xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คดี “ชูวงษ์ แช่ตั๊ง” วันนี้จับ “บรรยิน” โกงหุ้น แต่ “ฆาตกร” ตัวจริงยังลอยนวล!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์และนายชูวงษ์ แซ่ตั๊งในวันเกิดเหตุ
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -วันนี้ แม้คดีโกงหุ้นของ “เสี่ยจืด” หรือ “นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง” เจ้าของรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสตนดาร์ด เพอร์ฟอร์แม้นซ์ จำกัด จะมีความคืบหน้าไปมาก เมื่อศาลได้ออกหมายจับ 4 ผู้ต้องหาข้อหาร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ได้แก่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ น.ส.กัญฐณา ศิวาธนพล น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล และน.ส.ศรีธนา พรหมา มารดา

แต่สำหรับ “การเสียชีวิต” ซึ่งทางญาติของนายชูวงษ์ติดใจเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าเป็น “ฆาตกรรมอำพราง” มากกว่า “อุบัติเหตุ” ยังคงย่ำอยู่กับที่ สำนวนการชันสูตรศพ ซึ่งความจริงควรจะถูกส่งมาให้กองปราบปราม จนกระทั่งถึงวันที่ 14 กันยายน 2558 ก็ยังคงอยู่ในมือของ “สน.อุดมสุข” ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ซึ่งแม้กระทั่งกองปราบปรามที่รับช่วงทำคดีต่อก็ยังแปลกใจ
“ณ ตอนที่คุณชูวงษ์เสียชีวิต พี่ไม่ได้สงสัย เพราะพฤติกรรมของน้องชายไม่ได้มีศัตรูเลย...หลังเสร็จงานเราก็นัดทนายมาดูเพื่อเคลียร์ปัญหา ก็มาไล่ดูทรัพย์สินกัน ก็มาเจอเอกสารการโอนหุ้น และพบความผิดปกติในการโอนหุ้นให้กับใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ญาติ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยไปถึงสาเหตุการเสียชีวิต...วันนี้ พี่ไม่ได้ต้องการเงินที่หายไปคืน หากแต่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องชาย และถ้าหากน้องชายเสียชีวิตเพราะฆาตกรรม พี่จะสู้ถึงที่สุด”

นั่นคือความรู้สึกของ “วันเพ็ญ ธนธรรมศิริ” ผู้เป็นพี่สาวที่บอกเล่าถึงความคืบหน้าในคดีการเสียชีวิตของนายชูวงษ์แบบมีเงื่อนงำ หลังจากที่เธอพร้อมด้วย “นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง” ภรรยา และ “นายกันต์ แซ่ตั๊ง” ลูกชายของนายชูวงษ์ได้นำเอกสารและหลักฐานเพิ่มเติมไปมอบให้ พล.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการกองปราบปรามเพื่อตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ให้มีความชัดเจนขึ้นเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ญาติไม่เชื่อว่าเป็นการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ ระหว่างเดินทางกลับจากตีกอล์ฟกับ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ซึ่งเป็นเป็นคนขับและเป็นเพื่อนของผู้ตายก็เพราะพบหลักฐานว่า นายชูวงษ์ได้โอนหุ้นมูลค่าราว 300 ล้านบาท ให้กับผู้หญิง 2 คนคือ กัญฐณาและศรีธราก่อนจะประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตเพียงไม่กี่วัน

กล่าวคือ หุ้นมูลค่าราว 40 ล้านบาทถูกโอนให้กับแม่ของโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด(มหาชน) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2558 และถัดมาหุ้นมูลค่า 228 ล้านบาทถูกโอนให้กับพริตตี้สาวเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558 ขณะที่นายชูวงษ์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2556

จะมีความสนิทเสน่หาแนบแน่นหรือมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเพียงใด ก็ไม่น่าที่จะต้องโอนหุ้นมูลค่ามากมายมหาศาลขนาดนั้นให้

ดังนั้น พวกเขาจึงปักใจเชื่อว่า การเสียชีวิตของนายชูวงษ์มีความสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุเป็นผลกับคดีการโอนหุ้น

