xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับอาการ “นายทักษิณ” แกล้งตาย หรือใกล้ตาย ยืมมือ “ชาวโลก” เจาะยาง คสช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทักษิณ ชินวัตร ขณะเดินทางมาฮ่องกง
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สำนักข่าวต่างประเทศอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ “ขวัญชัย ไพรพนา” ประธานชมรมคนรักอุดรว่า ขณะนี้ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณให้ลิ่วล้อ “แกล้งตาย” จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง เพราะเชื่อว่า สุดท้ายตัวเองจะกลับมามีอำนาจอยู่ดี

น่าสนใจว่า บทสัมภาษณ์ของ “ขวัญชัย” สัญญาณอัพเดตล่าสุดที่ได้ฟังจาก “นายใหญ่” หรือเป็นสัญญาณเก่าที่ เคยมีการพูดมานานแล้ว อย่างที่รู้กันว่า ยุทธการ “แกล้งตาย” เป็นยุทธการของ “นายใหญ่” ในช่วงที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดอำนาจจากรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ใหม่ๆ

เป็นสัญญาณในตอนที่ยังไม่มีท่าทีจาก คสช.ชัดเจนว่า จะบริหารประเทศแบบรอมชอม หรือจะลุยสุดซอย ถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณให้สิ้นซาก

ทว่า ตั้งแต่ “แป๊ะ” ส่งสัญญาณไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอน “ยิ่งลักษณ์” จากกรณีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหาย จนหมดสิทธิกลับมาโลดแล่นบนฟลอร์การเมืองได้อีก ต่อด้วยการมีคำสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศยกเลิกพาสปอร์ตทุกเล่มของ “ทักษิณ”

หรือกระทั่งที่ผ่านไปหมาดๆ กับกรณีมอบหมายให้ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช. เป็นเจ้าภาพในการถอดยศ “พ.ต.ท.” ของ “ทักษิณ” ก่อนสำเร็จโทษด้วยมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว

นั่นแสดงให้เห็นว่า “บิ๊กตู่” ไม่คิดจะญาติดีหรือเปิดประตูรอรับข้อเสนอใดๆ จาก “นายใหญ่” อีกแล้ว

“ตายทั้งเป็น” มากกว่า “แกล้งตาย”

ปฏิกิริยาของ คสช. ส่อไปในลักษณะเก็บกวาดระบอบทักษิณ จ้องจะสอยเบี้ย โคน และม้าในกระดานนี้อีกเรื่อยๆ มากกว่าการรอมชอมกับอีกฝ่าย ดังนั้น สัญญาณของ “ขวัญชัย” ที่อ้าง “นายใหญ่สั่งตาย” เพื่อรอเลือกตั้งจึงไม่น่าจะสดใหม่เท่าไร

แต่มีความเป็นไปได้ว่า ให้ “แกล้งตาย” เพื่อรอลงมืออะไรบางอย่างมากกว่า เพราะสถานการณ์วันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว การรอเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวเป็นอะไรที่ดูจะไม่ทันการณ์ เมื่ออีกฝั่งกำลังรุกไล่อย่างหนักเหมือนที่แล้วๆ มาอีก โดยเฉพาะเรื่องคาค้างทางคดี ที่อาจจะว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ดูจะไม่เข้าทางฝ่ายทักษิณแม้แต่น้อย

ดังจะเห็นว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา คดีความสำคัญของคนในฝั่งขั้วอำนาจเก่าต่างทยอยตัดสินมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ “เด็จพี่” พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ถูกศาลตัดสินให้นอนซังเต โดยไม่รอลงอาญา เพราะหมิ่นประมาท “วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์” อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ

ต่อเนื่องมาถึงคิวศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) 4 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กรณีพามวลชนบุกบ้าน “ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550

หรือกระทั่ง “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ก็ยังมีสิทธิ์จะเอาตัวไม่รอดจากกรณีมีเงินโผล่ในบัญชีพัวพันกับคดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยที่อดีตผู้บริหารถูกศาลพิพากษาเดินคอตกเข้าตารางไปชุดใหญ่

ขณะเดียวกัน คดีของคนพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช. ในชั้นศาลต่างๆ หลายคดีเริ่มใกล้จะได้ข้อสรุปอีกเป็นกระบุงโกย โดยเฉพาะในรายน้องสาวในไส้ของ “นายใหญ่” อย่าง “ยิ่งลักษณ์” ที่มีชนักปักหลังอยู่ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้องข้อหาละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหาย ที่ทิศทางคดีดูจะใช้เวลาไม่นานนัก

