดียว
มามุกนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ลิ้นจุกคอเหมือนกัน นอกจากโยนให้เป็นดุลยพินิจของประชาชนแล้ว แทบจะทำอย่างอื่นไม่ได้เลย หากเที่ยวไปโพนทะนาสั่งห้ามแต่งกายสีแดง ดูจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนย่อมๆ อยู่เหมือนกัน เพราะขนาดแค่ใส่เสื้อสีอะไร ยังไม่ได้รับอิสรภาพในประเทศนี้ จะถูกคนนินทาหมาดูถูกว่าอุดปากอุดจมูกกันเกินไป อีกทั้งภาพจะออกมาในลักษณะใจคับแคบมากกว่าป้องกันการปลุกระดม จะเป็นปมให้ถูกไปประชดประชันในสังคม
แม้จะรู้ว่า เจตนาเรื่องนี้มันมีนัยอะไรในกอไผ่แน่ แต่ก็จะเข้าไปแตะต้องอะไรลำบาก หากเข้าไปบล็อกมากๆ จากที่เรื่องเบาๆ จะเป็นเรื่องใหญไปเสียฉิบ กลายเป็นกระแสให้คนแห่กันใส่เสื้อแดง บางคนไม่ใช่เพราะต้องการปกป้อง ยิ่งลักษณ์ แต่เพราะต้องท้าทาย หรือตอบโต้รัฐ ที่จำกัดเสรีภาพในการใส่เสื้อ โดยเฉพาะสงครามโซเชียลมีเดีย ที่กำลังเป็นอีกอาวุธหนึ่งของฝ่ายต่อต้าน จะหยิบประเด็นนี้ไปเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ วิจารณ์ความเป็นเผด็จการกันให้แซ่ด
เข้าไปโพล่งตรงๆ ไม่ได้ ก็อยู่ที่รัฐจะรับมือยุทธศาสตร์เรียกคะแนนสงสารจากฝ่ายตรงข้ามอย่างไร เพราะก็มีบทเรียนเรื่องนี้มาแล้ว สมัยคดีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อ ที่งัดแคมเปญขอความเห็นใจจากประชาชน จนลุกพรึ่บมาปกป้อง เปลี่ยนทักษิณ จากคนโกงกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในพริบตา
นอกจากยุทธวิธีรับมือของฝ่ายตรงข้าม อีกจุดที่จะทำให้กระแสไม่ลุกลามบานปลาย ไม่กลายเป็นไฟลามทุ่ง รัฐจะต้องคลีนกับทุกกระบวนการที่ดำเนินการกับฝ่ายเพื่อไทย ไม่มีจุดอ่อนให้ถูกหยิบเอาไปล่อเป้าว่า เป็นการปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน ไม่เร่งรีบ หรือล่าช้าจนเกินงาม ไม่งึกๆ งักๆ กลับไปกลับมา จนทำให้เกิดความสงสัยว่า จงใจเล่นงานใครคนใดคนหนึ่งแบบเจาะจง
**ฉากบู๊ตอนนี้ระหว่างรัฐบาลทหารกับฝ่ายอำนาจเก่า เป็นการสู้กันคนละมิติ ฝ่ายรัฐบาลพยายามใช้กฎหมายเข้าสู้แบบสุดซอย ส่วนอีกฝ่ายกำลังสวนหมัดด้วยธีมดราม่า ขอความเห็นใจ ก็อยู่ที่ใครจะโน้มน้าวชี้แจงให้ประชาชนเชื่อในแนวทางของตัวเองได้มากกว่ากัน
คำว่าสองมาตรฐาน มันจุดติดง่ายในสังคมไทย กับนิสัยคนไทยที่มักเห็นอกเห็นใจคนถูกกระทำมากกว่าคนกระทำ ถ้ามีรอยตำหนิให้เห็นว่า กระบวนการดำเนินกับอีกฝั่งมีความไม่ชอบมาพากล เรื่องนี้จุดติดเอาได้เหมือนกัน แม้แต่ “12คดีค่าโง่” ที่รัฐบาลมอบหมายให้ซือแป๋กฎหมายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพในการต่อสู้ ไม่ว่าจะในฐานะจำเลยหรือโจทก์ ที่ก็ชักถูกค่อนแคะว่า จงใจเช็กบิลใครอยู่หรือไม่
