ผบ.ตร. เตรียมเปิดแถลงรายละเอียดและตอบคำถามทุกข้อสงสัย เอาผิดผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ ในวันพุธนี้ หากพบนายตำรวจ 13 นายที่ถูกสั่งย้ายมีเอี่ยว ต้องอนุมัติออกหมายจับเพิ่ม ยอมรับ"สารวัตรเอี๊ยด" แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งขึ้นนั่งรองผกก.กองปราบปราม สั่งเร่งสรุปสำนวนภายใน 2 สัปดาห์ รองโฆษกอสส. แจงขั้นตอนพิสูจน์การเสียชีวิตโดยจะมีการตั้งคณะกรรมการร่วม4ฝ่าย เพื่อดำเนินการสอบสวนให้เสร็จภายใน30วัน เนื่องจากเป็นการตายผิดธรรมชาติ "ประวิตร" ยันเป็นต้องใช้คุกทหาร ระบุ"สารวัตรเอี๊ยด" ฆ่าตัวตายไม่ใช่เคสแรก ยัน"หมอหยอง"ป่วยเล็กน้อย ยังไม่ถึงตาย ชี้ตำรวจทำความผิด ม.112 เป็นเรื่องตัวบุคคล
วานนี้ (26 ต.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีหมิ่นสถาบันฯ ว่า อีก 2-3 วัน ตนเองพร้อมด้วย พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ จะเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ที่ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 ตร. โดยตนจะตอบคำถามทุกเรื่อง อยากให้เก็บทุกคำถามที่สื่อมวลชนอยากถาม และให้เก็บไปคิดเป็นการบ้านให้ถามในวันนั้นเลย
"วันนี้ถาม พรุ่งนี้ก็ถามอีกแล้ว อีก 2-3 วันให้เตรียมคำถามที่ในใจอยากถาม ผมรู้อยู่แล้วว่าจะถามอะไร เดี๋ยวขอไปทำการบ้านก่อนจะตอบให้จุใจเลย " พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวและว่า ที่ต้องรออีก 2 วัน เพราะต้องรอขั้นตอนในการพยานหลักฐาน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าพยานหลักฐานที่ตำรวจมีอยู่เพียงพอที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา เพราะตนได้มีการกำชับไปแล้วให้ทำให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ สามารถที่จะสรุปสำนวนได้ว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง อะไรที่ตนตอบได้ก็จะตอบ อะไรที่ยังไม่ตอบคือการสอบสวนยังไม่เสร็จ ซึ่งขณะนี้ใกล้เสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติม แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นใครและมีจำนวนกี่คน
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการนำทรัพย์สินที่ยึดได้มาแถลงโชว์เหมือนกรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า พยายามทำให้ครบวงจรทีเดียว ถามต่อว่าจะมีการออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้เพิ่มหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็ในวันนั้นเลย
เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ออกมาพูดว่าทางญาติได้มาติดต่อขอรับศพ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ผู้ต้องหาในคดีนี้ที่เสียชีวิตภายในเรือนจำ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ออกมาพูดก็ต้องเชื่อท่านอยู่แล้ว เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ ซึ่งการเสียชีวิตของผู้ต้องหาจะไม่ส่งผลกระทบต่อรูปคดี ส่วนจะมีตัวการใหญ่กว่า 3 คนนี้อีกหรือไม่ อยู่ในส่วนของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ ที่จะต้องทำการการสอบสวน
ถามต่อว่านอกจากผู้ต้องหา 3 คนนี้ แล้วยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก อย่างน้อยประมาณกี่คน ผบ.ตร. กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.ท.ฐิติราช ให้ข้อมูลมา ส่วนจะกี่คนนั้นตนตอบไม่ได้ ถามต่อว่าการออกหมายจับครั้งนี้เป็นข้าราชการหรือประชาชน พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า อยู่ในสำนวนหมดแล้วว่าการสอบสวนของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ เป็นอย่างไร ท่านก็ไม่ได้บอกหมด ตนให้โอกาสท่านทำงาน ไม่ไปแทรกแซงอยู่แล้ว เพียงแต่ให้ข้อเสนอแนะบ้าง
เมื่อถามว่าสำหรับการสอบสวนตำรวจทั้ง 13 นายตอนนี้ พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาหรือมีการพาดพิงนายตำรวจบ้างหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า เดี๋ยวอีก 2-3 วันจะมาตอบ ถามต่อว่าผู้ต้องหาที่คุมตัวได้เรียกได้ว่าเป็นตัวการใหญ่แต่เสียชีวิตไปแล้ว ข้อมูลที่ได้จากการสอบสวนครบแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เจ้าตัวผู้เสียชีวิตอาจจะหมดแล้วแต่ส่วนที่เกี่ยวข้องอาจจะเป็นลูกน้องหรือคนใกล้ตัว ส่วนการสอบสวนมีการซัดทอดใครบ้าง ไม่สามารถเปิดเผยได้
