**ดูเหมือนว่าโรดแมปที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วางไว้ยังคงดำเนินไปตามแผนงานเป๊ะๆ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เป็นตัวขับเคลื่อน
โดย “วิษณุ เครืองาม”กุนซือกฎหมายของ คสช. เคยให้คำนิยามไว้ว่า รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เป็นต้นทางของแม่น้ำ 5 สาย หรือ 5 องค์กรที่จะเกิดขึ้นภายใต้กฎหมายสูงสุดดังกล่าว ไล่ตั้งแต่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และ คสช.ที่ยังคงต้องอยู่คอนโทรลเกมต่อไป
“สนช.”ที่เป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ก็ได้เริ่มหลั่งไหลแบบเต็มกำลังแล้ว ภายหลังจากที่มีการเลือกสนช. ชุดประเดิมเข้ามาประจำการทำหน้าที่ ยังเหลืออีกเพียงบางส่วนที่ยังเว้นว่างไว้ในยามที่เผื่อเหลือเผื่อขาด แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ได้ยินเป็นระยะ ถึงหน้าตาของ สนช. ที่มีคนในเครื่องแบบอยู่ครึ่งค่อนสภา
สายธารที่เหลือก็ดูไม่น่ามีปัญหา เมื่อสนช.เตรียมที่จะโหวตนายกรัฐมนตรีในอีกไม่กี่อึดใจนี้ ก็จะทำให้มีครม.ชุดใหม่ภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน
ส่วน 36 อรหันต์กรรมาธิการยกร่าง รธน. ที่จะเป็นลำธารสายสุดท้ายนั้น ก็เชื่อว่าวันนี้เห็นหน้าเห็นตัวกันเกือบหมดแล้ว แต่ตามคิวต้องออกโรงเป็น “ชุดฟินาเล่”ในตอนท้าย
ที่น่าเป็นห่วงก็เห็นจะมี สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ที่กำหนดไว้ว่า ให้มีสมาชิกไม่เกิน 250 คน มาจากการสรรหาแบ่งมาจากจังหวัดต่างๆ 77 จังหวัด รวมกับผู้ทรงคุณวุฒิจาก 11 ด้าน ที่คณะกรรมการสรรหาจะเป็นผู้ชงชื่อด้านละ 50 คน เพื่อให้คสช.เคาะเหลือ 173 คน รวมเป็น 250 คนตามสูตรที่วางไว้
ที่น่าเป็นห่วงก็เพราะ ตลอดระยะเวลาราว 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการรับสมัครผู้เสนอตัวเป็นสปช.ไม่คึกคักอย่างที่คาดการณ์กันไว้ จนแม้แต่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ยังต้องกำชับให้เร่งตีปิ๊บประชาสัมพันธ์ให้มีคนเข้ามาร่วมสรรหาเป็น สปช. ให้มากที่สุด
