xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนรอยบึ้ม “กล้อง กทม. – ตำรวจ.ตม.”สุดโฉ่ สร้างปัญหาเรื้อรัง ถึงเวลา“ประยุทธ์”ต้องลงดาบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหตุการณ์ระเบิดพระพรหมเอราวัณ สีแยกราชประสงค์ คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งนักท่องเที่ยว และชาวไทยจำนวน 20 รายบาด เจ็บกว่า 100 เมื่อค่ำวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ตอนนี้กระจ่างชัดแล้วว่า กลุ่มคนร้ายคือใคร กระทำการด้วยเหตุผลอะไร

เบื้องหน้าเบื้องหลังทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ รายงานอย่างต่อเนื่องและเป็นสื่อเดียวที่เชื่อว่ามาจากขบวนการอุยกูร์ ผสมกับกลุ่มก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยวัตถุพยาน “ฝักแคสีชมพู” ของกลางที่ตกอยู่ กระทั่งนำมาซึ่งการจับกุม นายอาเดม คาราดัก ผู้ต้องหาชาวตุรกีรายแรก ที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนท์ เขตหนองจอก กทม. พร้อมอุปกรณ์ทำระเบิดจำนวนมาก รวมทั้งพาสปอร์ตประเทศตุรี ปลอมจำนวนหลายร้อยเล่ม

นอกจากนั้นดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างรัฐบาลไทย เมื่อเจ้าหน้าที่กัมพูชา จับกุมนายยูซุฟู มีไรลี ขณะหลบหนีและส่งมอบให้กับทางการไทย ผู้ต้องสงสัยรายนี้ถือหนังสือเดินทางของมณฑลซินเจียง ประเทศจีน เมื่อนำตัวมาสอบสวนพร้อมพิสูจน์ลายนิ้วมือ ปรากฏว่าตรงกับหลักฐานต่างๆ ที่พบภายในห้องพักย่านหนองจอก นอกจากนั้นเขายังยอมรับว่า วันเกิดเหตุเดินทางไปที่ศาลเอราวัณ ด้วย แต่ปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องขบวนการระเบิด

ระหว่างการไล่ล่ามือระเบิดที่ยังคงแฝงตัว และกำลังเตลิดหนีอยู่นั้นทางการไทยสามารถโยงใยไปถึง “ทีมผสม” หลายคนเช่น น.ส.วรรณา สวนสัน หรือ ไมซาเลาะห์ สาวชาวกระบี่ ภรรยานายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู ชาวตุรกี ซึ่งขณะนี้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วโดยทางการไทยได้ออกหมายจับทั้ง 2 เช่นกัน ในฐานะผู้จัดหาที่พักและร่วมรู้เห็นกับเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าว

ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดพิเศษในพื้นที่จ.ยะลา สนธิกำลังกับชุดปฏิบัติการ จ.นราธิวาส เข้าตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 223 หมู่ 5 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส และจับกุม นายกามารุเด็ง สาเหาะ อายุ 38 ปี ผู้ต้องสงสัยมีส่วนเชื่อมโยงการกระทำความผิดเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ หลังควบคุมตัวได้นำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ มายังมณฑลทหารบกที่ 11 จังหวัดทหารบกกรุงเทพ (มทบ.11) เขตดุสิต กทม.เพื่อสอบสวนต่อไป

จากการเชื่อมโยงของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งที่ถูกควบคุมตัว และออกหมายจับไปนั้น จะเห็นได้แม้จะมาจากคนหลายกลุ่ม แต่ล้วนมีความเชื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้รัฐบาลจะไม่ต้องการให้ระบุอย่างชัดเจนเนื่องจากมีความอ่อนไหว แต่ในมุมมองของสื่อข้อเท็จจริงที่ตีแผ่ออกไปก็เพื่อให้คนไทยล่วงรู้ถึงสถานการณ์

เพราะคำตอบถึงเหตุผลการก่อวินาศกรรม โดยเอาชีวิตบริสุทธิ์ของพลเรือนเป็นเป้าหมายนั้น เป็นเรื่องโหดเหี้ยมอำมหิต และเป็นภัยที่ทุกคนต้องตื่นตัวมีโอกาสได้ระแวดระวังภัย หรืออาจช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับทางการได้
          
   เมื่อสรุปให้เห็นภาพชัดเจนกันแล้วคงต้องช่วยกันเสนอแนะให้ผู้มีอำนาจ “ล้อมคอก”ฉวยวิกฤติเป็นโอกาส เพราะตั้งแต่วันแรกจนถึงบัดนี้หน่วยงานที่ควรถูกตำหนิ และควรแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุดก็คือ กรุงเทพมหานคร ภายใต้การนำของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ในฐานะผู้ว่าฯกทม. กับอีกหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นอื่นไม่ได้นอกจาก “สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง”

