เกาะกระแส
00 การประกาศรื้อ 12 คดีทุจริตที่สำคัญในอดีตขึ้นมาสะสางใหม่ ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่าเรียกเสียงฮือฮาจากสังคมได้ไม่น้อย เพราะแต่ละคดีได้สร้างความเจ็บปวดให้กับชาวบ้านมานานหลายปี หลายคดีกำลังจะหมดอายุความหรือหมดไปแล้ว และที่ผ่านมาก็ไม่เคยได้รับการปัดกวาดกันอย่างจริงจัง จนคาใจกันมาจนถึงวันนี้ ที่ผ่านมาสาเหตุที่ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่กับที่เป็นเพราะมี"นักการเมือง"เข้าไปเกี่ยวข้องหรือทุจริตนั่นเอง
00 แน่นอนว่าทั้ง 12 คดีทุจริตดังกล่าวย่อมอยู่ในความทรงจำของชาวบ้านมานานนับสิบปี บางคดีเริ่มมาตั้งแต่ปี 35-36 แต่ทุกอย่างยังไม่เคลียร์ มีทั้งคดีที่รัฐเป็นโจทก์และจำเลย ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำทุกอย่างให้ชัดเจนเสียที อย่างไรก็ดีเพื่อให้ทุกอย่างสิ้นข้อสงสัยก็ต้องใช้กระบวนการยุติธรรมมาตรฐาน ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถนำไปบิดเบือนปลุกระดมให้เกิดความปั่นป่วนตามมาได้ เอาเป็นว่าให้ทุกอย่างไปว่ากันในศาลยุติธรรมตามกระบวนการ
00 ชักรำคาญทุกทีพอมีการรื้อฟื้นหรือดำเนินการกับคดีทุจริตเรื่องใดก็ตาม ก็มักจะมีข้อโต้แย้งจากฝ่ายตรงข้ามกลับมาเสมอ ท่องจำอยู่อย่างเดียวว่า"กลั่นแกล้ง"ต้องการกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เหมือนกับในตอนนี้ที่บรรดาพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง อย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ และคนอื่นที่ออกมาสวนทันทีว่านี่คือแผนทำลายพรรคเพื่อไทย และคนในครอบครัวชินวัตร และที่สำคัญมีการกล่าวหาว่าเป็นการ "เลือกปฏิบัติ"!!
00 ก็เห็นด้วยนะกับคำพูดแบบนี้ ในเมื่อไหนๆก็ไหนๆแล้วก็รื้อมาจัดการสะสางเสียให้ทุกคดีกันในคราวเดียวไปเลย อย่างคดี ปรส. คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศ โครงการจัดซื้ออุปกรณ์ตรวจสอบระเบิด จีที 200 ก็จัดการให้มันชัดเจนว่ากันไปแบบตรงไปตรงมา อย่าให้ถูกกล่าวหาว่า "ลูบหน้าปะจมูก"หรือเลือกปฏิบัติทุกครั้ง เวลาจะมีการรื้อคดีทุจริตในอดีตขึ้นมา จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่องก็เงียบไปทุกครั้ง ทำให้ถูกมองไปในทาง"ทำลายล้าง"ฝ่ายตรงข้าม หรือบางคดีมีข้อติดขัดหรือต้องยุติคดีก็ไม่เคยอธิบายให้สังคมได้ทราบอย่างชัดเจน ก็ยิ่งถูกมองด้วยสายตาพิรุธ ดังนั้นคราวนี้ไหนๆจะสะสางก็ต้องจัดการให้เคลียร์จนจบไปทุกคดี โดยเอาคดีและข้อสงสัยไปตัวตั้ง อย่างเอาบุคคลหรือใครเป็นตัวตั้ง ถามว่าคดีดังกล่าวข้างต้นมันจะต่างจากเรื่องค่าโง่ไอทีวี คดีคลองด่าน โครงการโฮปเวลฯตรงไหน ต้องทำทั้งหมดเพราะไม่งั้นเรื่องก็ไม่จบเสียที !!
00 นี่คือบทเรียนสำหรับขรก.ที่รับใช้การเมืองแบบสุดลิ่ม ก็ต้องรับ"ผลกรรม"อย่าง ธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ที่กำลังจะโดนปปช.แจ้งข้อหาร่ำรวยผิดปกติในเดือนหน้า รวมไปถึง สุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะรายแนกที่ฝากความเจ็บปวดให้กับชาวบ้านมานานก็ต้องเจอกับวิบากกรรมที่ตัวเองก็คงคาดไม่ถึงว่าจะต้องเจอชะตากรรมแบบนี้ ในตอนที่อยู่ในตำแหน่งพลิกดำให้เป็นขาว พลิกขาวให้เป็นดำ ทำได้ทุกอย่าง แต่มาวันนี้ก็ถือว่า"ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรรม"และเชื่อว่ายังไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก !!
00 เริ่มประชุมนัดแรกกันไปแล้วสำหรับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) แม้ว่าจะไม่เคยคาดหวังกับการทำงาน ขององค์นี้มากนัก เพราะไม่มีอำนาจในการชี้นำอะไรได้มากนัก ซึ่งในความเป็นจริงคนที่ชี้ขาดก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้นคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ว่าจะมีการปฏิรูปหรือไม่ หรือไม่ก็ทำเรื่องใดก่อนหลัง แต่ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ดูกันไปแล้วกัน !!