**สะท้อนให้เห็นว่า คสช. ก็รู้ดีว่ายอด 500 กว่าคน จาก 6 วันที่เปิดรับสมัครไม่ถึงเป้าที่วางไว้ อีกทั้งเมื่อไล่สแกนเป็นรายคนก็จะเห็นว่า ไร้ซึ่งเงาของบรรดา “บิ๊กเนม”ที่มาร่วมวง สร้างความน่าเชื่อถือให้ สปช.ในคราวนี้
หลักเกณฑ์ที่ คสช.วางไว้ โดยให้นิติบุคคลไม่แสวงผลกำไรเสนอชื่อคนเข้าร่วมประกวด มองแง่หนึ่งก็เพื่อเปิดกว้างให้มีบุคคลจากทุกภาคส่วนเข้ามาอยู่ในตะกร้าให้ คสช.คัดในรอบไฟนอล รวมทั้งไม่กีดกัน“นักการเมือง”เข้าร่วมเหมือนที่วางสเปก สนช. กับคนที่จะมาเป็นนายกฯ ก็เท่ากับว่า อยากเชิญชวนให้พรรคการเมืองในฐานะองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ส่งตัวแทนเข้าร่วมกระบวนการด้วย แต่อีกแง่ก็เหมือนจะทำให้ระบบคัดกรองคนมีปัญหา
เพราะองค์กรที่น่าจะเกี่ยวข้องไม่เข้าร่วม แต่องค์กรที่ดูห่างไกลกับคำว่าปฏิรูป ชักแถวเสนอคนเข้ามาเต็มไปหมด จนถูกค่อนแคะว่า บรรดานิติบุคคลบ้านจัดสรร-คอนโดมิเนียม สมาคมครูผู้ปกครอง สมาคมโต๊ะสนุ้ก ก็ร่วมเสนอบุคคลได้
ขณะที่พรรคการเมืองก็ตั้งแง่มาตลอด ทั้ง “เพื่อไทย”ที่มีธงชัดเจนว่า จะไม่ขัดขวาง แต่ก็ไม่เอาตัวมาแปดเปื้อนกับการรัฐประหาร “ประชาธิปัตย์”ก็เลือกบทพระเอกตามถนัด ไม่อยากเข้าร่วม เพราะเกรงว่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน เฉกเช่นเดียวกับ“ชาติไทยพัฒนา”ที่เลือกแทงหวยไม่เข้าร่วมอีกคน
พรรคที่มีชื่อหน่อยที่ส่งคนให้ คสช. ตรวจสเปก ก็มี “ภูมิใจไทย”ที่ "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล ส่ง “ชัย ชิดชอบ”อดีตประธานรัฐสภาร่วมวง “ชาติพัฒนา”ก็เลือกให้ "บิ๊กเยิ้ม" พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร เข้าชิงชัย และ รายล่าสุด พรรคคนไทย โดย “อุเทน ชาติภิญโญ”หัวหน้าพรรคร่วมวงด้วยตัวเอง ขณะที่พรรคไม้ประดับอื่นๆ กระโดดเข้าร่วมกันพรึ่บพรั่บตามคาด
**ส่วนกระบวนการสรรหาของต่างจังหวัด ยิ่งมีปัญหา หลายจังหวัดไม่เปิดรับสมัครด้วยซ้ำ กลับเลือกใช้วิธีการทาบทาม โดยอ้างเหตุผลข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา ทั้งที่ 20 กว่าวัน ที่รธน.ชั่วคราวกำหนดให้น่าจะเหลือเฟือ เมื่อเลือกที่จะทาบทามบุคคล แทนที่จะเปิดกว้างให้มีการสมัคร เสนอตัว ก็หนีไม่พ้นข้อครหาที่ว่ามีการ “ล็อกตัว-ล็อกสเปก”กันไป
ลงลึกในกระบวนการทาบทามก็ไปกันใหญ่ เมื่อโจทย์ที่ คสช.ให้ไปนั้นคือ เปิดกว้าง หลากหลาย และถ้าจะให้ดีต้องมีตัวแทนกลุ่มการเมืองต่างๆ เข้ามาร่วม พอไถ่ถาม“คนเพื่อไทย-คนประชาธิปัตย์”ในพื้นที่ ก็พูดเหมือนๆกันว่า ช่วงนี้คนมาจีบไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็ยังไม่ใจอ่อน เพราะต้นสังกัดมีจุดยืนที่ชัดเจน