ในส่วนกรุงเทพมหานคร สิ่งที่ฉาวโฉ่มากที่สุดก็คือ เรื่องกล้อง CCTV ซึ่งหลังจากเกิดเหตุระเบิดไม่ถึงชั่วโมง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้เดินทางไปสมทบตำรวจน้อยใหญ่ยังที่เกิดเหตุ และมีข่าวให้อุ่นใจว่า กล้องทุกตัวที่ติดตั้งบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ใช้การได้ตามปกติและได้มอบภาพเคลื่อนไหวทุกซอกทุกมุมให้กับตำรวจไปแล้ว

แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาให้สัมภาษณ์รายการข่าวโทรทัศน์ในเชิงตำหนิว่า ไม่สามารถพึ่งพากล้องวงจรปิดของ กทม.ได้เลย เพราะเสียเป็นส่วนใหญ่ พร้อมยกตัวอย่างว่ากล้อง 20 ตัวใช้ได้เพียง 5 ตัว ทำให้ภาพกระโดดไปมา ส่วนที่เห็นตามคลิปข่าวต่างๆนั้น ล้วนมาจากกล้องเอกชนทั้งสิ้น

ข้อมูลของตำรวจที่ประจานความไม่เอาไหนของ กทม.ครั้งนี้ แม้พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาฯ จะออกมายืนยันว่า กล้องวงจรปิดทั้งหมด 175 ตัวของ กทม. ที่ติดตั้งรอบๆ สี่แยกราชประสงค์ยังใช้การได้แทบทั้งหมด แต่ขัดข้องเพียง 4-5 ตัวเท่านั้น พร้อมมีระบบซ่อมบำรุงอย่างเหมาะสม แต่เสียงแก้ตัวของที่ปรึษาฯ กลับทำให้ประชาชนยิ่งแคลงใจกันมากขึ้นโดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีเดีย มีการนำเอกสารใบจัดซื้อจัดจ้างออกมาแฉกันอย่างเอิกเกริก

ราคาตลาดทั่วไปหลักพัน กทม.ซื้อหลักหมื่น หรือถ้าเริ่มหลักหมื่น กทม.ซื้อมาหลักแสน แถมไม่ได้เชื่อมระบบเข้าศูนย์กลางแต่กล้อง CCTV ของกทม.ส่วนใหญ่จะใช้ระบบเก็บข้อมูล หรือ SERVER ตีเป็นกล่องเหล็กแปะติดอยู่แถวนั้น ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ก็จะใช้วิธีส่งเจ้าหน้าที่ไปไขกุญแจ กู้ภาพมาดู ถือเป็นระบบล้าหลัง แม้แต่สำนักงาน หรือหมู่บ้านชุมชนต่างๆ ก็ไม่นิยมใช้กันแล้ว เนื่องจากอายุการใช้งานต่ำมาก อาจจะทนตากแดดตากฝันไม่เกิน 3-4 เดือนก็พังเสียหายแล้ว นอกจากนั้นยังไม่อาจตรวจสอบกล้องด้วยว่ายังทำงานอยู่ตามปกติหรือจอดับไปแล้ว ดังนั้นกล้องทุกตัวซึ่งมีข้อมูลปี 2556 ว่า กทม.มีมากถึง 4.7 หมื่นตัว จำเป็นที่จะต้องวางระบบอย่างเหมาะสม ไม่ปล่อยให้เสียใช้การไม่ได้ดังที่โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาฟ้อง ออกมาประจานอย่างที่เราท่านทราบกัน 
          
   ประเด็นนี้จึงอยากให้รัฐบาลจัดการสะสางกันอย่างจริงจัง เพราะว่าไปแล้วงบประมาณที่ใช้จัดซื้อจัดจ้างติดกล้อง CCTV นั้นมีปัญหามาทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าฯกทม. มีเรื่องอื้อฉาวกล้องจริง-กล้องหลอก กันมาแล้วครั้งหนึ่ง

จากยุคอภิรักษ์ มายุคคุณชายสุขุมพันธุ์ เรื่องราวไม่สู้ดีเกี่ยวกับกล้อง CCTV ก็ยังไม่จบ แต่ที่เป็นจุดด่างมากที่สุดก็คือ เหตุการณ์ระเบิด 20 ศพที่แยกราชประสงค์ เพราะข้อเท็จจริงผิดเพี้ยนราวหน้ามือกับหลังมือ โดยวันแรกท่านผู้ว่าฯ ยืดอกการันตีกล้องทำงานทุกตัว