คดีส่วนใหญ่แม้บางคดีจะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ล้วนเป็นคดีทุจริต คอร์รัปชัน ที่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องแทบทุกเรื่อง ขณะเดียวกันตัวละครแต่ละคดี หลายคนก็ยังโลดแล่นอยู่บนเวทีการเมืองทุกวันนี้ มันเลยถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณล้างบาง หรือล้างไพ่นักการเมืองหรือไม่ โดยเอาความบรรลัยในอดีตที่รวมกันแล้วไม่รู้กี่ล้านล้านบาท มาประจานให้ประชาชนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากน้ำมือนักการเมืองที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียงบ หรือพลาดโอกาสพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งที่คดีความเรื่องโกงกินในบัญชีหนังหมา น่าจะมีมากกว่านี้ โครงการที่ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์ หรือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมีหลายสิบโครงการ แต่เหตุใดจึงเลือกหยิบมาเฉพาะ 12 คดี เป็นความบังเอิญ หรือจงใจเกินไปหรือไม่ เพราะหลายคดีใหญ่ๆ ที่สูญเงินมหาศาล ยังมีอีกเป็นสต็อก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีที่พรรคเพื่อไทย พยายามยกมาถากถางรัฐบาลว่า เหตุใดจึงไม่ปัดฝุ่น อย่างคดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย ที่ก็เสียหายนับไม่ถ้วน
หรือแม้กระทั่งเรื่องของทหารเอง ที่เข้าข่ายทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณก็มีอยู่ไม่น้อย โครงการใหญ่ๆ ที่ล้มเหลวอย่างเห็นกันชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อเรือเหาะ มูลค่าหลายล้านบาทเพื่อใช้ในภารกิจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน แต่ถึงเวลากลับนำมาใช้งานไม่ได้จริง หรือ
การจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด จีที 200 ที่สุดท้ายกลายเป็นแค่ไม้ล้างป่าช้า ที่วันนี้ศาลอังกฤษตัดสินไปแล้วว่า ใช้งานไม่ได้จริง ที่เข้าข่ายคดีเสียค่าโง่ ไม่ต่างกันเลย
เหล่านี้คงต้องมีคำตอบมาตอบสังคมเหมือนกันว่า เหตุใดทั้งที่เกิดความเสียหายเหมือนกับโครงการรับจำนำข้าว แต่กลับไม่มีการหยิบยกมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบ หรือคิดค่าเสียหายจากใคร จนเป็นการเปิดช่องให้อีกฝั่งนำไปเป็นประเด็นในการปลุกกระแสสองมาตรฐานขึ้นมา
เท่าที่วิษณุ ออกมาเปิดเผยว่า ยังเหลืออีก 40 คดี ซึ่งก็ต้องรอดูว่า สุดท้ายแล้วจะมีคดีที่เคยผลาญงบประมาณประเทศโดยเสียเปล่าข้างต้นหรือไม่ นาทีนี้รัฐมีหน้าที่ชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างให้สังคม ไม่ให้เกิดความสงสัยว่า ทุกวันนี้กำลังใช้อำนาจบาตรใหญ่ เล่นงานฝ่ายใดฝ่ายเดียวอยู่ ไม่เช่นนั้น ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่วังวนเดิมๆ เกิดความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้น หนังม้วนทักษิณ จะถูกนำกลับมาฉายในเวอร์ชัน ยิ่งลักษณ์ อย่าให้เกิดการครหาว่า อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะทำอะไรก็โดนทุกดอกทุกเม็ด
**ถ้าคิดจะปราบโกงแสดงอิทธิฤทธิ์ ต้องเล่นกันสุดซอยทุกฝ่าย ทุกคดี แม้แต่พวกกันเอง
ยามนี้เป็นแค่ฟืนยังไม่ถึงกับจุดติด แต่ก็มีช็อตต่อเนื่องเกิดขึ้นในโลกโซเชียลมีเดีย หลังมีกระแสสงสาร อยากจะลงขันกันช่วย ยิ่งลักษณ์จ่ายค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว คนละเล็กคนละน้อย เพราะเห็นอกเห็นใจ ที่อุตส่าห์เป็นแม่พระถลุงเงินคลังไปช่วยชาวนาแท้ๆ แต่กลับต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เพราะทำประเทศเจ๊งหลายแสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีการนัดหมายกันสวมเสื้อสีแดงให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 1 พ.ย. พ้นจากคืนปล่อยผี วันเดียว
มามุกนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ลิ้นจุกคอเหมือนกัน นอกจากโยนให้เป็นดุลยพินิจของประชาชนแล้ว แทบจะทำอย่างอื่นไม่ได้เลย หากเที่ยวไปโพนทะนาสั่งห้ามแต่งกายสีแดง ดูจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนย่อมๆ อยู่เหมือนกัน เพราะขนาดแค่ใส่เสื้อสีอะไร ยังไม่ได้รับอิสรภาพในประเทศนี้ จะถูกคนนินทาหมาดูถูกว่าอุดปากอุดจมูกกันเกินไป อีกทั้งภาพจะออกมาในลักษณะใจคับแคบมากกว่าป้องกันการปลุกระดม จะเป็นปมให้ถูกไปประชดประชันในสังคม
แม้จะรู้ว่า เจตนาเรื่องนี้มันมีนัยอะไรในกอไผ่แน่ แต่ก็จะเข้าไปแตะต้องอะไรลำบาก หากเข้าไปบล็อกมากๆ จากที่เรื่องเบาๆ จะเป็นเรื่องใหญไปเสียฉิบ กลายเป็นกระแสให้คนแห่กันใส่เสื้อแดง บางคนไม่ใช่เพราะต้องการปกป้อง ยิ่งลักษณ์ แต่เพราะต้องท้าทาย หรือตอบโต้รัฐ ที่จำกัดเสรีภาพในการใส่เสื้อ โดยเฉพาะสงครามโซเชียลมีเดีย ที่กำลังเป็นอีกอาวุธหนึ่งของฝ่ายต่อต้าน จะหยิบประเด็นนี้ไปเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ วิจารณ์ความเป็นเผด็จการกันให้แซ่ด
เข้าไปโพล่งตรงๆ ไม่ได้ ก็อยู่ที่รัฐจะรับมือยุทธศาสตร์เรียกคะแนนสงสารจากฝ่ายตรงข้ามอย่างไร เพราะก็มีบทเรียนเรื่องนี้มาแล้ว สมัยคดีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อ ที่งัดแคมเปญขอความเห็นใจจากประชาชน จนลุกพรึ่บมาปกป้อง เปลี่ยนทักษิณ จากคนโกงกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในพริบตา
นอกจากยุทธวิธีรับมือของฝ่ายตรงข้าม อีกจุดที่จะทำให้กระแสไม่ลุกลามบานปลาย ไม่กลายเป็นไฟลามทุ่ง รัฐจะต้องคลีนกับทุกกระบวนการที่ดำเนินการกับฝ่ายเพื่อไทย ไม่มีจุดอ่อนให้ถูกหยิบเอาไปล่อเป้าว่า เป็นการปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน ไม่เร่งรีบ หรือล่าช้าจนเกินงาม ไม่งึกๆ งักๆ กลับไปกลับมา จนทำให้เกิดความสงสัยว่า จงใจเล่นงานใครคนใดคนหนึ่งแบบเจาะจง
**ฉากบู๊ตอนนี้ระหว่างรัฐบาลทหารกับฝ่ายอำนาจเก่า เป็นการสู้กันคนละมิติ ฝ่ายรัฐบาลพยายามใช้กฎหมายเข้าสู้แบบสุดซอย ส่วนอีกฝ่ายกำลังสวนหมัดด้วยธีมดราม่า ขอความเห็นใจ ก็อยู่ที่ใครจะโน้มน้าวชี้แจงให้ประชาชนเชื่อในแนวทางของตัวเองได้มากกว่ากัน
คำว่าสองมาตรฐาน มันจุดติดง่ายในสังคมไทย กับนิสัยคนไทยที่มักเห็นอกเห็นใจคนถูกกระทำมากกว่าคนกระทำ ถ้ามีรอยตำหนิให้เห็นว่า กระบวนการดำเนินกับอีกฝั่งมีความไม่ชอบมาพากล เรื่องนี้จุดติดเอาได้เหมือนกัน แม้แต่ “12คดีค่าโง่” ที่รัฐบาลมอบหมายให้ซือแป๋กฎหมายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าภาพในการต่อสู้ ไม่ว่าจะในฐานะจำเลยหรือโจทก์ ที่ก็ชักถูกค่อนแคะว่า จงใจเช็กบิลใครอยู่หรือไม่
