ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เสียงยี้ระงมเมือง หลังเหลือบมองรายชื่อ 200 สมาชิกสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เบ่งออกมา นอกจากสวนทางกับคำพูดก่อนหน้านี้ ที่บอกทำเองกับมือ แต่ปรากฏรายชื่อส่วนใหญ่หนักไปทางสายพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นคนทำคลอดเสียมากกว่า
ที่ตลกร้ายสุดๆ คือสัดส่วนแต่ละสาขาอาชีพกลับไม่ได้มีความหลากหลาย มีแต่สัดส่วนพวก เด่น ดัง ฉาวโฉ่ สำคัญคือ สั่งได้
เหตุผลในการเลือกคนที่คอนโทรลได้ไม่แตกแถว เพราะกลัวซ้ำรอยสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ชาวบ้านชาวช่องพอเข้าใจได้ แต่การใช้บริการนายทหาร และนายตำรวจแบบแทบจะยกกรมกองกันมาดูจะโอเวอร์เกินเหตุ สู้ไปหยิบจับบุคคลที่ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับคสช. ยังพอจะรับได้เสียกว่า
การตั้งสภานายพลอีกสาขาจะยิ่งทำให้คนนินทาหมาดูถูกว่า ทหารก็ตกหลุมวังวนอำนาจไม่ต่างจากนักการเมืองสักเท่าไหร่ เอาพวกพ้องไว้ก่อน
การจับอดีตสมาชิกสปช. หลายชีวิตที่เคยพิชิตร่างรัฐธรรมนูญฉบับของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจนตายโหงในที่ประชุมสปช. หลายสิบชีวิตกลับมาเป็นสมาชิกสปท.อีกครั้ง ยังดูจะเป็นใบเสร็จมัดประจานกันโจ๋งครึ่มว่า ปฏิบัติการคว่ำเรือพลีชีพร่างรัฐธรรมนูญของ สปช.เมื่อวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา มีใบสั่งจากผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลจริง
สำรวจรายชื่อส่วนใหญ่หลายคนประสานเสียงไม่ปลื้ม ไล่ชื่อไล่ความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ถือว่าแคบมากเมื่อเทียบกับกรอบปฏิรูปที่ สปช.ทำไว้ พอจะให้คาดเดาได้ว่า สปท.แห่งนี้จะเป็น "สุสานคนเป็น" หรือ "ห้องหุ่น" ขับเคลื่อนตามรีโมต ตามอำนาจหน้าที่ก็ไม่มีบทบาทให้คุณให้โทษอะไรอยู่แล้ว ยิ่งเห็นรายชื่อแล้วยิ่งตอกย้ำสภาไม้ประดับ ประหนึ่งตั้งไว้ให้แม่น้ำครบ 5 สายก็เท่านั้น คสช. ครม. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สปท. และคณะกรรมการ่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) อย่างน้อย ถูๆ ไถๆ อ้างสังคมได้ว่า มีองค์กรปฏิรูปที่เป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาล“บิ๊กตู่”อยู่
ความหวังจึงริบหรี่ว่า สปท. จะสามารถปรับโฉมประเทศไทยไปสู่ยูโทเปีย กางรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2558 ดูอำนาจหน้าที่จะเห็นเต็มสองตาว่า แค่ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หากหัวอย่าง คสช.ไม่กระดิก หางอย่างสปท. จะกล้าลุกขึ้นมาตีอกชกตัวเองหรือ ให้แบบเอาล่อเอาเถิดสุดๆ ก็แค่เป็นเพียงการเปิดเวทีให้ฝอยให้โม้ ขายฝันไปตามท้องเรื่อง
คำค่อนแคะเย้ยหยันคละคลุ้งไปหมด แถมมีกระแสข่าวให้ระคายหูว่า เตรียมจะชู “อ๊อดถังเช่า”พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีต รมช.กลาโหม ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์จอมฉุยฉาย ที่ลื่นไหลไปได้เรื่อยทุกมุ้ง ทุกหลืบ มาเป็นประธานสปท.เข้าไปอีก ยิ่งระทมกบาล จะไปเรียกร้องหาความน่าเชื่อถือได้จากไหน ตัวประธานยังเป็นไม้หลักปักขี้เลน จุดยืนไม่มี แถมสติปัญญายังไม่ชัดอยู่ในระดับไหน สภาขับเคลื่อนฯ มีหวังเคลื่อนไม่ไหว กลายเป็นสภาเป็ดง่อย
