เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 23 ก.ย. สำนักงานศาลปกครอง ได้เผยแพร่เอกสารข่าวระบุผลการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป. ) ซึ่งได้มีการประชุมในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ว่า ที่ประชุม ก.ศป.ได้พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนนายหัสวุฒิ วิทิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด กรณีปมจดหมายน้อย ที่ก.ศป. มีคำสั่ง ลับ ที่ 7/2558 ลงวันที่ 17 มี.ค. 58 ตั้งขึ้น แล้วเห็นว่า แม้ไม่ปรากฏชัดว่า นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ได้มีการมอบหมายให้ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง มีหนังสือสองฉบับ แจ้งความประสงค์ของนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ว่าจะสนับสนุน พ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงกุล รอง ผกก.ป.สน.หัวหมาก ให้ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้กำกับการ ต่อรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตามลำดับ ปรากฏตามหนังสือของนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ลงวันที่ 25 ตุลาคม 56 และวันที่ 7 มกราคม 57 แต่พยานหลักฐานก็รับฟังได้ว่า นายหัสวุฒิ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจ และรับทราบในกรณีที่นายดิเรกฤทธิ์ กระทำการดังกล่าว อันเป็นการกระทำผิดวินัย ฐานไม่รักษาชื่อเสียงของตน และไม่รักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตน มิให้เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ซึ่งถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่สมควร ตามข้อ 5 และข้อ 11 วรรคหนึ่ง ของประกาศ ก.ศป. เรื่อง วินัยแห่งการเป็นตุลาการศาลปกครอง ลงวันที่ 19 ธ.ค. 44 ก.ศป. จึงมีมติโดยอาศัยอำนาจตาม มาตรา 22 วรรคสอง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ประกอบกับข้อ 20 ของประกาศ ก.ศป. เรื่อง วินัยแห่งการเป็นตุลาการศาลปกครอง ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2544 และข้อ 24 วรรคหนึ่ง (2) ของระเบียบ ก.ศป. ว่าด้วยวิธีการสอบสวนและสิทธิของตุลาการศาลปกครองซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีเหตุให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง พ.ศ. 2544 ให้นายหัสวุฒิ ออกจากราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ก.ศป. มีมติ
นอกจากนี้มีรายงานว่า มติ ก.ศป. ดังกล่าวเป็นการลงมติ 2 ครั้ง โดยครั้งแรก เป็นการลงมติว่าเห็นว่า นายหัสวุฒิ มีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งก.ศป.มีมติ 7 ต่อ 0 เห็นว่า มีความผิด และครั้งที่สอง เป็นการลงมติว่าควรลงโทษเพียงไร ซึ่ง ก.ศป.มีมติ 6 ต่อ 0 ให้นายหัสวุฒิ ออกจากราชการ
อย่างไรก็ตาม ก.ศป. มีทั้งสิ้น 13 คน แต่เนื่องจากนายวิษณุ วรัญญู เป็นกรรมการสอบสวนวินัย นายนภดล เฮงเจริญ นายวราวุธ ศิริยุทธวัฒนา เป็นกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวแล้ว จึงไม่ได้ร่วมร่วมมติ ขณะที่นายพัลลภ รัตนจันทรา นายสมศักดิ์ ตัณฑเลขา เดินทางไปต่างประเทศ ทำให้ขณะพิจารณาว่านายหัสวุฒิ ผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ มีกรรมการ ก.ศป. เหลือเพียง 7 คน และเมื่อพิจารณาว่า ควรลงโทษเพียงไร นายวีรวิทย์ วิวัฒนวานิช ติดภารกิจ จึงออกจากการประชุมไปก่อน ทำให้มติลงโทษเป็นเพียง 6 เสียง