นั่นคือประเด็นที่ญาติของนายชูวงษ์ตั้งข้อสงสัย และเป็นข้อสงสัยที่มิได้เกินเลยไปจากความจริงแต่ประการใด เพราะภรรยา ลูกชายและญาติรับรู้ข้อมูลอยู่แก่ใจว่า “ใคร” มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ “ใคร”

“ผู้หญิงคนนั้นเคยมาที่บริษัทของเรา มาขับรถรับคนๆ นั้นออกไปด้วยกัน ตอนไปต่างประเทศในช่วงเรียนหลักสูตรของตลาดหลักทรัพย์ คุณชูวงษ์ไปกับภรรยา ผู้หญิงคนนี้ก็ไปพร้อมคนๆ นั้น”พี่สาวนายชูวงษ์ให้ข้อมูล

และในที่สุดการโอนหุ้นดังกล่าวก็เป็นที่ชี้ชัดแล้วว่า มีความผิดปกติ และศาลก็ได้ออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง 4 คนตามสำนวนของพนักงานสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนที่ศาลจะให้ประกันตัวในเวลาต่อมา

เมื่อญาติของนายชูวงษ์พบความผิดปกติในการโอนหุ้นดังกล่าว อันเนื่องมาจากพบหลักฐานชิ้นสำคัญซึ่งวางไว้ในห้องทำงานของนายชูวงษ์ จึงนำมาซึ่งการตรวจสอบข้อมูลการตายของนายชูวงษ์ไปพร้อมๆ กัน เพราะฉุกใจคิดว่า เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาที่เกิดขึ้นโดยเหตุสุดวิสัยเสียแล้ว และพบว่า มีข้อพิรุธมากมาย โดยเฉพาะ “สภาพศพขณะเสียชีวิตของนายชูวงษ์”

“เมื่อเวลาประมาณ 18.40 น.วันที่ 26 มิ.ย. วันเกิดเหตุ นางศิริรัตน์ ภรรยาของนายชูวงษ์โทรศัพท์ติดต่อไปหานายชูวงษ์ที่บ้านพักทราบว่า นายชูวงษ์กำลังอาบน้ำ เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก ต่อมาเวลา 22.00 น. นางศิริรัตน์ได้รับโทรศัพท์จากภรรยาพ.ต.ท.บรรยิน ว่าพ.ต.ท.บรรยินและนายชูวงษ์เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ นางศิริรัตน์จึงรีบเดินทางไปที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักประมาณ 2 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที เมื่อไปถึงพบว่า พ.ต.ท.บรรยินยังคงนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ ในสภาพคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งพ.ต.ท.บรรยินให้การกับพนักงานสอบสวน ว่าหลังเกิดอุบัติเหตุ พ.ต.ท.บรรยินสลบไป เมื่อรู้สึกตัวจึงโทรศัพท์บอกภรรยา

“ยอมรับว่าครอบครัวของนายชูวงษ์ยังติดใจ ความจริงแล้วหากเกิดอุบัติเหตุเมื่อ พ.ต.ท.บรรยินโทรศัพท์ไปบอกภรรยาแล้ว น่าจะต้องลงมาจากรถเพื่อดูเพื่อนร่วมทางว่าเป็นอย่างไร หรือน่าจะเรียกตำรวจทันที แต่กว่านางศิริรัตน์จะเดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุก็เป็นเวลากว่า 20 นาที กลับพบ พ.ต.ท.บรรยินยังนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่จุดเดิม หลังจากนั้นได้เรียกมูลนิธิและรถร.พ. พร้อมโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ก่อนจะช่วยปั๊มหัวใจนายชูวงษ์ 1 ครั้ง กระทั่งเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่ร.พ.สิรินธร”