ความจริงคนที่เหมาะสมก็มีอยู่ แถมประสบการณ์โชกโชน “ชัย ชิดชอบ”บิดายี้ห้อยร้อยยี่สิบนั่นปะไร เคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว ลูกล่อลูกชนบนเวทีสภา นับว่าหาตัวจับยาก ถนัดกับการสยบพวกอาศัยเวทีสภาสร้างราคาตัวเองด้วยสไตล์อ่อนสยบแข็ง ประจักษ์กับตากันมาแล้ว สมัยนั่งประธานสภาฯ
ตำแหน่งประธานสำคัญมาก อย่ามองข้ามคิดว่าเป็นเพียงสภาทาส ไม้ประดับ เลยไม่ให้ความสำคัญ ถ้าตั้งมาแบบผิดฝาผิดตัวแล้ว คนนินทาหมาดูถูกแต่หัววัน อย่าให้หมดศรัทธา สปท. ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแทนคุณแผ่นดินเลย
โฟกัสลิสต์นักการเมืองที่เจอแป๊ะบีบคอลากลงเรือเที่ยวนี้ ยอมรับว่า ประสบความสำเร็จสูงทีเดียว หนีบมาได้หลายคน โดยเฉพาะจากเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ที่หลงมาถึง 7 หน่อ ทั้ง พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่เงียบหายตายจากหน้าฉากไปนาน จู่ๆ โผล่มาขึ้นเรือแบบตีมึน สุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสภา ที่เคยรับใช้ตระกูลชินวัตร จนได้ฉายา "ประธานสุชิน" จินดา วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.ลำปาง พรรคไทยรักไทย พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย บัญชา ปรมีศณาภรณ์ อดีตทนายความ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ สมพงษ์ สระกวี อดีต ส.ว.สงขลา สมาชิกพรรคเพื่อไทย และผู้ดำเนินรายการพีซทีวี เครือข่ายคนเสื้อแดง รวมไปถึง“อ๊อดถังเช่า”พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา
ได้เยอะกว่าที่คนเย้ยหยันเอาไว้ แต่จำนวนชี้วัดคุณภาพไม่ได้เสมอไป ปลาผิดน้ำเหล่านี้ เป็นแค่แถวสองแถวสามในพรรค ไม่ได้มีอิทธิพลหรืออำนาจตัดสินใจอะไรได้ อยู่ในหมวดหมู่ความเลวไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ขาดหายไปไม่ได้สั่นคลอน แม้แต่ ชิดชัย พี่ชาย เชิดชัย ตันติศิรินทร์ แกนนำคนเสื้อแดงเองที่ระยะหลังก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรในขบวนการทักษิณเท่าไหร่ คนที่กินสองเด้งงานนี้คือ แป๊ะเจ้าของเรือ ได้ทั้งภาพ สปท.หลากหลายเพราะมีนักการเมืองครบทุกหมู่เหล่า ได้ทั้งความชอบธรรมในการดำเนินการเรื่องต่างๆ ว่าทุกฝ่ายเห็นพ้อง
แน่นอนว่า พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงเสื้อแดง เครือข่ายนักโทษทักษิณ ต้องออกแอ๊คชั่นแสดงท่าที เหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า ยืนยันว่า พวกที่ไปร่วมสปท. ไม่เกี่ยวดองหนองยุ่งกันอีกแล้ว ตั้งแง่รังเกียจทหาร สั่งท่องกันเป็นบทสวดไม่ร่วมสังฆกรรมเผด็จการ
ไปๆ มาๆ คนชักเริ่มรำคาญ ค้านตะพึดตะพือ ไม่ลืมหูลืมตาดูเหตุผลอะไรเลย วันนี้พรรคเพื่อไทย กลายเป็นพวกอคติ จ้องเล่นการเมืองอย่างเดียว มากกว่ามองประโยชน์ส่วนรวม พรรคการเมืองทุกพรรค ต่างพร้อมใจส่งตัวแทนเข้ามาเป็น สปท.ในรอบนี้ทั้งนั้น ชาติไทยพัฒนาของบรรหาร ศิลปอาชา ชาติพัฒนา ของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ พลังชล ของ สนธยา คุณปลื้ม ภูมิใจไทยของ เนวิน ชิดชอบ หรือแม้แต่พรรคใหญ่อย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ต่อให้ส่งพวกเกรดบี เกรดซี มาก็ตาม