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวพันด้วย ในส่วนนี้ ผบ.ตร.มีข้อมูลหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า มีข้อมูลอยู่แล้ว แต่เรายังได้ไม่ครบ ถามต่อว่าหมายจับที่จะออกอีก 2 วันน่าจะมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่ด้วยหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ยังไม่ทราบ แต่ก่อนที่จะออกหมายจับใครต้องมีการหารือกันก่อน
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พ.ต.ต.ปรากรม ขอขึ้นตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับ กองบังคับการปราบปราม จริงหรือไม่นั้น ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนเห็นจากที่ พล.ต.ท.ฐิติราช ให้ข้อมูลว่าเช่นนั้น ซึ่งการขอตำแหน่งดังกล่าวยังไม่ถึง ก.ตร. เนื่องจากยังไม่ถึงวาระเลย เพราะวาระนายพลเพิ่งส่งไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกอย่างต้องทำไปตามลำดับชั้น
ถามว่า พ.ต.ต.ปรากรม ขอตำแหน่งเพียงรองผู้กำกับ หรือตำแหน่งที่สูงกว่านั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า คงไม่มีทางที่จะขอตำแหน่งที่สูงกว่านั้นได้ เนื่องจากตำแหน่งปัจจุบันคือตำแหน่งสารวัตร ดังนั้นตำแหน่งต่อไปก็เป็นได้แค่รองผู้กำกับ
เมื่อถามถึงประเด็นที่ถูกจับตามองว่าการที่ พ.ต.ต.ปรากรม ร้องขอตำแหน่งที่สูงขึ้น รวมทั้งจะนำบุคคลนอกมารับราชการนั้น จะมีผลประโยชน์เรื่องการวิ่งเต้นในการรับตำแหน่งหรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ในส่วนนี้ตนไม่แน่ใจ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ทราบว่าไปขอให้ใครช่วย และตนยังไม่เคยได้รับเอกสารอะไรเลย และก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีนายตำรวจระดับสูงเข้ามาช่วยเหลือการร้องขอดังกล่าวหรือไม่ ไม่ทราบว่าเข้าช่องทางใด เพราะตนยังไม่เห็นเรื่อง
อัยการตั้งคณะทำงาน 4 ฝ่ายพิสูจน์การตาย
ด้านนายยรรยง เดชภิรัตนมงคล อัยการผู้เชี่ยวชาญในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงขั้นตอนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา ผู้ต้องหาคดีกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้ผูกคอตัวเองกับลูกกรงห้องขังภายในเรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรีว่า ตามกฏหมายแล้วเมื่อปรากฏแน่ชัดว่าบุคคลใดตายผิดธรรมชาติหรืออยู่ในระหว่างความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งกฏหมายบัญญัติไว้ 5 แบบคือ ฆ่าตัวตาย ถูกสัตว์ทำร้ายตาย ตายโดยอุบัติเหตุ ถูกผู้อื่นทำให้ตายและตายโดยไม่ปรากฏสาเหตุจะมีพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่พบศพและแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ เป็นผู้มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ แต่หากสาเหตุที่ตายกรณีการตายที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของเจ้าพนักงานหรืออยู่ในระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงานแล้ว จะต้องมีพนักงานอัยการกับเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองตำแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอำเภอหรือเทียบเท่า แพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ และพนักงานสอบสวนร่วมเป็นผู้ชันสูตรพลิกศพ ซึ่งการชันสูตรพลิกศพในชั้นนี้จะเป็นการร่วมการเก็บตรวจพยานหลักฐาน สภาพศพและสถานที่เกิดเหตุ