ทั้งนี้กรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 58 ก.ศป. ได้มีมติ 8 ต่อ 3 ให้สั่งพักราชการนายหัสวุฒิ จากกรณี นายนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง จัดทำหนังสือจำนวน 2 ฉบับ ถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่า นายหัสวุฒิ มีความประสงค์ที่จะสนับสนุน พ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงกุล รอง ผกก.ป.สน.หัวหมาก ในขณะนั้น ซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชาย ให้ได้รับการเลื่อนขั้นดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น พร้อมกับสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งแม้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จะมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ว่า จากพยานหลักฐานไม่อาจบ่งชี้ว่า นายหัสวุฒิ มีความผิดตามที่มีการกล่าวหา แต่จากการประชุม ก.ศป. ตามเอกสารข่าว จะพบว่าไม่ได้เป็นการอิงตามมติเสียงข้างมาก หรือข้างน้อยของคณะกรรมกรรสอบสวน แต่เป็นการมีมติโดย ก.ศป. พิจารณาจากพยานหลักฐาน ในสำนวนการสอบสวนเอง
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาของการถูกตั้งกรรมการสอบสวน นายหัสวุฒิ ได้พยายามต่อสู้ เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการสอบสวนของ ก.ศป. และคณะกรรมการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีฟ้องร้องดำเนินดดีอาญากรรมการสอบสวนต่อศาลยุติธรรม และให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนซึ่งมีการระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีการเมืองภายนอกเข้าแทรกแซงศาลปกครองมุ่งหวังเพื่อกำจัดตนเองให้พ้นจากศาลปกครอง เนื่องจากไปขัดขวางการวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับความมั่นคงไม่ให้เป็นไปในแนวทางที่ฝ่ายการเมืองกลุ่มดังกล่าวต้องการ รวมทั้งออกมาคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ในการประชุม ก.ศป.ครั้งนี้ ก.ศป.จะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งให้ตนเองพ้นจากตำแหน่ง และแม้วันนี้ ก.ศป. จะมีมติให้ออกจากราชการ แต่นายหัสวุฒิ จะยังต้องถูกสอบวินัยร้ายแรง ในคดีที่การเบิกค่าใช้จ่ายไม่โปร่งใส ในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิต ประดิษฐานบนพระธาตุเจ้าจอมล้านนา วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ในช่วงเวลาเดียวกับการไปปฏิบัติราชการ ที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง
**ร้อง"ไพบูลย์"เอาผิดก.ศป.
นายนพพล น้อยบ้านโง้ง ผู้ประสานงานกลุ่มประชาชนเพื่อความยุติธรรมในแผ่นดิน(กยท.) รวมกับ 4 เครือข่ายผดุงธรรมาภิบาลในศาลปกครอง ประกอบด้วย 1. สมาคมพิทักษ์สิทธิ์ข้าราชการ 2. กลุ่มข้าราชการส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย 3. กลุ่มข้าราชการศาลปกครอง และ 4. กลุ่มประชาชนเพื่อความยุติธรรมในแผ่นดิน (กยท.) เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธาน ศอตช. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ถูกดำเนินคดี หลังมีมติสั่งพักราชการอย่างไม่เป็นธรรม โดยมีเจ้าหน้าที่นิติกรประจำสำนักงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รับมอบหนังสือแทน