ขาดแต่พรรคเพื่อไทย หัวเดียวกระเทียมลีบ แล้วการตัดหางปล่อยวัดพวกสมาชิกที่ออกมาร่วมสังฆกรรมกับคสช.ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว แม้จะมีเสียงปรบมือโห่ร้องจากมวลชนที่สนับสนุนตัวเอง ในความหนักแน่นของจุดยืนที่ไม่ร่วมหอลงโรงกับเผด็จการ แต่ก็ดูจะเป็นการกระทำที่เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง เห็นไส้เห็นพุงว่า ยุทธวิธีการดังกล่าว ก็เป็นเพียงการหลอกต้มมวลชนไปวันๆ ผ่านวาทกรรม และการโฆษณาชวนเชื่อว่า คนเหล่านี้มีอุดมการณ์เรื่องประชาธิปไตยจริงๆ
ภาพที่ย้อนแย้งกันเกิดขึ้นในสังคมคือ คสช. พยายามปรับตัวเข้าหาฝ่ายการเมือง ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ปิดประตูไม่ยอมรับ หรือผ่อนปรน หรือรอมชอมใดๆ เลย เพราะเรื่องอัตตาเป็นเหตุผล อุดมการณ์ประชาธิปไตยร้อยเปอร์เซ็นต์ของพรรคเพื่อไทย จริงแล้วเป็นของเก๊ หรือของเทียม หรือเป็นเพียงวาทกรรมรักษามวลชนเพื่อโค่นอีกฝั่ง หากรังเกียจเดียดฉันท์รัฐธรรมนูญที่คณะเผด็จการสร้างขึ้นจริง เหตุใดปี 2550 จึงยอมลงแข่งขันเลือกตั้งภายใต้กติกาที่เป็นผลไม้พิษ
เช่นเดียวกับรอบนี้ จับพลัดจับผลูรัฐธรรมนูญเกิดผ่านประชามติขึ้นมา พรรคเพื่อไทย กล้าแสดงจุดยืนไม่ลงเลือกตั้งภายใต้กติกาของคณะรัฐประหารหรือไม่
เคยมีการกระแทกคำถามดังกล่าวนี้ใส่แกนนำของพรรคมาแล้ว แต่ตลกร้ายไม่มีใครกล้าอ้าปากพูดแม้แต่คนเดียวว่า จะบอยคอต สวนทางกับจุดยืนตัวเองที่พยายามแสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง
การเรียกร้องเอาแต่เลือกตั้งแบบก้มหน้าก้มตาไม่เงยดูสภาพสังคมว่าพร้อมหรือยัง ไม่ได้เหลียวหลังแลหน้าว่าความขัดแย้งยังไม่จบสิ้น ประชาชนยังไม่ตื่นรู้เท่าชาติประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว ดูจะเป็นเพียงการแสดงวามประสงค์ เพื่อกลับมามีอำนาจใหม่อีกครั้ง มากกว่าการคำนึงถึงความสงบสุขในสังคม
ถ้าวันนี้บ้านเมืองเรา คนในบ้านเรายกระดับขึ้นมาเหมือนชาติที่อยู่กับประชาธิปไตยได้โดยไร้ปัญหา นับ 10 นับ 100 ปี จะยอมจำนนไม่โต้แย้งตรรกะของพรรคเพื่อไทย แต่อย่างที่รู้กันประชาธิปไตยไม่สามารถใช้ได้ทุกที่ในโลก ประเทศตะวันออกกลาง ประเทศที่มีหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ปล่อยให้อิสระเมื่อไหร่ก็วุ่นวายห้ำหั่นแย่งชิงกันเมื่อนั้น แม้ประเทศไทยจะไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น แต่มันก็มีปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องอำนาจผลประโยชน์เป็นตัวขับเคลื่อนความแตกแยกวุ่นวาย ถึงขั้นประหัตประหารเอาชีวิตกัน
ฉะนั้น ควรพักประชาธิปไตยกันสักครู่ได้ไหม หยุดความอิสระเสรีกันสักพักได้หรือเปล่า มาช่วยกันวางกติกา วางกฎเกณฑ์ร่วมกันเพื่อสังคมแห่งสันติสุข พลิกฟื้นดินแดนแห่งความสงบและรอยยิ้ม ถ้ามันเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ รับรองประชาธิปไตยตามมาแน่ เพราะรู้กันทั่วกระทั่งเด็กอมมือว่า ประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองที่ดีที่สุด
ตอนนี้คือระยะเปลี่ยนผ่าน วางรากฐานสู่ประชาธิปไตยเข้มแข็ง ถ้ายังเล่นการเมืองแบบเอาล่อเอาเถิด ชนะคะคานอย่างเดียว ไม่เจรจาพาทีร่วมมือในการแสวงหาทางออกใดๆ คงถึงเวลาที่คนไทย โดยเฉพาะเหล่าสาวก สมาชิกพรรคเพื่อไทย เครือข่ายคนเสื้อแดง ต้องทบทวนไตร่ตรองกันดูบ้าง และพรรคเพื่อไทยต้องถามตัวเองเหมือนกันว่า ประชาธิปไตยของคุณคืออะไร เพื่อรักษามวลชน เพื่อผลประโยชน์ หรือเพื่อประเทศชาติ
สุดท้ายกลายเป็นตัวเองหรือเปล่า ที่กอดรั้งความขัดแย้งเอาไว้ ???