**โดยเฉพาะ“คนเพื่อไทย-เสื้อแดง” ถูกตามจีบ ตามตื๊ออย่างหนัก เพราะคสช. ชี้เป้าอยากได้คน“ระบอบทักษิณ”เข้ามาเป็นส่วนผสมในกระบวนการปฏิรูปอย่างมาก
มองไม่ยาก ที่ 2 พรรคใหญ่ตั้งแง่ ก็เพราะอ่านเกมขาดว่า คสช.ไม่การันตีเก้าอี้ให้ หรือฮย่างน้อยหากหลุดเข้าไปได้ ก็ไม่มีบทบาทสำคัญอะไร เป็นเพียงแค่ไม้ประดับ หรือเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้าน สร้างความชอบธรรมให้กระบวนการปฏิรูปเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งใน รธน.ชั่วคราว ในประกาศ คสช. หรือแม้แต่ระเบียบของกกต. เกี่ยวกับการสรรหา สปช. พูดถึงเพียงสูตรในการคัดสรรบุคคล โดยให้จังหวัดต่างๆ ส่งชื่อมาจังหวัดละ 5 คน รวม 385 คน และคณะกรรมการสรรหาจัดมามา 550 คน ก่อนที่จะให้ คสช. เลือกให้เหลือ 250 คน โดยที่ไม่ได้พูดถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาว่า เลือกแบบไหน อย่างไร แม้แต่น้อย
ตรงนี้คือปมที่ฝ่ายการเมืองติดใจเป็นอย่างมาก และเกรงว่าจะตกรอบ เสียหน้า-เสียฟอร์ม กันไปใหญ่ การวางระยะห่างไม่เข้าร่วม ก็เหมือนการสงวนสิทธิ์ในการรุมถล่มในภายหลัง หากการปฏิรูปประเทศโดย คสช. พลาดพลั้งขึ้นมา
หากกระบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่มีคนจากพรรคการเมืองใหญ่ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์”หรือกลุ่มการเมือง “คนเสื้อแดง - กปปส.” คงดูไม่สมประกอบเท่าไรนัก แต่ด้วยพลังอำนาจที่คสช.มีอยู่ ก็เชื่อว่าจะเดินหน้าต่อไปได้ไม่ยาก
**แต่บทสรุปออกมาในรูปแบบไหน เจ๊า-เจ๊ง-เจี๊ยะ คงต้องติดตามกันต่อไป...
โดย “วิษณุ เครืองาม”กุนซือกฎหมายของ คสช. เคยให้คำนิยามไว้ว่า รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 เป็นต้นทางของแม่น้ำ 5 สาย หรือ 5 องค์กรที่จะเกิดขึ้นภายใต้กฎหมายสูงสุดดังกล่าว ไล่ตั้งแต่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และ คสช.ที่ยังคงต้องอยู่คอนโทรลเกมต่อไป
“สนช.”ที่เป็นแม่น้ำสายหนึ่ง ก็ได้เริ่มหลั่งไหลแบบเต็มกำลังแล้ว ภายหลังจากที่มีการเลือกสนช. ชุดประเดิมเข้ามาประจำการทำหน้าที่ ยังเหลืออีกเพียงบางส่วนที่ยังเว้นว่างไว้ในยามที่เผื่อเหลือเผื่อขาด แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้ได้ยินเป็นระยะ ถึงหน้าตาของ สนช. ที่มีคนในเครื่องแบบอยู่ครึ่งค่อนสภา
สายธารที่เหลือก็ดูไม่น่ามีปัญหา เมื่อสนช.เตรียมที่จะโหวตนายกรัฐมนตรีในอีกไม่กี่อึดใจนี้ ก็จะทำให้มีครม.ชุดใหม่ภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน
ส่วน 36 อรหันต์กรรมาธิการยกร่าง รธน. ที่จะเป็นลำธารสายสุดท้ายนั้น ก็เชื่อว่าวันนี้เห็นหน้าเห็นตัวกันเกือบหมดแล้ว แต่ตามคิวต้องออกโรงเป็น “ชุดฟินาเล่”ในตอนท้าย
