xs
xsm
sm
md
lg

ศาลปกครองสูงสุดพลิกคำสั่ง รับคดีชาวกระบี่ฟ้องก.ทรัพย์ฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ในคดีที่ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวกรวม 45 คน ซึ่งเป็นประชาชนที่อาศัยและประกอบอาชีพในพื้นที่ต.ตลิ่งชัน ต.เกาะศรีบอยา ต.ปกาสัย ต.คลองขนาน อ.เหนือคลอง ต.ศาลาด่าน ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว ที่จะเป็นจุดลำเลียง ขนถ่ายถ่านหินไปสู่โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ จ.กระบี่ ยื่นฟ้อง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ขอให้สั่งเพิกถอนโครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว เพิกถอนกระบวนการศึกษารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และกระบวนการศึกษารายงานวิเคราะห์ผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน (อีเอชไอเอ) และสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่เเกี่ยวข้องเพื่อคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ และประกาศต่ออายุพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม จ.กระบี่ ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่ง โดยก่อนหน้านี้ศาลปกครองชั้นต้นไม่รับคำฟ้องดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่า กฟผ.เพียงแต่กำลังดำเนินการศึกษาเตรียมการเพื่อจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในส่วนโครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว ผู้ฟ้องคดีทั้ง 45 จึงยังไม่ถือว่าเป็นผู้เดือดร้อนเสียหาย ที่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งแก้คำสั่งศาลปกครองชั้นต้น ระบุ ที่ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 45 คน ยังไม่ถือว่าเป็นผู้เดือดร้อนเสียหายในประเด็นที่ขอให้เพิกถอนกระบวนการศึกษารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสุขภาพของประชาชน เพราะยังกระบวนการดังกล่าว ยังเป็นเพียงขั้นตอนการดำเนินการของ กฟผ. เพื่อประกอบการพิจารณาของเจ้าหน้าที่รัฐอันจะนำไปสู่การจัดให้มีคำสั่งทางปกครอง หรือการตัดสินใจดำเนินโครงการของรัฐที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อส่วนได้เสียของประชาชนโดยส่วนรวมในด้านต่างๆ เท่านั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
แต่ในประเด็นที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 45 คน ฟ้องว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ละเลยต่อหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร กรณีไม่ดำเนินการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในท้องที่ อ.อ่าวลึก อ.เมืองกระบี่ อ.เหนือคลอง อ.คลองท่อม อ.เกาลันตา จ.กระบี่ ลงวันที่ 15 มี.ค. 50 และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดเเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ จ.กระบี่ ปี 2553 ที่สิ้นสุดการบังคับใช้ไปตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 55 จนเป็นเหตุให้กฟผ. เข้าทำการสำรวจ ขุดดิน หรือบุกรุกเข้าไปในพื้นที่ ที่เคยเป็นเขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้ว ซึ่งหากโครงการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการได้ ก็จะมีการขนถ่ายถ่านหินผ่านระบบสานพานลำเลียงโรงไฟฟ้าถ่ายหินกระบี่ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร ผ่านพื้นที่ทำกินของประชาชนที่เป็นผู้ฟ้องคดี ซึ่งจะเข้าไปทำลาย กีดขวางเส้นทางหรือพื้นที่การประกอบอาชีพการทำประมงพื้นบ้าน การท่องเที่ยว ตลอดจนผ่านเขตพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ บริเวณเกาะศรีบายา ซึ่งเป็นแหล่งหญ้าทะเล เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นชาวบ้านที่มีภูมิลำเนา ประกอบอาชีพ และอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งเดิม ได้รับการคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งสองฉบับ จึงย่อมถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียได้รับผลกระทบโดยตรง และมากเป็นพิเศษกว่าบุคคลทั่วไป ที่มิได้อาศัยหรือประกอบอาชีพในพื้นที่ดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีที่เป็นชาวบ้านจึงมีสิทธิรวมกันเป็นชุมชน ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม และมีส่วนร่วมในการจัดการบำรุงรักษา ส่งเสริม และใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้การดำรงชีวิต อยู่ได้อย่างปกติ และต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน ตลอดจนมีสิทธิจะฟ้องหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ดังนั้น การที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งสองฉบับ จึงกระทบสิทธิผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหรืออาจเดือดร้อนเสียโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงมีคำสั่งแก้คำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องของผู้ถูกฟ้อง คือ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน และพวกที่เป็นชาวบ้านรวม 44 ราย ในสวนที่มีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประกาศต่ออายุพื้นที่ค้มครองสิ่งแวดล้อมจังหวัดกระบี่ ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ไว้พิจารณา
ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 45 คือ นางพนอ อัศวรุจานนท์ ข้าราชการบำนาญ ที่เดิมมีตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ ศาลเห็นว่ามิได้อาศัย หรือประกอบอาชีพหรือมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อม จึงยังไม่อาจถือเป็นผู้เดือดร้อนเสียหาย ที่มีสิทธิจะฟ้องคดีต่อศาล
กำลังโหลดความคิดเห็น