ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - น่าสนใจกับท่าทีของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลุกขึ้นมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบรรดา “คีย์แมน” ของสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ซึ่งเป็นคณะทำงานพิจารณาคดีโครงการจำนำข้าวของฝั่ง อสส. ในข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 200
ไล่ตั้งแต่ “ตระกูล วินิจนัยภาค” อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) “ชุติชัย สาขากร” อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ “สุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล” อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และ “กิตินันท์ ธัชประมุข” รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนต่อศาลอาญา
โทษฐานร่วมกันจับตัว “คุณหนูปู” เอาคอไปพาดเขียง
ยิ่งน่าสนใจไปกว่านั้นกับการที่ “ยิ่งลักษณ์” เลือกที่จะเดินทางมายื่นคำร้องต่อศาลด้วยตัวเอง แถมกระเตงพี่เขยอย่าง “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีชนักปักหลังในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเหมือนกันมาที่ศาลด้วย
ถือว่าผิดวิสัยของนักการเมืองระดับนี้ เพราะปกติหากกฎหมายไม่บังคับให้ต้องไปยื่นคำร้องด้วยตัวเอง และที่ผ่านมา “ยิ่งลักษณ์” ก็มักเลือกใช้วิธีมอบอำนาจให้ “ทนายหน้าหอ” อย่าง “นรวิชญ์ หล้าแหล่ง - สมหมาย กู้ทรัพย์” มาทำหน้าที่แทนเสียมากกว่า
คราวนี้ “ยิ่งลักษณ์” เลือกมาด้วยตัวเอง ด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม แต่เป็นไปในลักษณะจริงจังและดุดัน อันผิดปกติวิสัยของอดีตนายกรัฐมนตรีแคตวอล์ก
ลักษณะเหมือนยกทัพใหญ่ออกศึก ทั้งที่งานแบบนี้ส่งแค่ “ม้าเร็ว” หรือคนนำสารไปก็พอ
พลิกเกมจับ อสส.ขึ้นเขียงบ้าง
ในคำฟ้องของ “ยิ่งลักษณ์” กล่าวโทษจำเลยทั้ง 4 คน ใน 3 ประเด็นคือ 1.การตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาระหว่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กับอัยการ มี 2 ประเด็นที่ไม่สมบูรณ์ แต่ อสส.ไม่ได้สอบโดยสมบูรณ์ กลับได้สั่งฟ้องก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีมติถอดถอนเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
2.สำนวนที่ ป.ป.ช.ส่งมามีข้อกล่าวหาว่า ละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 แต่ในชั้นของอัยการมีการเพิ่มว่า มีการสมรู้ในประเด็นทุจริตเข้ามาด้วย ซึ่งอยู่นอกประเด็นของ ป.ป.ช.
และ3.ในชั้นการพิจารณาของชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการนำเอกสารนอกสำนวนที่ไม่มีการไต่สวนตั้งแต่ในชั้น ป.ป.ช.หรือในชั้นของคณะกรรมการร่วมระหว่างป.ป.ช.กับอัยการเข้ามาอยู่ในสำนวนของตน หรือที่เรียกว่า เอกสารนอกสำนวนจำนวน 6 หมื่นแผ่น
“ยิ่งลักษณ์” เลือกเปลี่ยนเกมเอง จากบท “จำเลย” ของตัวเองและบท “โจทก์” ของ อสส.ในชั้นศาลฎีกาฯ ด้วยการมาร้องต่อศาลอาญาเพื่อเปลี่ยนสภาพตัวเองให้กลายเป็น “โจทก์” และ อสส.ให้กลายเป็น “จำเลย”
หมายความว่า ต่อไปนี้นอกจาก “ยิ่งลักษณ์” กับ “อสส.” จะต้องต่อสู้คดีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหายในศาลฎีกาฯแล้ว ยังต้องมาฟาดฟันกันในศาลอาญาอีกบทบาทหนึ่ง
เรื่องนี้แม้เป็นคนละศาล แต่เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะคดีโครงการรับจำนำข้าวของ “ยิ่งลักษณ์” ในชั้นศาลฎีกาฯขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพยานหลักฐาน โดยศาลนัดพร้อมคู่ความเพื่อฟังคำสั่งเกี่ยวกับการตรวจบัญชีพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดไต่สวนพยาน ในวันที่ 29 ตุลาคม 2558 เวลา 09.30 น.