นอกจากนี้ “ยิ่งลักษณ์” กำลังถูกรัฐบาลเรียกค่าเสียหายหลังจากดำเนินนโยบายจนขาดทุนหลายแสนล้านบาท โดย “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย เลือกใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดชอบทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เพื่อมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ เป็นการบีบ “ยิ่งลักษณ์” ให้ไปฟ้องศาลปกครองสูงสุดเพื่อเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ดังกล่าว วิธีการนี้ของรัฐเหมือนเป็นโยนเรื่องให้ศาลในฐานะคนกลางเป็นผู้ตัดสิน

แน่นอนว่า หากผลออกมาเป็นทางลบ “ยิ่งลักษณ์” จะตกระกำลำบากอย่างมาก จำนวนเงินมหาศาลที่ทำประเทศเจ๊งไปนับแสนๆล้าน คงไม่คิดหามาใช้คืน “ยึดทรัพย์ - ล้มละลาย” น่าจะเป็นสถานีต่อไปของ “คุณหนูปู” ก่อนเรื่องความผิดทางอาญาจะสิ้นสุด

อีกคดีที่งวดใกล้เข้ามาทุกทีเช่นกันคือ คดีของคีย์แมนคนสำคัญของระบอบทักษิณอย่าง “ชายจืด” สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีออกคำสั่งสลายชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมิชอบ ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ถ้าคดีเหล่านี้ลงเอยเป็นลบทั้งหมด พรรคเพื่อไทยแทบไม่เหลือ “ขุน” นำทัพเลย ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการกระสานซ่านเซนของสมุนลิ่วล้อในอนาคต กมลสันดาน “นายใหญ่” อย่างไรต้องชิงทำอะไรสักอย่างก่อนแน่

นับถอยหลัง “ระบอบทักษิณ” ??

ตามคิวล่าสุดที่ถึงกับต้องโฉบมาตั้งศูนย์บัญชาการกันที่ “เกาะฮ่องกง” จ่อคอหอยใกล้ๆ ประเทศไทย เป็นแบบนี้ทุกทีที่ฝ่ายตัวเองกำลังถูกรุกไล่

หมากในกระดานนี้ของ “นายใหญ่” ถอยไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงความหายนะของเครือญาติและเครือข่ายจะตกอยู่ในอันตราย อีกทั้งการยิ่งปล่อยให้ “บิ๊กตู่” ลากยาวออกไปเรื่อยๆ มีแต่จะทำให้ขุมกำลังตัวเองอ่อนแอลงไปตามกัน

จะว่าไป “ทักษิณ” แทบไม่ได้แกล้งตายอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่มีความเคลื่อนไหวต่างๆ เกิดขึ้นเป็นระยะอยู่เสมอๆ เพื่อหาทางทำลาย “บิ๊กตู่” และ “คสช.” ให้เสียศูนย์

ขณะที่ “บิ๊กตู่ ณ คสช.” เองก็คงเดาใจ “ทักษิณ” ออกเหมือนกันว่า โดยกมลสันดานแล้วต้องสู้ จึงพยายามตัดเงื่อนไขทุกอย่างที่จะไปเข้าทางอีกฝั่งเท่าที่จะทำได้ ตามคิวที่ต่อมความอดทนตื้น เรียกนักการเมืองค่ายเพื่อไทยมาเข้าค่ายทหารปรับทัศนคติกัน 7 วัน ทั้งในราย “เสี่ยแดง - พิชัย นริพทะพันธุ์”อดีตรมว.พลังงาน และ “จอมถีบ - การุณ โหสกุล” อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย หลังรายแรกออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในแง่มุมทางเศรษฐกิจ ส่วนรายหลังข้อหาหมั่นไส้ที่โพสต์ข้อความเหน็บแนมเกี่ยวกับการถอดยศ