นายนพพล กล่าวว่า มายื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เพื่อให้ตรวจสอบ คณะกรรมการศาลปกครอง (ก.ศป.) ที่ลงมติ 6 ต่อ 0 เสียง ให้นายหัสวุฒิ ออกจากราชการ ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ ตนมาในฐานะประชาชนที่ยื่นอยู่ข้างความถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากนายหัสวุฒิ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่สำคัญ ก.ศป.ไม่ครบองค์ประชุม ในการพิจารณาลงโทษครั้งนี้
ทั้งนี้ มติของคณะกรรมการดังกล่าวนั้น เป็นการกระทำโดย คณะกรรมการศาลปกครองที่ไม่ครบองค์ประชุมของกฎหมาย จากการลงมติ 6 ต่อ 0 เสียง ให้นายหัสวุฒิ มีความผิดนี้ และให้ออกจากราชการ ตนมองว่า เป็นการกระทำที่ฝืนกฎหมาย อาจมีใบสั่งจากใครหรือไม่ ซึ่งถือว่ามีความผิดปกติอย่างมาก ดังนั้นขอให้ พล.อ.ไพบูลย์ เร่งรัดสั่งตรวจสอบ และให้มีการยุบ ก.ศป. ที่ประพฤติมิชอบ และสั่งการให้มีการดำเนินคดีอาญา กับคณะกรรมการ ก.ศป. ที่ใช้อำนาจโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
"ทั้งนี้หากการยื่นเรื่องดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า ก็จะหาช่องทางกฎหมายอื่น ที่จะสามารถร้องเรียนให้ดำเนินการคืนความเป็นธรรมต่อนายหัสวุฒิ ต่อไป" นายนพพล กล่าว
นอกจากนี้มีรายงานว่า มติ ก.ศป. ดังกล่าวเป็นการลงมติ 2 ครั้ง โดยครั้งแรก เป็นการลงมติว่าเห็นว่า นายหัสวุฒิ มีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งก.ศป.มีมติ 7 ต่อ 0 เห็นว่า มีความผิด และครั้งที่สอง เป็นการลงมติว่าควรลงโทษเพียงไร ซึ่ง ก.ศป.มีมติ 6 ต่อ 0 ให้นายหัสวุฒิ ออกจากราชการ
อย่างไรก็ตาม ก.ศป. มีทั้งสิ้น 13 คน แต่เนื่องจากนายวิษณุ วรัญญู เป็นกรรมการสอบสวนวินัย นายนภดล เฮงเจริญ นายวราวุธ ศิริยุทธวัฒนา เป็นกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวแล้ว จึงไม่ได้ร่วมร่วมมติ ขณะที่นายพัลลภ รัตนจันทรา นายสมศักดิ์ ตัณฑเลขา เดินทางไปต่างประเทศ ทำให้ขณะพิจารณาว่านายหัสวุฒิ ผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ มีกรรมการ ก.ศป. เหลือเพียง 7 คน และเมื่อพิจารณาว่า ควรลงโทษเพียงไร นายวีรวิทย์ วิวัฒนวานิช ติดภารกิจ จึงออกจากการประชุมไปก่อน ทำให้มติลงโทษเป็นเพียง 6 เสียง
ทั้งนี้กรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 58 ก.ศป. ได้มีมติ 8 ต่อ 3 ให้สั่งพักราชการนายหัสวุฒิ จากกรณี นายนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง จัดทำหนังสือจำนวน 2 ฉบับ ถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่า นายหัสวุฒิ มีความประสงค์ที่จะสนับสนุน พ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงกุล รอง ผกก.ป.สน.หัวหมาก ในขณะนั้น ซึ่งเป็นเพื่อนกับหลานชาย ให้ได้รับการเลื่อนขั้นดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น พร้อมกับสั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งแม้คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จะมีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 ว่า จากพยานหลักฐานไม่อาจบ่งชี้ว่า นายหัสวุฒิ มีความผิดตามที่มีการกล่าวหา แต่จากการประชุม ก.ศป. ตามเอกสารข่าว จะพบว่าไม่ได้เป็นการอิงตามมติเสียงข้างมาก หรือข้างน้อยของคณะกรรมกรรสอบสวน แต่เป็นการมีมติโดย ก.ศป. พิจารณาจากพยานหลักฐาน ในสำนวนการสอบสวนเอง