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ “ยิ่งลักษณ์” เคยมอบอำนาจให้ทนายยื่นคำร้องคัดค้านพยานบุคคล 23 ปากและพยานเอกสาร ที่ปรากฏในบัญชีพยานของโจทก์คือ“อสส.” โดยอ้างว่า เป็นพยานหลักฐานที่ไม่ปรากฏในชั้นของการไต่สวนมาก่อน แต่ศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้กฎหมายกำหนดให้ยึดสำนวนของคณะกรรมการป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณาคดี แต่ก็ให้อำนาจศาลไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ และจำเลยก็มีสิทธิ์นำพยานหลักฐานเข้าไต่สวนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้อยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะไม่รับบัญชีพยานของโจทก์ จึงให้ “ยกคำร้อง”
แต่ “ยิ่งลักษณ์” กลับตัดสินใจนำประเด็นที่เคยคัดค้านในชั้นศาลฎีกาฯ แต่ถูกยกคำร้อง กรณี อสส.นำพยานและหลักฐานที่อยู่นอกสำนวนมาใช้ ร้องต่อศาลอาญาอีกครั้ง
ในสภาพความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ที่ทนายหน้าหอของ “ยิ่งลักษณ์” จะไม่รู้ว่า โอกาสที่ศาลอาญาจะพิจารณาว่า “อสส.” ไม่มีอำนาจนำพยานและหลักฐานที่อยู่นอกสำนวนป.ป.ช. นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะศาลฎีกาฯได้พิจารณาว่า ตามกฎหมายสามารถทำได้เอาไว้แล้ว
แต่เหตุใดลมจึงหอบเอา “ยิ่งลักษณ์” มาที่ศาลอาญาอีก
โดยในเบื้องต้นศาลได้รับไว้ในสารบบความหมายเลขดำ อท.25/2558 โดยอีก 7 วัน ศาลนัดให้คำสั่งอีกครั้งว่า จะรับคดีไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่
“ปู” ออกหน้าเองหลังใกล้จนตรอก
เหตุนี้เป็นไปได้หรือไม่ที่ทนายหน้าหอของ “ยิ่งลักษณ์” กำลังใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อถ่วงเวลา กรณีหากศาลศาลประทับรับฟ้อง ทั้ง “ยิ่งลักษณ์” และทีม อสส.4 คน จะต้องไปต่อสู้กันในฐานะ “โจทก์” กับ “จำเลย” ตรงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ “ยิ่งลักษณ์” ในการยื้อเวลาออกไปอีก
เพราะหากศาลอาญารับฟ้อง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาแน่ๆ คือ 1.ไม่ว่าผลในศาลชั้นต้นจะเป็นอย่างไร “ยิ่งลักษณ์” จะมีโอกาสต่อสู้ถึง 3 ศาล นั่นคือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
2.“ยิ่งลักษณ์” จะนำคำสั่งรับฟ้องของศาลอาญาไปยื่นต่อศาลฎีกาฯ เพื่อให้รอการพิจารณาในชั้นศาลอาญาเสร็จสิ้นเสียก่อนว่า การกระทำของทีมอสส. 4 คน นั้นถูกต้องหรือไม่ เพื่อให้การต่อสู้ของตัวในฐานะ “จำเลย” กับ “โจทก์” ของตัวเองคือ “ทีม อสส.” ในชั้นศาลฎีกาฯ เป็นไปอย่างสนิทใจ
และ 3. “ยิ่งลักษณ์” มีโอกาสจะให้ “วุฒิพงศ์ วิบูลย์วงศ์” รอง อสส. ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานร่วมพิจารณาคดีข้าวฝ่าย อสส. ที่ไม่ได้ร่วมประชุมในวันที่คณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับ อสส.มีคำสั่งให้ฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” ต่อศาลฎีกาฯ มาเป็นพยานปากเอกของตัวเอง เนื่องจากเป็นเพื่อนหลักสูตรสถาบันวิทยาการตลาดทุน ( วตท.) รุ่นเดียวกัน