“คือถ้าถามผม มันเป็นเรื่องยากที่การเลี้ยวกะทันหันในระยะทาง 45 เมตรก่อนจะชนต้นไม้ ไม่ใช่ทางเรียบๆ น้ำหนักรถ 2,450 กิโลกรัม ไม่มีทางที่รถน้ำหนักขนาดนี้จะต้องมีแรงเฉื่อย กว่าจะถึงต้นไม้มันต้องผ่านลวดหนาม เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะวิ่งไปกระแทกต้นไม้ทันทีมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ทางญาติสงสัย เพราะไม่เชื่อว่าการชนลักษณะนี้จะทำให้ถึงแก่ความตาย แล้วต้นไม้ที่ชนก็คือต้นยูคาลิปตัสซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน ชนขนาดมีคนตายต้นยูคาลิปตัสมีแค่รอยเปลือกลอกออกไปเท่านั้น และเมื่อดูรูปที่เรามี ผมก็ไม่เชื่อว่าคุณชูวงษ์เสียชีวิตเพราะรถชนต้นไม้ เนื่องจากสภาพศพยังมีความขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า พนักงานสอบสวนของกองปราบปรามได้ข้อมูลหลักฐานที่สำคัญแล้ว”

นายอเนก คำชุ่ม ทนายความฝ่ายญาติของนายชูวงษ์ให้ข้อมูล

ขณะที่เมื่อตรวจดูคำให้สัมภาษณ์ของนายกันต์ แซ่ตั๊ง ก็พบว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะลูกชายของนายชูวงษ์ระบุว่า “หลังจากทราบข่าวในวันเกิดเหตุก็รีบเดินทางใช้เวลา 20 นาที แต่ไม่นึกว่ารถชนแค่นั้นถึงกับจะทำให้บิดาเสียชีวิต”

นั่นแสดงว่า นายกันต์ไม่เชื่อว่า การชนจะรุนแรง และรุนแรงถึงขนาดที่
ทำให้พ่อเสียชีวิตได้

เช่นเดียวกับวันเพ็ญที่บอกว่า “ตอนที่รู้ว่าคุณชูวงษ์ประสบอุบัติเหตุ จุ๋ม(นางศิริรัตน์ภรรยาของนายชูวงษ์) ได้โทรศัพท์กลับไปที่เครื่องนายชูวงษ์ เพราะคิดว่า ไม่รุนแรง ปรากฏว่า มีชายนิรนามรับและบอกไม่ได้ว่า ประสบเหตุอยู่ตรงไหน ซึ่งถ้าเป็นกู้ภัยก็ต้องรู้ แสดงว่าไม่ใช่กู้ภัย คำถามคือชายนิรนามคนนั้นคือใคร”

หนักไปกว่านั้นคือ ใบชันสูตรศพของนายชูวงษ์ของ “สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ” ที่ญาติมีอยู่ในมือมี 2 ใบ และทั้งสองใบมีข้อความไม่ตรงกันใน 2 จุด โดยข้อความที่หายไปคือ “บาดแผนช้ำ บวมศีรษะด้นหลังข้างขวา พื้นที่ 5x4 ซม” และมีข้อความเพิ่มจาก “บาดแผลช้ำ ม่วงหน้าบ่า” เป็น “บาดแผลช้ำม่วงหน้าบ่าซ้าย”

ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น และได้มีใครบางคนไปดำเนินไปแก้ไขเพื่อให้สอดรับกับสภาพศพของนายชูวงษ์หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนจะต้องพิสูจน์ต่อไป

และที่น่าแปลกใจก็คือ คำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป.กล่าวยอมรับว่า กรณีของสำนวนชันสูตรก็ไม่ทราบว่า ทาง สน.อุดมสุข ติดขัดปัญหาอุปสรรคใดจึงยังไม่ส่งสำนวนดังกล่าวมาให้ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.แต่ก็มีการทวงถามไปแล้ว