แต่เมื่อต่อมาทราบกันว่ากล้องวงจรปิด กทม. มันเกิดดับไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ สิ่งที่ควรชำระสะสางก็คือ มันเกิดอะไรขึ้นกับกล้องทันสมัยราคาหลายพันล้าน เฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชา องค์กรตรวจสอบการทุจริตทั้งหลาย รวมทั้งสำนักตรวจเงินแผ่นดิน อย่าทำนิ่งเฉย เพราะสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นถ้าไม่โกงไม่กิน มันจะเจ๊งง่ายๆ หรือ

ถ้ายึดผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่เอนไปข้างใดข้างหนึ่ง และไม่เกรงใจว่าพรรคประชาธิปัตย์ เขาจะรู้สึกอย่างไรท่านผู้มีอำนาจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าทำเฉยท่านต้องรีบตรวจสอบหาความจริงให้ได้
             
สำหรับสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง คงไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์อะไรกันมากเพราะหน่วยงานนี้แค่อ้าปากก็มองทะลุไปถึงลำไส้ใหญ่
             
  แทบทุกกอง แทบทุกแผนก ล้วนมีแต่ผลประโยชน์

ในอดีตที่รู้กันก็คือ ตำรวจบางคนหากินกับแก๊งลูกหมู หรือผู้อพยพชาวจีน หากินกับแรงงานต่างด้าวพม่า ลาว เขมร ยันแขกดำแขกขาว ถ้าหลบหนีเข้ามาเป็นอันต้องถูกไถ รายไหนคุยไม่รู้เรื่องดำเนินคดีเป็นต้น

ข้อมูลแสบๆคันๆ มีผู้รู้บอกว่าเฉพาะตลาดไทย ตลาดสี่มุมเมือง ตำรวจฝ่ายสืบสวน ตม. บางคนเรียกเงินค่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หัวละ 500 บาท/เดือน ส่วนอีกที่คือ ตลาดมหาชัย ต่างด้าวคนไหนไม่อยากมีปัญหา หัวละ 500 บาทขาดตัว รายได้เป็นกอบเป็นกำ ลำพังตัวเล็กๆนายสิบ หรือนายดาบ คงทำกันไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับไฟเขียวจากระดับบนขึ้นไป

อยู่ที่จะถึงระดับไหน แค่สารวัตร ผู้กำกับ ผู้การ ผู้บังคับการ หรือมากไปกว่านั้น นี่คือวงจรส่วย ตม. ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่จะเป็นใครบ้างตำแหน่งไหนบ้างก็อย่างที่เข้าใจกันว่าคงหาใบเสร็จมายันกันลำบาก แต่ถ้าไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีส่วย จะวิ่งเต้นแย่งกันเข้ามาเป็นใหญ่แทบเป็นแทบตายหรือ 
              
ล่าสุดที่เห็นกันอย่างชัดเจนก็คือ ด่าน ตม.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ที่มือระเบิดหวุดหวิดจะลอยนวลไปได้นั่นเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ความหละหลวมของเจ้าหน้าที่ไทย เรื่องที่ชอบอ้างกันว่า แนวชายแดนมันยาวไกลหลายร้อยหลายพันกิโลเมตร ดูแลกันไม่ไหวนั้นพอรับฟังได้ แต่ไอ้ที่เดินเข้า-ออก แบบเย้ยฟ้าท้า คสช. นั้น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำด่านเขมร ตรงจุดนี้โผล่มาปฏิเสธสักคนซิ

มันปล่อยปละละเลยกันมานานแล้ว จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาเข้าๆ ออกๆ ทั้งกลางวันกลางคืนโดย ตม.ที่นี่ให้อภิสิทธ์กับคนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะขาใหญ่ที่ออกไปเสี่ยงโชคในบ่อนพนันฝั่งเพื่อนบ้าน

เมื่อเห็นนายกรัฐมนตรี ออกปากว่าจะจัดระเบียบจุดผ่านแดนกันใหม่ก็คงสบายใจไปได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าดีที่สุดก็คือ จัดการกับปัญหาทุเรศทุรังใน กทม. โดยเฉพาะเรื่องกล้องวงจรปิด กับพฤติกรรมของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบางคน ที่ยังคงหน้ามืดตามัว รับส่วย รับผลประโยชน์โดยลืมความมั่นคงของชาติ 
         
     เฉพาะเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมศาลท่านท้าวมหาพรหม นี่คือ 2 หน่วยงานที่อัปยศที่สุด


กำลังโหลดความคิดเห็น