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาของการถูกตั้งกรรมการสอบสวน นายหัสวุฒิ ได้พยายามต่อสู้ เนื่องจากเห็นว่ากระบวนการสอบสวนของ ก.ศป. และคณะกรรมการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีฟ้องร้องดำเนินดดีอาญากรรมการสอบสวนต่อศาลยุติธรรม และให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนซึ่งมีการระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีการเมืองภายนอกเข้าแทรกแซงศาลปกครองมุ่งหวังเพื่อกำจัดตนเองให้พ้นจากศาลปกครอง เนื่องจากไปขัดขวางการวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับความมั่นคงไม่ให้เป็นไปในแนวทางที่ฝ่ายการเมืองกลุ่มดังกล่าวต้องการ รวมทั้งออกมาคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ในการประชุม ก.ศป.ครั้งนี้ ก.ศป.จะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่งให้ตนเองพ้นจากตำแหน่ง และแม้วันนี้ ก.ศป. จะมีมติให้ออกจากราชการ แต่นายหัสวุฒิ จะยังต้องถูกสอบวินัยร้ายแรง ในคดีที่การเบิกค่าใช้จ่ายไม่โปร่งใส ในการเดินทางไปเป็นประธานพิธีอัญเชิญยอดฉัตรทองคำลูกแก้วมงคลนิมิต ประดิษฐานบนพระธาตุเจ้าจอมล้านนา วัดพิพัฒน์มงคล ต.ทุ่งเสลี่ยม อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ในช่วงเวลาเดียวกับการไปปฏิบัติราชการ ที่ จ.พิษณุโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง
**ร้อง"ไพบูลย์"เอาผิดก.ศป.
นายนพพล น้อยบ้านโง้ง ผู้ประสานงานกลุ่มประชาชนเพื่อความยุติธรรมในแผ่นดิน(กยท.) รวมกับ 4 เครือข่ายผดุงธรรมาภิบาลในศาลปกครอง ประกอบด้วย 1. สมาคมพิทักษ์สิทธิ์ข้าราชการ 2. กลุ่มข้าราชการส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย 3. กลุ่มข้าราชการศาลปกครอง และ 4. กลุ่มประชาชนเพื่อความยุติธรรมในแผ่นดิน (กยท.) เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธาน ศอตช. เพื่อให้ตรวจสอบกรณีนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด ถูกดำเนินคดี หลังมีมติสั่งพักราชการอย่างไม่เป็นธรรม โดยมีเจ้าหน้าที่นิติกรประจำสำนักงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รับมอบหนังสือแทน
นายนพพล กล่าวว่า มายื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรมกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เพื่อให้ตรวจสอบ คณะกรรมการศาลปกครอง (ก.ศป.) ที่ลงมติ 6 ต่อ 0 เสียง ให้นายหัสวุฒิ ออกจากราชการ ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ ตนมาในฐานะประชาชนที่ยื่นอยู่ข้างความถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากนายหัสวุฒิ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่สำคัญ ก.ศป.ไม่ครบองค์ประชุม ในการพิจารณาลงโทษครั้งนี้
ทั้งนี้ มติของคณะกรรมการดังกล่าวนั้น เป็นการกระทำโดย คณะกรรมการศาลปกครองที่ไม่ครบองค์ประชุมของกฎหมาย จากการลงมติ 6 ต่อ 0 เสียง ให้นายหัสวุฒิ มีความผิดนี้ และให้ออกจากราชการ ตนมองว่า เป็นการกระทำที่ฝืนกฎหมาย อาจมีใบสั่งจากใครหรือไม่ ซึ่งถือว่ามีความผิดปกติอย่างมาก ดังนั้นขอให้ พล.อ.ไพบูลย์ เร่งรัดสั่งตรวจสอบ และให้มีการยุบ ก.ศป. ที่ประพฤติมิชอบ และสั่งการให้มีการดำเนินคดีอาญา กับคณะกรรมการ ก.ศป. ที่ใช้อำนาจโดยฝ่าฝืนกฎหมาย
"ทั้งนี้หากการยื่นเรื่องดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า ก็จะหาช่องทางกฎหมายอื่น ที่จะสามารถร้องเรียนให้ดำเนินการคืนความเป็นธรรมต่อนายหัสวุฒิ ต่อไป" นายนพพล กล่าว