xs
xsm
sm
md
lg

พลิกปูม 21 อรหันต์ กรธ. เช็กชื่อ สปท.ฝ่ายการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

มีชัย ฤชุพันธุ์
รายงานการเมือง

ประกาศรายชื่อออกมาเป็นทางการแล้วทั้ง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ผนึกกำลังเป็นแม่น้ำ 5 สายของ “เรือแป๊ะ” คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามเดิม หลังจากที่ปลดระวางชุดเก่าไปเมื่อเดือนก่อน

ในส่วนของ กรธ.ก็ไม่แหกโผ ขุดกรุเอา “มีชัย ฤชุพันธ์” ในวัย 77 กะรัต มานั่งประจำการเป็น “ฝีพาย” ในตำแหน่งประธาน กรธ. ตามที่มีการฟันธงผ่านหน้าสื่อไปก่อนหน้านี้ โดยมานำทัพ 21 อรหันต์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หลังจากศิษย์ก้นกุฏิ “ดร.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่วันนี้ยังฉนไม่หายเพราะถูก “แป๊ะ” หักหลังโหวตคว่ำรัฐธรรมนูญในชั้นสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)

เป็น “มีชัย” ที่พกดีกรีนักกฎหมายชั้นอ๋อง ผ่านงานสำคัญๆมาในทุกระดับ ตั้งแต่อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา อดีตประธานวุฒิสภา อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2550 อดีตผู้อำนวยกองยกร่างกฎหมายคนแรกของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และนอกจากทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 1 แล้วก็ยังเป็นสมาชิก คสช.ด้วย

สำหรับงานร่างรัฐธรรมนูญนั้นแม้จะไม่เคยรับผิดชอบอย่างเต็มตัว แต่ในอดีตว่ากันว่า “มีชัย” มีบทบาทในเรื่องการเขียนกฎหมายสูงสุดมาตั้งแต่สมัยรัฐประหารเดือน ต.ค. 2519 ต่อมาก็เป็นผู้ผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2534 เพื่อจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญ อันเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ถูกยกย่องว่าเป็น “ฉบับประชาชน”

ขณะที่เมื่อครั้งรัฐประหารปี 2549 เจ้าตัวก็เกือบจะได้นั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 แต่เป็น “น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ” ที่เข้าวินในช่วงโค้งสุดท้าย ขณะที่ “มีชัย” ได้ตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปแทน

สำหรับทีมงาน 20 กรธ.ถือว่าใหม่กับการร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเกือบทั้งหมดไม่เคยมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ โดยส่วนใหญ่ “มีชัย” เลือกเฟ้นมากับมือ หนีบเอาทีมงานจากกฤษฎีกามามาช่วยงานหลายคน ทั้ง “ปกรณ์ นิลประพันธ์ - ธนาวัฒน์ สังข์ทอง” กรรมการร่างกฎหมายประจำ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่ง “ปกรณ์” นั้นถือเป็นเต็งจ๋าในตำแหน่งเลขาธิการ กรธ. เพราะเป็น “มือทำงาน” คนสำคัญของท่านประธาน กรธ.ในปัจจุบัน รวมไปถึง “อัชพร จารุจินดา” อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และยังเป็นอดีต กมธ.ยกร่างฯปี 50

ขณะที่สายวิชาการประกอบด้วย “ชาติชาย ณ เชียงใหม่” ศาสตราจารย์ด้านรัฐประศาสนศาสตร์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และเป็นอดีต สปช. “เธียรชัย ณ นคร” อาจารย์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช และเลขาธิการสภาพัฒนาการเมือง “อุดม รัฐอมฤต” ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ “ศุภชัย ยาวะประภาษ - อมร วาณิชวิวัฒน์” จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่ “ธิติพันธุ์ เชื้อบุญชัย” อดีต ส.ส.ร.ปี 2550 ก็มาจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่นกัน

ใน 21 อรหันต์ชุดนี้มีสุภาพสตรีติดมาด้วย 2 รายซึ่งมีชื่อติดโผมาตั้งแต่ต้นแบบม้วนเดียวจบ ได้แก่ “กีระณา สุมาวงษ์” ที่พกดีกรีเนติบัณฑิตอังกฤษ และอดีต ส.ว.สรรหา และ “จุรี วิจิตรวาทการ” อดีตอธิการบดีนิด้า อดีต สปช. และอดีต สนช.ปี 49

นอกจากนี้ก็มี กรธ.ที่มาดูเฉพาะทาง ได้แก่ “นรชิต สิงหเสนี” อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติ และอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ มาดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการต่าประเทศ “ภุมรัตน ทักษาดิพงษ์” อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ มาดูเรื่องความมั่นคงโดยเฉพาะ รวมไปถึง “สุพจน์ ไข่มุกด์” ที่เพิ่งหมดวาระตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหมาดๆ

ที่ขาดไม่ได้ก็ตัวแทนของกองทัพมากันด้วย 3 คน ประกอบด้วย “พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ” อดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ และสมาชิก สนช.หนึ่งเดียวใน กรธ. “พล.ต.วิระ โรจนวาศ” อดีตผู้อำนวยการสำนักพระธรรมนูญทหารบก และ “พล.อ.อัฏฐพร เจริญพานิช” อดีตเจ้ากรมพระธรรมนูญ กรรมการกฤษฎีกา และอดีต กมธ.ยกร่างฯปี 50