ที่น่าเป็นห่วงก็เห็นจะมี สภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ที่กำหนดไว้ว่า ให้มีสมาชิกไม่เกิน 250 คน มาจากการสรรหาแบ่งมาจากจังหวัดต่างๆ 77 จังหวัด รวมกับผู้ทรงคุณวุฒิจาก 11 ด้าน ที่คณะกรรมการสรรหาจะเป็นผู้ชงชื่อด้านละ 50 คน เพื่อให้คสช.เคาะเหลือ 173 คน รวมเป็น 250 คนตามสูตรที่วางไว้
ที่น่าเป็นห่วงก็เพราะ ตลอดระยะเวลาราว 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการรับสมัครผู้เสนอตัวเป็นสปช.ไม่คึกคักอย่างที่คาดการณ์กันไว้ จนแม้แต่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ยังต้องกำชับให้เร่งตีปิ๊บประชาสัมพันธ์ให้มีคนเข้ามาร่วมสรรหาเป็น สปช. ให้มากที่สุด
**สะท้อนให้เห็นว่า คสช. ก็รู้ดีว่ายอด 500 กว่าคน จาก 6 วันที่เปิดรับสมัครไม่ถึงเป้าที่วางไว้ อีกทั้งเมื่อไล่สแกนเป็นรายคนก็จะเห็นว่า ไร้ซึ่งเงาของบรรดา “บิ๊กเนม”ที่มาร่วมวง สร้างความน่าเชื่อถือให้ สปช.ในคราวนี้
หลักเกณฑ์ที่ คสช.วางไว้ โดยให้นิติบุคคลไม่แสวงผลกำไรเสนอชื่อคนเข้าร่วมประกวด มองแง่หนึ่งก็เพื่อเปิดกว้างให้มีบุคคลจากทุกภาคส่วนเข้ามาอยู่ในตะกร้าให้ คสช.คัดในรอบไฟนอล รวมทั้งไม่กีดกัน“นักการเมือง”เข้าร่วมเหมือนที่วางสเปก สนช. กับคนที่จะมาเป็นนายกฯ ก็เท่ากับว่า อยากเชิญชวนให้พรรคการเมืองในฐานะองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ส่งตัวแทนเข้าร่วมกระบวนการด้วย แต่อีกแง่ก็เหมือนจะทำให้ระบบคัดกรองคนมีปัญหา
เพราะองค์กรที่น่าจะเกี่ยวข้องไม่เข้าร่วม แต่องค์กรที่ดูห่างไกลกับคำว่าปฏิรูป ชักแถวเสนอคนเข้ามาเต็มไปหมด จนถูกค่อนแคะว่า บรรดานิติบุคคลบ้านจัดสรร-คอนโดมิเนียม สมาคมครูผู้ปกครอง สมาคมโต๊ะสนุ้ก ก็ร่วมเสนอบุคคลได้
ขณะที่พรรคการเมืองก็ตั้งแง่มาตลอด ทั้ง “เพื่อไทย”ที่มีธงชัดเจนว่า จะไม่ขัดขวาง แต่ก็ไม่เอาตัวมาแปดเปื้อนกับการรัฐประหาร “ประชาธิปัตย์”ก็เลือกบทพระเอกตามถนัด ไม่อยากเข้าร่วม เพราะเกรงว่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน เฉกเช่นเดียวกับ“ชาติไทยพัฒนา”ที่เลือกแทงหวยไม่เข้าร่วมอีกคน
พรรคที่มีชื่อหน่อยที่ส่งคนให้ คสช. ตรวจสเปก ก็มี “ภูมิใจไทย”ที่ "เสี่ยหนู" อนุทิน ชาญวีรกูล ส่ง “ชัย ชิดชอบ”อดีตประธานรัฐสภาร่วมวง “ชาติพัฒนา”ก็เลือกให้ "บิ๊กเยิ้ม" พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร เข้าชิงชัย และ รายล่าสุด พรรคคนไทย โดย “อุเทน ชาติภิญโญ”หัวหน้าพรรคร่วมวงด้วยตัวเอง ขณะที่พรรคไม้ประดับอื่นๆ กระโดดเข้าร่วมกันพรึ่บพรั่บตามคาด