นายยรรยงกล่าวอีกว่า ซึ่งหลังจากมีการชันสูตรพลิกศพโดยเจ้าหน้าที่ทางวิชาชีพทั้ง 4 แล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะต้องเป็นผู้แจ้งแก่พนักงานอัยการให้เข้าร่วมสอบสวนภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่รับแจ้ง และหากมีการขยายระยะเวลา จะขยายเวลาได้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน และไม่สามารถเลื่อนได้เกิน 2 ครั้ง และทุกครั้งต้องแจ้งเหตุผลในการขอขยายเวลา และเมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานอัยการจะต้องทำคำร้องต่อศาลชั้นต้น และขอให้ศาลทำคำสั่งว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อไหร่ ตายอย่างไร และพฤติการณ์แห่งการตาย และถ้าเหตุเป็นการตายโดยถูกทำร้าย อัยการจะต้องกล่าวต่อศาลด้วยว่า ใครเป็นผู้ทำร้ายให้ตายหากทราบ โดยการร้องต่อศาลอัยการจะต้องยื่นคำร้องหลังจากได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนภายใน 30 วันนับแต่ได้สำนวนจากพนักงานสอบสวน และสามารถเลื่อนได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วัน พร้อมเหตุผลในการเลื่อน โดยการไต่สวนพยานในศาลนั้น เมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลแล้ว จะต้องร้องขอให้ศาลส่งสำเนาคำร้องให้ญาติผู้ตายไม่ว่าจะเป็น แม่ สามีภรรยาหรือผู้มีอำนาจอย่างน้อย 1 คนเพื่อให้รับทราบ ก่อนที่อัยการจะนำสืบพยานหลักฐานที่แสดงถึงเหตุ การตายไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งญาติจะมีสิทธิแต่งตั้งทนายทนายความมาซักถามขณะสืบพยานได้หรือหากถ้าไม่มีจะสามารถขอศาลแต่งตั้งทนายความให้ และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลอาจเรียกสืบพยานเพิ่มเติมได้หากมีข้อสงสัย และคำสั่งของศาลถือเป็นที่สิ้นสุด
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดยังกล่าวถึงกรณีที่มีการนำศพออกไปบำเพ็ญกุศลโดยไม่ต้องนำศพไปที่สถาบันนิติเวชนั้น สามารถที่จะกระทำได้และถือว่าชอบตามกฎหมายแล้ว เนื่องจากผ่านการไต่สวนชันสูตรพลิกศพจากเจ้าหน้าที่จาก 4 สาขาวิชาชีพตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
'บิ๊กป้อม'ยันต้องใช้คุกทหาร
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีองค์กรสิทธิมนุษยชน เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้เรือนจำชั่วคราว แขวงถนนนครไชยศรี ภายในกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) ว่า เรื่องนี้มีทางกรมราชทัณฑ์ดูแลอยู่ หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ก็มีการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำว่า อาจจะเป็นผลมาจากกรณีที่ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ สารวัตรเอี๊ยด ผู้ต้องหาคดีอาญา มาตรา 112 เสียชีวิตหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่รู้จะตอบอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็เคยมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ตนยืนยันว่า เรายังมีความจำเป็นที่จะต้องมีเรือนจำดังกล่าวอยู่ และจะใช้เฉพาะในสถานการณ์ช่วงนี้เท่านั้น หากสถานการณ์ปกติแล้วเรือนจำดังกล่าวก็ไม่มี แต่ทั้งหมดทางกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ดูแลอยู่ ถึงแม้ว่าเรือนจำดังกล่าวจะมีทหารดูแลร่วมอยู่ด้วย แต่ความรับผิดชอบหลัก อยู่ที่กรมราชทัณฑ์
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง ผู้ต้องหาคดีอาญา มาตรา 112 เสียชีวิตอีกรายนั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากการรับฟังข่าวสาร ทราบว่านายสุริยัน ยังดีอยู่ ไม่มีอะไร ตอนนี้อาจจะมีอาการป่วยเล็กน้อย ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ได้รายงานอะไรขึ้นมา พร้อมทั้งยืนยันว่า การที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล และมีจำนวนไม่มากนัก ซึ่งมีกฎหมายดูแลอยู่แล้ว ตนคงไม่ต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษ ทุกคนต่างก็ทราบอยู่
ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้พูดเรื่องนี้กัน เพราะเกรงว่าจะมีการนำไปขยายความจนทำให้เกิดเรื่องได้
ยังไม่มีรายงานออกหมายจับเพิ่ม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการออกหมายจับบุคคลเพิ่มเติม ในคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงไปกระทำมิบังควร เข้าข่ายความผิดประมวลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่มีการรายงานมา เดี๋ยวเขารายงานมาก็รู้เองว่า จะจับใครเพิ่มเติม