“สน.อุดมสุข บ.ชน.ประกาศหลายรอบว่า คดีนี้เป็นอุบัติเหตุ จำได้ไหม พี่เคยไปร้องเรียนว่า ทำไมต้องไปเอาเพื่อนร่วมรุ่นมาทำคดี พี่ก็ไปร้อง ผบ.ตร.นี่คือขั้นตอนที่พี่ไม่สบายใจ แล้วหลักฐานทั้งหมดเรามีมากกว่าอุดมสุขอีก อุดมสุขพยายามเรียกพี่ไปให้ปากคำ แต่ให้ไปเท่าไหร่มีคนรู้ทุกครั้ง พี่เลยหยุดไปให้ปากคำ โดยเฉพาะเรื่องรถ กองพิสูจน์หลักฐานไปตรวจรถเมื่อไหร่ เขาแจ้งไปปุ๊ปเขาออกเลย แต่ก็มีคนมาดักเจอทุกครั้ง”พี่สาวนายชูวงษ์ให้ข้อมูล

นี่กระมังทำให้สังคมย้อนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ญาตินายชูวงษ์ยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.สมยศเพื่อขอให้เปลี่ยนตัว พ.ต.อ.ทวีรัชต์ ศรีธวัชพงศ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 หัวหน้าคณะทำงานคลี่คลายคดีการการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ เนื่องจากทางครอบครัวเกิดความไม่สบายใจหลังทราบข้อมูลว่าทาง พ.ต.อ.ทวีรัชต์ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 39 รุ่นเดียวกันกับ พ.ต.ท.บรรยิน

และยิ่งตอกย้ำหนักเข้าไปอีกเมื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวให้สัมภาษณ์หลังมีคำสั่งให้โอนคดีของนายชูวงษ์จากกองบัญชาการตำรวจนครบาลมาไว้ที่กองบังคับการตำรวจปราบปรามว่า “ผมได้ยินว่า มีความพยายามของบุคคลบางคน ที่ใช้อำนาจบารมี ทั้งด้านส่วนตัวและเงินเข้ามาแทรกแซง เพื่อให้คดีนี้ถูกบิดเบือน ผมยืนยันว่า ผมระแคะระคายและรู้สึกไม่ดีกับเรื่องที่ผ่านมา”

คำถามคือ บุคคลบางคนที่ใช้อำนาจบารมีทั้งด้านส่วนตัวและเงินเข้ามาแทรกแซงเพื่อให้คดีนี้ถูกบิดเบือนตามที่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงคือใคร และทำไปเพื่ออะไร

นี่เป็นโจทย์สำคัญที่ตั้งเอาไว้ก่อนในชั้นนี้

แต่ปัญหาใหญ่ของคดีนี้อยู่ตรงที่…

หนึ่ง-“ศพ” ของนายชูวงษ์ ถูกฌาปนกิจหรือเผาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้ไม่สามารถผ่าพิสูจน์ใหม่ได้

สอง-ด้วยความที่พนักงานสอบสวนชี้เป็นคดีอุบัติเหตุตั้งแต่แรก ทำให้ไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจที่เกิดเหตุอย่างละเอียด

และสาม -ในขณะที่ฝ่ายญาติมีการขุดคุ้ยและต้องการให้มีการรื้อฟื้นคดีเนื่องจากไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุหลังพบพิรุธในการโอนหุ้น สน.อุดมสุขยังคืนรถยนต์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานสำคัญของคดีให้เจ้าของอีกต่างหาก

และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้สองเส้นเพราะต้องการการตรวจสอบอย่างเร่งด่วนก็คือ รถยนต์คันนี้ไม่ได้ยี่ห้อ “เล็กซัส” หากแต่จดทะเบียนเอาไว้ในยี่ห้อ “แลนด์ ครุยเซอร์” แต่นำโลโก้เล็กซัสมาติดไว้เท่านั้น

“ในส่วนของผลการตรวจชันสูตรศพนายชูวงษ์นั้น เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยจะดูทุกจุด เพื่อหาร่องรอยบาดแผลต่าง ๆ ทั้งนี้ ยอมรับว่าศพของนายชูวงษ์ได้ถูกฌาปนกิจไปแล้วอาจเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหาใด ๆ เพราะข้อมูลต่าง ๆ ถูกระบุในเอกสารการตรวจพิสูจน์ศพของทางนิติเวชอยู่แล้ว คดีมีความคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 80 และปลายเดือนนี้จะมีการจำลองเหตุการณ์การชนของรถยนต์ พร้อมทั้งได้ให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียก พ.ต.ท.บรรยินเพื่อให้นำรถมาให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง

“ผมยังไม่ได้ตัดประเด็นใด ๆ หรือสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรม แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการเสียชีวิตของนายชูวงษ์เป็นการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติ สำหรับการตั้งข้อสังเกตว่าบริเวณคอของนายชูวงษ์มีร่องรอยเขียวซ้ำนั้น ในส่วนนี้ยังไม่สามารถบอกได้ เพราะเห็นเพียงแค่ภาพถ่าย ซึ่งยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นรอยอะไร อยู่ระหว่างการตรวจสอบ”พล.ต.ต.อัคราเดช เปิดเผยหลังประชุมชุดทำงานคลี่คลายคดีเมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ว่า การเสียชีวิตของนายชูวงษ์เกิดจาก อุบัติเหตุหรือฆาตกรรม แต่ถ้าจะถามว่า ตัวละครที่สำคัญที่สุดของคดีนายชูวงษ์คือใคร ก็ต้องตอบว่า เป็น พ.ต.ท.บรรยิน เพราะ พ.ต.ท.บรรยินคือพยานสำคัญเพียงคนเดียวอยู่ในที่เกิดเหตุขณะนายชูวงษ์เสียชีวิตในฐานะที่เป็นผู้ขับรถให้

ถามว่า นายชูวงษ์หรือเสี่ยจืดรู้จักหรือสนิทสนมกับ พ.ต.ท.บรรยิน ได้อย่างไร

พ.ต.ท.บรรยินเล่าว่า รู้จักกับนายชูวงษ์ มาตั้งแต่เริ่มเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) เมื่อปี พ.ศ.2556 จึงมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมากขึ้น จากนั้นก็ได้ชักชวนนายชูวงษ์เข้าเรียนที่สถาบันวิทยาการตลาดหุ้น (วตท.รุ่น20) เพราะมีความสนใจในเรื่องการเล่นหุ้นด้วยกัน ซึ่งก่อนหน้านี้นายบรรยินได้ชักชวนนายชูวงษ์ ให้ร่วมซื้อที่ดินติดแม่น้ำยาว 500 เมตร ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ โดยมีข้อตกลงกันว่าให้นายชูวงษ์ถือหุ้น 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตนเอง 40 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนซื้อที่ดินร่วมกันอีก 1 แปลง ในจังหวัดพิษณุโลก โดยมีโครงการลงทุน 2 พันล้านบาท ร่วมกันเพื่อทำธุรกิจ

พ.ต.ท.บรรยินเล่าต่อว่า ในช่วงกลางปี 2557 ได้ชักชวนนายชูวงษ์ ร่วมกันตั้งพรรคการเมือง จนนำไปสู่การพูดคุยเรื่องของการตั้งพรรคการเมืองขึ้น โดยใช้ชื่อพรรคว่า “ชูชาติไทย” โดยมีนายชูวงษ์ เป็นหัวหน้าพรรคและพ.ต.ท.บรรยินเป็นเลขาธิการพรรค จึงเป็นที่มาของการตั้งกองทุนมีเป้าหมายอยู่ที่ 5 พันล้านบาท เพื่อจะจัดตั้งพรรคการเมือง

แน่นอน ข้อมูลบางอย่างตรงกัน แต่ข้อมูลบางอย่างที่ออกมาจากปากของ พ.ต.ท.บรรยินไม่ตรงกับข้อมูลจากฝ่ายญาติคือ “วันเพ็ญ ธนธรรมศิริ” ผู้เป็นพี่สาว

วันเพ็ญให้ข้อมูลว่า เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อนางวันเพ็ญต้องการให้น้องชายไปเรียน วปอ.เพื่อต้องการให้มีคอนเนกชันในการทำธุรกิจ และนั่นเป็นที่มาของการทำให้นายชูวงษ์ไปรู้จักกับ พ.ต.ท.บรรยิน