**ส่วนกระบวนการสรรหาของต่างจังหวัด ยิ่งมีปัญหา หลายจังหวัดไม่เปิดรับสมัครด้วยซ้ำ กลับเลือกใช้วิธีการทาบทาม โดยอ้างเหตุผลข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา ทั้งที่ 20 กว่าวัน ที่รธน.ชั่วคราวกำหนดให้น่าจะเหลือเฟือ เมื่อเลือกที่จะทาบทามบุคคล แทนที่จะเปิดกว้างให้มีการสมัคร เสนอตัว ก็หนีไม่พ้นข้อครหาที่ว่ามีการ “ล็อกตัว-ล็อกสเปก”กันไป
ลงลึกในกระบวนการทาบทามก็ไปกันใหญ่ เมื่อโจทย์ที่ คสช.ให้ไปนั้นคือ เปิดกว้าง หลากหลาย และถ้าจะให้ดีต้องมีตัวแทนกลุ่มการเมืองต่างๆ เข้ามาร่วม พอไถ่ถาม“คนเพื่อไทย-คนประชาธิปัตย์”ในพื้นที่ ก็พูดเหมือนๆกันว่า ช่วงนี้คนมาจีบไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็ยังไม่ใจอ่อน เพราะต้นสังกัดมีจุดยืนที่ชัดเจน
**โดยเฉพาะ“คนเพื่อไทย-เสื้อแดง” ถูกตามจีบ ตามตื๊ออย่างหนัก เพราะคสช. ชี้เป้าอยากได้คน“ระบอบทักษิณ”เข้ามาเป็นส่วนผสมในกระบวนการปฏิรูปอย่างมาก
มองไม่ยาก ที่ 2 พรรคใหญ่ตั้งแง่ ก็เพราะอ่านเกมขาดว่า คสช.ไม่การันตีเก้าอี้ให้ หรือฮย่างน้อยหากหลุดเข้าไปได้ ก็ไม่มีบทบาทสำคัญอะไร เป็นเพียงแค่ไม้ประดับ หรือเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้าน สร้างความชอบธรรมให้กระบวนการปฏิรูปเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งใน รธน.ชั่วคราว ในประกาศ คสช. หรือแม้แต่ระเบียบของกกต. เกี่ยวกับการสรรหา สปช. พูดถึงเพียงสูตรในการคัดสรรบุคคล โดยให้จังหวัดต่างๆ ส่งชื่อมาจังหวัดละ 5 คน รวม 385 คน และคณะกรรมการสรรหาจัดมามา 550 คน ก่อนที่จะให้ คสช. เลือกให้เหลือ 250 คน โดยที่ไม่ได้พูดถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาว่า เลือกแบบไหน อย่างไร แม้แต่น้อย
ตรงนี้คือปมที่ฝ่ายการเมืองติดใจเป็นอย่างมาก และเกรงว่าจะตกรอบ เสียหน้า-เสียฟอร์ม กันไปใหญ่ การวางระยะห่างไม่เข้าร่วม ก็เหมือนการสงวนสิทธิ์ในการรุมถล่มในภายหลัง หากการปฏิรูปประเทศโดย คสช. พลาดพลั้งขึ้นมา
หากกระบวนการปฏิรูปประเทศ ไม่มีคนจากพรรคการเมืองใหญ่ “เพื่อไทย–ประชาธิปัตย์”หรือกลุ่มการเมือง “คนเสื้อแดง - กปปส.” คงดูไม่สมประกอบเท่าไรนัก แต่ด้วยพลังอำนาจที่คสช.มีอยู่ ก็เชื่อว่าจะเดินหน้าต่อไปได้ไม่ยาก
**แต่บทสรุปออกมาในรูปแบบไหน เจ๊า-เจ๊ง-เจี๊ยะ คงต้องติดตามกันต่อไป...