ตลอดจนการยกเลิกพาสปอร์ต “เดอะอ๋อย - จาตุรนต์ ฉายแสง” อดีตรมว.ศึกษาธิการ การขู่คำรามไปถึงคีย์แมนของ “นายใหญ่” อย่าง “เดอะอ้วน - ภูมิธรรม เวชยชัย” รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ระมัดระวังปาก ไม่เช่นนั้นอาจได้เข้าค่ายทหารปรับทัศนคติสัก 7 วัน และอาจรวมไปถึงกรณี “ชายผมเกรียน” ดักทุบ “เสี่ยไก่ - วัฒนา เมืองสุข” ซึ่งคาดว่าเหตุมาจากการที่ปากเปราะพูดกระทบกระเทียบถึง “บิ๊ก คสช.” แรงๆหลายหน

อีกทั้งการที่คสช.เผยไต๋ ยัดไส้คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ที่มีลักษณะการบริหารแบบ “โปลิตบูโร” เข้าไปในร่างรัฐธรรมนูญของ “อ.ปื๊ด”บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ฉบับที่ “แป๊ะ” สั่งคว่ำ แต่ก็ยืนยันมั่นเหมาะว่าจะยัดใส่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังตั้งทีมงานกันอยู่ เป็นการแสดงให้เห็นว่า จะไม่ยอมให้ “ระบอบทักษิณ” กลับมาผงาดในฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติได้แบบแต่ก่อนอีกแล้ว แบบว่า ต่อให้เลือกตั้งถล่มทลายเข้ามาได้ แต่จะไม่สามารถบริหารประเทศได้แบบสะดวกโยธิน

เป้าหมายรอกลับมามีอำนาจใหม่ของ “นายใหญ่” จึงต้องเปลี่ยนแผน จากรอเลือกตั้งมาเป็นรอจังหวะลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง หรือก่อนที่จะมีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จ เพราะเล็งเห็นแล้วว่า โอกาสที่ตัวเองจะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิมน้อยเต็มที

เปลี่ยน “หมาก” เดินเกม “โลกล้อมไทย”

ปัจจัยวันนี้เปลี่ยนไปหลายอย่าง การอยู่ยาวของ คสช. กำลังสร้างปัญหาให้ระบอบทักษิณไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกติกาฉบับใหม่ที่เสมือนเป็นการบอนไซขั้วอำนาจเก่า และคดีความสำคัญของคนในระบอบทักษิณที่อยู่ในกำมือของ “แป๊ะ” บรรดาโทรโข่งที่คอยเจาะยาง คสช.ก็ถูกไม้แข็งจำกัดบทบาท

ระยะหลังแผนการ “โลกล้อมไทย” จึงถูกเน้นเป็นพิเศษ เอะอะๆก็ประชาธิปไตย เอะอะๆก็สิทธิมนุษยชน หวังว่าประชาคมโลกหรือ “มหาอำนาจ” ที่ตัวเองแตะมือไว้จะออกโลกบดขยี้รัฐบาล คสช.ให้สิ้นซากด้วยมาตรการแซงก์ชั่นบอยคอตต่างๆ

จากเดิมที่ใช้ความเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายแดง” ในต่างประเทศคอยปล่อยคลิป-ข่าวโจมตีประเทศไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. ลามปามไปถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง เน้นปริมาณความถี่เป็นสำคัญ เพื่อคอยตอกย้ำไว้ว่า ประเทสไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร

โดยเฉพาะบรรดาไพร่พลฝ่ายทักษิณที่ไปรวมตัวกันในนาม “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” มีชื่อตัวจิ๊ดๆทั้ง “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ - สุนัย จุลพงศธร” รวมไปถึง “จักรภพ เพ็ญแข” ที่ต่างก็หลบหนีไปอยู่ในต่างแดน พยายามเดินเกมโหวกเหวกโวยวายเรียกร้องประชาธิปไตยต่างๆนานา แต่ด้วยสถานภาพที่ไม่มีใครยอมรับ ทำให้การขับเคลื่อนทั้งเกมใต้ดิน-บนดินไม่เข้าเป้าเท่าที่ควร จะมีก็แค่สร้างความรำคาญใจให้ “บิ๊ก คสช.” บ้างเป็นระยะๆ

แผนการ “โลกล้อมไทย” ดูจะเป็นความหวังเดียวของฝ่ายทักษิณ ในการบั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาล คสช. เมื่อรู้ว่าลิ่วล้อหางแถวทำงานไม่ได้ผล เพราะถูกมองเป็น “องค์กรเถื่อน” จึงลงทุนในการจ้างล๊อบบี้ยีสต์ใช้สื่อต่างประเทศตอกลิ่มภาพลักษณ์ คสช.ให้สะเทือนมาถึงแผ่นดินสยาม จึงสังเกตว่าจะมีบทความในสื่อต่างประเทศเขียนถึงสถานการณ์ในประเทศไทยในแง่ลบออกมาเป็นระยะๆ