เป็นชั้นเชิงการต่อสู้ทางกฎหมาย อันมีเป้าหมายหลักให้คดีโครงการรับจำนำข้าวในชั้นศาลฎีกาฯ เป็นคดีการเมือง มีความไม่ชอบมาพากล โดยใช้แง่มุมเดิมๆแย้งว่า ที่มาของผู้ที่มาตรวจสอบมิชอบ เหมือนกับที่พี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาคดีทุจริต เคยงัดเล่ห์กลทางกฎหมายมาดิสเครดิตการทำงานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เมื่อปี 2549 เพื่อให้คนมองว่า คดีตัวเองกำลังถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่เป็นไปโดยหลักนิติรัฐ นิติธรรม
จนทุกวันนี้มีประชาชนบางส่วนหลงเชื่อว่า “ทักษิณ” ถูกฝ่ายที่มีอำนาจรังแก ยัดเยียดคดีให้
“ทีม อสส.” ชิลล์ๆคำฟ้องไร้น้ำหนัก
ขณะเดียวกับทางฝ่าย “ทีม อสส.” ดูจะมั่นใจในกระบวนการและแง่มุมทางกฎหมาย ไม่ได้ยี่หระกับการตอบโต้หมัดนี้ของ “ยิ่งลักษณ์” เท่าใดนัก
ตั้งแต่ “ตระกูล วินิจนัยภาค” อสส.ชิงจังหวะกระชากเรตติ้งโพสต์เฟซบุ๊กรูปภาพและข้อความข่าวที่ “ยิ่งลักษณ์” เดินทางไปฟ้องตัวเองและทีมงานที่ศาลอาญา พร้อมระบุว่า "คุณพ่อสอนผมไว้ว่ารับราชการต้องอดทนอดกลั้น ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อแทนคุณแผ่นดิน คดีจำนำข้าว ผมต้องทำตามหน้าที่ครับ"
เหน็บกลับแสบๆคันๆ คล้ายกับประกาศก้องว่า “กูไม่กลัวมึง”
ขณะที่ “ชุติชัย สาขากร” อธิบดีอัยการสำนัก งานคดีพิเศษ หนึ่งในผู้ที่ถูกฟ้องร้องหนนี้ ก็ยืนยันว่า การที่ อสส.ขอเบิกพยานเอกสารนอกสำนวนของ ป.ป.ช.เข้ามาอยู่ในสำนวนคดีทุจริตจำนำข้าวกว่า 60,000 แผ่นนั้น ก็เป็นเอกสารสำนวนคดีทุจริตขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลเช่นกัน และมีความเชื่อมโยงกับคดีจำนำข้าวด้วย จึงต้องมีพยานหลักฐานเข้ามาเพิ่มเติม
ทางด้าน “โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง” รองโฆษก อสส. ก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่า อสส.ให้ความเป็นธรรมและเป็นกลางต่อกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าคดีใด รูปแบบการทำงานของอัยการนั้น อสส.ต้องเป็นผู้ลงนามเซ็นรับรองในสำนวนคดีนั้นๆ ก่อนส่งฟ้องศาล ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาที่ละเอียดรอบคอบ มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน หากไม่มั่นใจหรือเห็นว่าสำนวนยังบกพร่อง จะไม่มีทางเซ็นชื่อรับรองอย่างแน่นอน โดยวิธีดังกล่าวถือเป็นระเบียบของอัยการที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อสร้างหลักประกันความยุติธรรมให้กับประชาชน ทุกอย่างต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร
พร้อมโอดครวญว่า อสส.เหมือนอยู่กลางหว่างเขาควาย เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าจะพิจารณาคดีช้าหรือเร็ว หรือออกมาในรูปแบบใด ก็มักจะถูกฝ่ายที่เสียหายตำหนิ
งานนี้ก็ต้องรอดูว่า ศาลอาญาจะประทับรับฟ้องคำร้องของ “ยิ่งลักษณ์” หรือไม่ เพราะจะว่าไปแล้วเมื่อศาลฎีกาฯซึ่งเป็นศาลสูงสุดเคยยกคำร้องในลักษณะใกล้เคียงกันของ “ยิ่งลักษณ์” มาแล้ว จะไปดำเนินการในทางที่ขัดกันหรือสวนทางกันก็อาจจะพิลึกพิลั่นชอบกล
การแก้เกมของ “ยิ่งลักษณ์” รอบนี้ก็เหนื่อยฟรี ต่อให้ยื่นอุทธรณ์คำร้องต่อศาลอุทธรณ์ได้ก็ตาม โอกาสแหกซ้ำสองสูงลิบ
ดิ้นพล่านสภาพคนใกล้จนมุม
อีกนัยหนึ่งของการลุกมาฟ้องคดีด้วยตัวเองครั้งนี้ของ “ยิ่งลักษณ์” คือ การส่งสัญญาณว่า พร้อมจะต่อสู้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ
อันสอดคล้องกับกระแสข่าวของพี่ชายตัวเองที่ส่งซิกทีมงานต่อสู้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. แบบแตกหัก เพื่อไม่ให้น้องสาวและองคาพยพตัวเองถูกล้างบางและเช็กบิล จน “ระบอบทักษิณ” ต้องสูญสิ้นอำนาจ