คดีส่วนใหญ่แม้บางคดีจะดึกดำบรรพ์ แต่ก็ล้วนเป็นคดีทุจริต คอร์รัปชัน ที่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องแทบทุกเรื่อง ขณะเดียวกันตัวละครแต่ละคดี หลายคนก็ยังโลดแล่นอยู่บนเวทีการเมืองทุกวันนี้ มันเลยถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณล้างบาง หรือล้างไพ่นักการเมืองหรือไม่ โดยเอาความบรรลัยในอดีตที่รวมกันแล้วไม่รู้กี่ล้านล้านบาท มาประจานให้ประชาชนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากน้ำมือนักการเมืองที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียงบ หรือพลาดโอกาสพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น
ทั้งที่คดีความเรื่องโกงกินในบัญชีหนังหมา น่าจะมีมากกว่านี้ โครงการที่ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์ หรือตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมีหลายสิบโครงการ แต่เหตุใดจึงเลือกหยิบมาเฉพาะ 12 คดี เป็นความบังเอิญ หรือจงใจเกินไปหรือไม่ เพราะหลายคดีใหญ่ๆ ที่สูญเงินมหาศาล ยังมีอีกเป็นสต็อก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีที่พรรคเพื่อไทย พยายามยกมาถากถางรัฐบาลว่า เหตุใดจึงไม่ปัดฝุ่น อย่างคดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย ที่ก็เสียหายนับไม่ถ้วน
หรือแม้กระทั่งเรื่องของทหารเอง ที่เข้าข่ายทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณก็มีอยู่ไม่น้อย โครงการใหญ่ๆ ที่ล้มเหลวอย่างเห็นกันชัดๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อเรือเหาะ มูลค่าหลายล้านบาทเพื่อใช้ในภารกิจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อหลายปีก่อน แต่ถึงเวลากลับนำมาใช้งานไม่ได้จริง หรือ
การจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด จีที 200 ที่สุดท้ายกลายเป็นแค่ไม้ล้างป่าช้า ที่วันนี้ศาลอังกฤษตัดสินไปแล้วว่า ใช้งานไม่ได้จริง ที่เข้าข่ายคดีเสียค่าโง่ ไม่ต่างกันเลย
เหล่านี้คงต้องมีคำตอบมาตอบสังคมเหมือนกันว่า เหตุใดทั้งที่เกิดความเสียหายเหมือนกับโครงการรับจำนำข้าว แต่กลับไม่มีการหยิบยกมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบ หรือคิดค่าเสียหายจากใคร จนเป็นการเปิดช่องให้อีกฝั่งนำไปเป็นประเด็นในการปลุกกระแสสองมาตรฐานขึ้นมา
เท่าที่วิษณุ ออกมาเปิดเผยว่า ยังเหลืออีก 40 คดี ซึ่งก็ต้องรอดูว่า สุดท้ายแล้วจะมีคดีที่เคยผลาญงบประมาณประเทศโดยเสียเปล่าข้างต้นหรือไม่ นาทีนี้รัฐมีหน้าที่ชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างให้สังคม ไม่ให้เกิดความสงสัยว่า ทุกวันนี้กำลังใช้อำนาจบาตรใหญ่ เล่นงานฝ่ายใดฝ่ายเดียวอยู่ ไม่เช่นนั้น ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่วังวนเดิมๆ เกิดความขัดแย้งไม่รู้จบสิ้น หนังม้วนทักษิณ จะถูกนำกลับมาฉายในเวอร์ชัน ยิ่งลักษณ์ อย่าให้เกิดการครหาว่า อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ว่าจะทำอะไรก็โดนทุกดอกทุกเม็ด
**ถ้าคิดจะปราบโกงแสดงอิทธิฤทธิ์ ต้องเล่นกันสุดซอยทุกฝ่าย ทุกคดี แม้แต่พวกกันเอง