เซอร์ไพรส์เล็กๆ เป็นชื่อของ “อภิชาต สุขัคคานนท์” อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) และ “ประพันธ์ นัยโกวิท” อดีต กกต.ที่ถูกวางตัวมาช่วยดูเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับตัวแทนสื่อ “เดอะโม่ง” ภัทระ คำพิทักษ์ ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติคนล่าสุดที่เพิ่งได้รับเลือกเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถูกกล่อมให้มาร่วมเขียนรัฐธรรมนูญ แต่ก็ต้องไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งประธานสภาการหนังสือพิมพ์ฯ

ครบถ้วน 21 อรหันต์ที่ “มีชัย” ประกาศเริ่มทำงานทันที และจะมีการประชุมทุกวันจนกว่าจะเสร็จภารกิจ ซึ่งมีเวลาราว 6 เดือนในการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำเข้ากระบวนการประชามติต่อไป

ต้องรอดูว่าเมื่อ “ซือแป๋” ยอมลงมาเล่นเองจะนำพา “เรือแป๊ะ” ไปตลอดรอดฝั่ง หรือประสบชะตาเดียวกับ “เดอะปึ๊ด” ที่ถึงขั้นเสียผู้เสียคนไปแล้ว

หันมาดูในส่วนของ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) ที่มีการประกาศออกมารวดเดียว 200 คนตามโควตาที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 กำหนดไว้ ไล่เรียงรายชื่อก็ปรากฎว่ากลายเป็น “สภาเกษียณ” ที่เต็มไปด้วยบรรดาอดีตข้าราชการ ผู้ว่าฯ ทหาร ตำรวจเต็มไปหมด รวมไปถึงอดีต สปช.ที่ได้รีเทิร์นกลับมาไม่มากไม่น้อยราว 60 คน ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่โหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้วโดยมีรายชื่อที่น่าสนใจ อาทิ “พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย - พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา - วันชัย สอนศิริ - สมชัย ฤชุพันธุ์ - อลงกรณ์ พลบุตร - ดุสิต เครืองาม - ชัย ชิดชอบ - พล.อ.ฐิติวัจน์ กำลังเอก” เป็นต้น

ขณะที่ฝ่ายการเมืองที่ทั้งยินยอมพร้อมใจ และถูกทาบทามแกมบังคับ เข้ามาพอสมควร ประกอบด้วย “ปู่ชัย - อลงกรณ์ - ดำรงค์ พิเดช” ซึ่งเป็นอดีต สปช.อยู่แล้ว “กษิต ภิรมย์” น่าจะมาในโควตาพรรคประชาธิปัตย์ “นิกร จำนง” จากพรรคชาติไทย “วิทยา แก้วภราดัย” คงเป็น กปปส.ส่งเข้าประกวด เช่นเดียวกับ “ณรงค์ สหเมธาพัฒน์” อดีตปลัดสาธารณสุข

ในส่วนของพรรคเพื่อไทย หรือฝ่ายทักษิณ นอกจาก “พ.ต.อาณันย์” และ “บัญชา ปรมีศณาภรณ์” อดีตทนายความของ “ยิ่งลักษณ์” ที่เป็นอดีต สปช.ทั้งคู่แล้วก็มี “พล.อ.วิชิต ยาทิพย์” คนสนิท “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หนีบมาด้วยดับ “สมพงษ์ สระกวี” คนเดือนตุลาฯ มือทำงานมวลชนตั้งแต่สมัยไทยรักไทย รวมไปถึง “สุชน ชาลีเครือ” เจ้าของสมญานาม “สุชิน” ที่ห่างไปจากสารบบพักใหญ่ ก่อนจะมามีชื่อเป็น สปท.ในฐานะตัวแทนของฝ่ายทักษิณ

ค่อนข้างเซอร์ไพรส์กับชื่อ “บิ๊กด๊อก” พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกฯ เบอร์ 1 สมัยรัฐบาลไทยรักไทย ถือเป็น “พี่เลิฟ” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ใช้ชีวิตด้วยกันเมื่อครั้งเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ที่สำคัญเคยทำหน้าที่รักษาการนายกฯ ในช่วงที่ “ทักษิณ” ลาพักจากการทำหน้าที่เมื่อปี 2549 รวมไปถึงในช่วงที่มีการรัฐประหาร ก.ย. 2549 ซึ่งได้รับคำสั่งจาก “ทักษิณ” ให้ตั้งวอร์รูมสู้กับ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) อีกด้วย หลังถูกตัดสิทธิทางการเมืองเมื่อปี 50 “ชิดชัย” ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับงานทางการเมือง โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด มาตกเป็นข่าวเล็กน้อยเมื่อ “ครม.ประยุทธ์” มีมติให้เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์จอร์แดนในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้มีนัยทางการเมืองใดๆ ก่อนจะมาเป็น สปท.ในครั้งนี้

ทั้ง “สมพงษ์ - สุชน” เช่นเดียวกับ “ชิดชัย” เคยได้ชื่อว่าเป็น “สายตรง” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” หรือว่ากันง่ายๆเป็น “สายตรงจันทร์ส่องหล้า” แต่ก็ต้องรอดูว่า งานนี้ได้ไฟเขียวจาก “นายใหญ่ - นายหญิง” หรือมีรายการคุณขอมา เพื่อสร้างภาพเชื่อมโยงให้เห็นว่ามีคนของฝ่าย “ทักษิณ” เข้าร่วมกับ คสช.ด้วยเท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น