นาทีนี้หมากเบี้ยในกระดานเริ่มปฏิบัติการสู้ทุกทาง
ไม่ต้องแปลกใจว่า งานนี้ทำไม “ยิ่งลักษณ์” ต้องออกหน้าเอง แน่นอนที่สุดว่า ต้องการชิงพื้นที่สื่อ ในห้วงเวลาที่ถูกไล่บี้อย่างหนักจากทางรัฐบาล คสช. ซึ่งเร่งมือพิจารณาแนวทางการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
เชื่อว่าทุกวันนี้ “อดีตนายกฯปู” คงหายใจไม่ทั่วท้อง
ล่าสุดคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจากทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ได้สรุปมูลค่าความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวในส่วนของ “ยิ่งลักษณ์” และกรณีทุจริตขายข้าวจีทูจีของ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีต รมว.พาณิชย์ และพวกเสร็จแล้ว โดยส่งไม้ต่อไปให้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ทันที ก่อนจะเสนอ “นายกฯประยุทธ์” ตัดสินใจลงดาบเชือดต่อไป
ซึ่ง “วิษณุ” ก็บอกว่า หากไม่ติดขัดอะไร นายกฯจะลงนามออกคำสั่งทางปกครองเรียกให้บรรดาผู้ที่ถูกกล่าวหารับผิดทางแพ่ง พร้อมยืนยันด้วยว่า การดำเนินการทางแพ่งจะเสร็จสิ้นในปีนี้ โดยไม่กระทบกับอายุความ
มีรายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้มีการสรุปความเสียหาย และให้เรียกร้องค่าเสียหายต่อ “ยิ่งลักษณ์” ในโครงการรับจำนำข้าวเป็นเงินราว 5 แสนล้านบาท ขณะที่ “บุญทรง” กับ “ภูมิ สาระผล” อดีต รมช.พาณิชย์ และข้าราชการบางส่วน จะถูกเรียกค่าเสียหายจากกรณีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เป็นจำนวนเงินไม่มากไม่มายแค่ 1 หมื่นล้านบาท
ซึ่งหากมีการดำเนินการกระบวนการทางแพ่ง “ยิ่งลักษณ์” ก็คงดิ้นไม่หลุดที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายในฐานะ “หัวหน้ารัฐบาล” ที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการอย่างมโหฬาร ประเทศขาดทุนหลักแสนล้าน ส่งผลให้รัฐบาลปัจจุบันมีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน แถมราคาข้าวตกต่ำกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างหนัก
ข้อมูลล่าสุดที่ “ยิ่งลักษณ์” ได้ยื่นทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังพ้นจากตำแหน่งครบ 1 ปี เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า และมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินกว่า 579 ล้านบาท ไม่ได้ใกล้เคียงกับจำนวนที่จะถูกเรียกค่าเสียหายเลย แม้กระทั่งจะไปหยิบยืมจากที่พี่ชายที่จากผลการสำรวจของนิตยสารฟอร์บส์บอกว่า “ทักษิณ” และครอบครัวมีทรัพย์สินราว 1,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) ก็ยังไม่พอที่จะมาชดใช้มูลค่าที่ทำประเทศเจ๊งไปอย่างมหาศาลได้
พูดง่ายๆยังไง “ยิ่งลักษณ์” ก็ไม่มีจ่าย และเข้าใกล้สถานภาพ “ล้มละลาย - ถูกยึดทรัพย์” ไปทุกที แต่ก่อนจะถึงวันนั้น อาจจะหันหน้าขอพึ่งกระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายอุทธรณ์ต่อศาล ถ้าศาลรับก็อาจจะถ่วงเวลาได้อีกสักระยะ แต่ถ้าศาลไม่รับ ก็เกมโอเวอร์ ซึ่งต้องดูว่า “คุณหนูปู” จะเลือกเดินทางไหน เพราะมี “พี่ชาย” ทำให้เห็นมาแล้วเมื่อรู้ตัวว่า จะไม่รอดอาญาแผ่นดิน
ถือเป็นสัญญาณเข้มจาก คสช.ว่า งานนี้เอาจริง
แต่ก็ต้องช่วยกันจับตาอย่าให้มี “มวยล้ม” ก็พอ