ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เลิกอยู่รูมาสักพักใหญ่ ๆ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาต่อสู้แบบเปิดหน้าคดีอภิมหาโกงโครงการรับจำนำข้าว ทั้งในส่วนคดีอาญาในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และคดีแพ่ง ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้วิธีออกคำสั่งปกครองเรียกค่าเสียหายจากความพินาศที่เกิดขึ้น
สำหรับคดีอาญา ยิ่งลักษณ์และทนายหน้าหอพยายามหาแง่มุมของกฎหมายมาตอดเล็กตอดน้อย เพื่อประวิงเวลาตามถนัด โดยเฉพาะการเดินทางไปฟ้อง ตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด (อสส.)และคณะ ที่มีคำสั่งฟ้องคดีโครงการรับจำนำข้าวมิชอบ แต่หน้าชาไปรอบ หลังศาลไม่รับฟ้องด้วยให้เหตุผลในลักษณะโจทก์ตีตนไปก่อนไข้ ซึ่งล่าสุดยิ่งลักษณ์ ก็ออกลูกตื๊อจะอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องต่อศาลอุทธรณ์อีก เพราะหวังลึก ๆ ว่า จะมีลูกฟลุกบ้าง
จับผลัดจับผลูศาลอุทธรณ์เห็นต่างจากศาลชั้นต้นขึ้นมาให้รับคำฟ้อง คดีนี้จะกระเทือนถึงคดีอาญาในชั้นศาลฎีกาฯ แน่ อสส.ในฐานะโจทก์ในชั้นศาลฎีกาฯ จะกลายมาเป็นจำเลยในศาลอาญาแทน คดีอาจจะต้องสะดุด หรือหยุดรอความชัดเจนจากศาลอาญาก่อน เพราะคำฟ้องของยิ่งลักษณ์ ที่ฟ้อง อสส.ในครั้งนี้คือ กรณีมีความเห็นสั่งฟ้องคดีรับจำนำข้าวมิชอบ เพราะสำนวนยังไม่สมบูรณ์
กระทบเป็นห่วงโซ่แน่ หากศาลอุทธรณ์เห็นต่างจากศาลชั้นต้น ยิ่งลักษณ์ กับ อสส. คงต้องมาสู้กันในศาลอาญาอีกยาว เพื่อพิสูจน์ว่าความเห็นให้สั่งฟ้องโครงการรับจำนำข้าวของ อสส.ครั้งนี้ เป็นไปได้โดยชอบของกฎหมาย ต่อให้ยิ่งลักษณ์แพ้ในศาลชั้นต้น แต่จะสามารถมีเวลายื้อไปอีกได้ ในศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ที่ต้องสู้กันถึง 3 ศาล
แต่โดยสภาพความเป็นจริง สิ่งที่ยิ่งลักษณ์หวังให้ฟลุกคงยากสักหน่อย เพราะกรณีที่ร้องแร่แห่กระเชอว่า อสส. สอบพยานหลักฐานยังไม่สมบูรณ์ และอีกกรณีที่ว่า อสส.อ้างพยานและหลักฐานที่อยู่นอกสำนวนตอนฟ้อง เคยถูกศาลฎีกาฯ ยกคำร้องมาแล้ว เมื่อศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุดเคยพิจารณามาแล้ว โอกาสที่ศาลอุทธรณ์ ที่พิจารณาสวนทางกันจึงแทบจะริบหรี่ ยิ่งลักษณ์ น่าจะเอาเวลาไปก้มหน้าก้มตาสู้คดี เพ่งสมาธิดีๆ ในชั้นศาลฎีกาฯ เสียดีกว่า
ขณะที่คดีแพ่ง จากเดิม วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กางปฏิทินว่า ไม่เกินสิ้นปีนี้ คณะกรรมการพิจารณาความผิดทางละเมิดที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลาง น่าจะมีคำสั่งยึดทรัพย์ยิ่งลักษณ์ เซ่นความพินาศในโครงการรับจำนำข้าวได้ ไป ๆ มา ๆ ดูท่าอาจะมีเขยิบ และขยับกันออกไปอีก หลังยิ่งลักษณ์ และทนายหน้าหอเต้นเป็นเจ้าเข้า ออกมาคัดค้านการใช้วิธีการออกคำสั่งทางปกครองเพื่อยึดทรัพย์ ถึงขนาดทำจดหมายเปิดผนึกถึง“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ทนายความหน้าหอยังเอาล่อเอาเถิดไม่เปลี่ยน ตีความกฎหมายแบบศรีธนญชัย ตั้งข้อสงสัยมาตราโน้น มาตรานี้ ว่าไม่เข้าข่ายกรณีของนายหญิง แต่สุดท้ายถูกเนติบริกรอย่างวิษณุ ตอกหน้าหงายจนกลายเป็นมวยวัด แสดงความชัดเจนเรื่องมันสมองให้เห็นภาพชัดว่ายังอยู่คนละชั้น หากจะวัดกันเรื่องข้อกฎหมาย พานายไปติดคุกรอได้เลย