ล่าสุดน่าจับตาเป็นพิเศษกับบทบาทของ “สุณัย ผาสุก” ที่อาศัยตำแหน่ง ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอทซ์ ที่เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลก เป็นฉากหน้าในการเคลื่อนไหว

ก่อนหน้านี้เคยออกมาร้องแรกแหกกระเชอเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาโรฮินจา-อุยกูร์ของรัฐบาล คสช. ตลอดจนการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว “พิชัย-การุณ” รวมไปถึง “ประวิตร โรจนพฤกษ์” อดีตนักข่าวครือเนชั่นที่ถูกกักตัวในคราวเดียวกันเมื่อช่วง 2 สัปดาห์ก่อน จน “นายกฯตู่” ควันออกหูต้องฝากถามไปว่า “ไม่รู้เขาเกิดมาเป็นคนไทยหรือเปล่า”

ทั้งยังมีลูกตามน้ำชงรายงานเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ในจังหวะ เดียวกับที่กำลังมีการประชุมใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่ง “นายกฯตู่” บินไปร่วมประชุมด้วยตามคำเชิญ สิ่งที่ “สุณัย” รายงานไปคาดว่า จะทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนในไทยตกต่ำลงไปอีก อาทิ การพูดถึงการใช้อำนาจที่กว้างขวางและไร้การตรวจสอบของรัฐบาล คสช. การห้ามใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการกักตัวบุคคล และการใช้ศาลทหาร พร้อมเสนอให้ยูเอ็นกดดันให้ คสช.ยกเลิกใช้มาตรา 44 และกำหนดเวลาที่ชัดเจนเพื่อคืนประชาธิปไตยกลับสู่ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง

จะผิดแผนไปเสียหน่อยที่ “สุณัย” อุตส่าห์แบกกล้องไปร่วมสังเกตการณ์ชุมนุมของ “กลุ่มประชาธิปไตยใหม่” ที่จัดกิจกรรมครบรอบเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 แต่ก็ไม่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายตามที่คาด แม้จะมีการยั่วยุกันอย่างหนัก ทำให้อดภาพเด็ดๆไป “ฟ้องโลก” ตามแผนที่วางไว้

การเลือกที่จะอดทนไม่ใช้ “ไม้แข็ง” กับกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ของ คสช.สะท้อนให้เห็นว่า อ่านเกมออกว่ามีใครบางคนต้องการให้เกิดภาพออกมาอย่างไร จึงเลือกที่จะตลบหลังด้วย พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะฯแทน

ที่น่าจับตาอีกคือในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา ซึ่ง “นายกฯตู่” บินไปร่วมด้วย มีรายงานว่าบรรดา "แดงฮาร์ดคอร์" เตรียมจัดการต้อนรับไว้แล้ว ทั้ง “ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์” นักวิชาการแดงที่หลบหนีอยู่ก็โพสต์ข้อความไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีภารกิจไปนิวยอร์กในช่วงนั้นพอดี และประกาศว่า จะไปดักพบคณะของ “บิ๊กตู่” เพื่อไถ่ถามสาเหตุที่ยึดพาสปอร์ตของตัวเอง หรือ “องค์กรเสรีไทย” ก็กำหนดจัดประชุมในช่วงใกล้เคียงกัน จึงคาดว่าจะมีการจัดขบวนถือป้ายมาประท้วงนายกฯไทยพอเป็นพิธี

ซึ่งแม้ “นายใหญ่” จะเลือกบินมาตั้งหลักอยู่ที่เกาะฮ่องกง แต่ก็เชื่อว่านั่งภาวนาให้ “ประยุทธ์” ต้องรับศึกหนักในที่ประชุมยูเอ็น หลังไหว้วานให้ล็อบบี้ยิสต์-คอลัมนิสต์-เครือข่ายปูทางสร้างเรื่องไว้ล่วงหน้า

เพราะอาจจะโอกาสเดียวในรอบที่จะอาศัยมือ “ประชาคมโลก” ตัดกำลัง คสช.ให้เสียศูนย์ได้ ในขณะที่ตัวเองอยู่ในสภาพ “ตายทั้งเป็น”
 



กำลังโหลดความคิดเห็น