“ครั้งแรกที่รู้จัก พ.ต.ท.บรรยิน เพราะเขามาเพื่อชวนวงษ์ให้ไปซื้อที่ดินที่เชียงใหม่ วงษ์เขาก็มาปรึกษาพี่เพราะปกติเป็นคนดูแลและตัดสินใจอยู่แล้ว พ.ต.ท.บรรยินก็มาเร่งบอกต้องรีบ พื้นที่สีแดงเหลือน้อยแล้ว ถ้าช้าจะมีคนมาแย่งนะ พี่บอกไม่ได้ ต้องไปดูให้เห็นกับตาก่อน จากนั้นพี่ก็ขึ้นเครื่องไปดูเอง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อเพราะเห็นว่ามีราคาแพงเกินไป

“ส่วนที่นครสวรรค์ติดแม่น้ำ วงษ์บอกเจ๊เพ็ญที่สวยมากเลย พ.ต.ท.บรรยินก็มาชวน พี่ก็ค้านเพราะปกติแล้วบริษัทไม่ถนัดกับการทำอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เราถนัดทำตึกสูง ทำคอนโดฯ ถ้าจะทำในต่างจังหวัดก็ควรเป็นพัทยา ชลบุรี พี่บอกไม่เอา ห้ามเอาชื่อบริษัทไป วงษ์จะเอาก็เอาส่วนตัว พี่ก็บอกว่า ถ้าเขายังไม่จ่ายเงิน วงษ์ก็ต้องใช้ชื่อวงษ์ไปก่อน วงษ์ก็บอกใช้ชื่อจุ๋ม(นางศิริรัตน์ภรรยาของนายชูวงษ์ไปแล้วกัน เพื่อนฝูงกันเดี๋ยวลำบากใจ ไปวางมัดจำแบงก์ใช้ชื่อจุ๋ม ใช้ชื่อบรรยินไม่ได้เพราะเขายังไม่ได้ให้ตังค์เรา แต่ตอนโอนค่อยใส่ชื่อเขาว่าใครถือกี่เปอร์เซ็นต์ สรุปวันโอนเงินก็ยังไม่มา ก็เลยโอนชื่อจุ๋มร้อยเปอร์เซ็นต์ไป มันไม่ได้ตรงกับที่บรรยินพูดว่า ชูวงษ์ตายผมเสียหาย เพราะทำธุรกิจร่วมกัน แต่มาโอนให้ในตอนหลัง

“สำหรับที่พิษณุโลก วงษ์ก็มาบอกอีก เจ๊สวยนะกลางเมืองเลย พี่บอกพี่ไม่ไป เขาก็เลยชวนเมียเขาไป แล้วก็พบว่า เป็นที่ดินที่ติดสุสาน พี่ก็เรียกคุณชูวงษ์มาคุย วงษ์ก็บอกว่า ผมไม่ได้เอา แต่ว่าเขาไปมัดจำไว้ 5 ล้านแล้วเขายืมเงินเรา ตอนนี้โอนคืนมาให้ 2 ล้าน ค้างอยู่ 3 ล้านบาท ก็คงต้องปล่อยไป”วันเพ็ญเล่าให้ฟังถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.บรรยินกับนายชูวงษ์ และสรุปทิ้งท้ายว่า
“คดีนี้ โชคร้ายที่ศพคุณชูวงษ์เผาไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็โชคดีที่เรามีรูปเยอะมากที่แสดงให้เห็นหลักฐานเชื่อมโยงถึงการเสียชีวิตในครั้งนี้ ”

วันนี้ ปริศนาการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊งกำลังถูกคลี่คลายเป็นลำดับ และทางฝ่ายญาติเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ในอีกไม่ช้านาน ทุกอย่างจะจบลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายญาติมีภาพถ่ายสภาพศพของนายชูวงษ์ที่มีรอยช้ำ รอบ คอคล้ายถูกรัดอย่างรุนแรง
สภาพของรถยนต์ที่พุ่งชนต้นยูคาลิปตัสในวันที่ 26 มิ.ย.58
วันเพ็ญ ธนธรรมศิริ พี่สาว
บชันสูตรศพจากสถาบันนิติเวชซึ่งไม่เหมือนกัน และทางญาติเชื่อว่า มีปัญหา



กำลังโหลดความคิดเห็น