ยิ่งลักษณ์และลูกหาบคงน่าจะเห็นแล้วว่า การต่อสู้โดยข้อกฎหมายไม่มีวันชนะ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเรื่องบุคลากรที่ยังเป็นรองฝ่ายรัฐบาล ผลงานทีมทนายความฝั่งตัวเองอยู่ในชั้นยี้ แพ้แทบจะทุกคดี แถมอีกฝ่ายยังมีอำนาจ หลัง ๆ เลยหนักไปทางดรามา เกาะชาวนาประคองตัว ให้ลิ่วล้อสมุนออกมาโพนทะนาว่า โครงการรับจำนำข้าวดีเลิศประเสริฐศรี เป็นโครงการช่วยคนยากคนจน ยิ่งลักษณ์ กำลังจะติดคุกเพราะเจตนาช่วยชาวนา เรียกคะแนนสงสาร กระตุกอารมณ์เห็นใจลูกผู้หญิง
มาโมเดลคล้ายๆ กับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตอนถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ชำแหละพฤติกรรม จนต้องหันไปตั้งป้อมสู้ว่า คตส.เป็นปฏิปักษ์ มีอคติ จนชาวบ้านชาวช่องปักใจเชื่อ เห็นใจและสงสาร ออกมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ ทั้งที่ความจริงนับครั้งได้ที่ทักษิณเงยหน้าสู้โดยเอากฎหมายมาหักล้าง เรียกว่า มาถึงวันนี้น้องสุดที่รักกำลังเจริญรอยตามพี่ ด้วยวิธีเดียวกัน คือ การปลุกมวลชนมาปกป้องพฤติกรรมชั่วของตัวเอง
นอกจากความอ่อนด้อยทางกฎหมายแล้ว ยุทธวิธีการต่อสู้ยังจัดอยู่ในประเภทไม้หลักปักขี้เลน วันก่อนเพิ่งจะตีอกชกตัวว่า รัฐบาลจะใช้การออกคำสั่งทางปกครองตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ไม่ได้ เพราะยิ่งลักษณ์ไม่ได้อยู่ขอบเขตอำนาจนี้ และไม่ใช่ผู้ใต้บังบัญชาของ “บิ๊กตู่” แต่มาวันนี้พอวิษณุ ขยายระยะเวลาให้ชี้แจงอีก 30 วัน กลับรีบแจ้นอ้างพยานไปให้กระทรวงการคลังสอบปากคำถึง 7 ปาก จู่ๆ เปลี่ยนใจมารับอำนาจเฉย
จะว่าไปรัฐบาลเองก็มีลูกวอกแวกให้เห็นเหมือนกัน โดยเฉพาะ “เนติบริกร”ผู้ดีไซน์ยุทธวิธีการต่อสู้ให้ “บิ๊กตู่” แต่เดิมเคยชี้แจงว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความผิดทางละเมิดของกระทรวงการคลัง จะต้องส่งเรื่องมาให้นายกฯ พิจารณา จากนั้นนายกฯ จะส่งไปให้คณะกรรมการความรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานพิจารณา และมีคำสั่งให้ชำระหนี้ออกมา โดยเมื่อมีคำสั่งออกมาแล้ว จะต้องให้นายกฯ ลงนามออกคำสั่งทางปกครอง แต่วันดีคืนดีกับกลับลำว่า นายกฯ ไม่ต้องลงนาม แต่เป็นอำนาจของ รมว.คลัง
แม้จะสีข้างเข้าถูไปได้แบบเนียนตา แต่โดนคนนินทาหมาดูถูกเหมือนกันว่า เป็นการจงใจกันนายกฯ ออก เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องกลับ ขณะเดียวกัน การขยายเวลาให้ยิ่งลักษณ์ ออกไปอีก 30 วัน ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลก็เสียว ๆ หลังอยู่เหมือนกัน พยายามอุดช่องโหว่ที่จะถูกอีกฝั่งนำไปตลบหลัง หรือดิสเครดิตในอนาคตได้ ที่สำคัญเมื่อถึงเวลาจะง้างดาบฟัน จะได้ถูกต้องชอบธรรม เพราะมีการชี้แจงแก้ต่างข้อกล่าวหากันเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องมีปมอะไรติดค้างให้อีกฝั่งนำไปพูดว่าถูกรังแก สุดท้ายคนชี้ขาดว่า ใครถูกใครผิด ใครต้องชดเชยความบรรลัยจากโครงการรับจำนำข้าว เท่าไหร่ คือ “ศาลปกครอง”ที่ยิ่งลักษณ์ จะต้องดิ้นหอบคำสั่งยึดทรัพย์ของรัฐบาลไปให้มีคำสั่งเพิกถอน
แม้จะมีเวลาได้ต่อลมหายใจอีกเฮือก แต่ถ้ายังใช้วิธีสู้แบบมวยวัดแบบที่แล้วๆ มา ไม่ว่าจะเป็นในชั้นศาลฎีกาฯ หรือศาลปกครอง ปลายทางของยิ่งลักษณ์ คงมีแค่สองอย่างให้เลือกคือ “คุก”หรือไม่ก็“บุคคลล้มละลาย”