xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

RATCHAPRASONG CONSPIRACY

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ประชาชนคนไทยทั้งประเทศผ่านพ้นวันเวลาแห่ง “ความสุข” จากกิจกรรม “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2558 ไปเพียงแค่ 1 วัน ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับ “โศกนาฏกรรม” ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย

เมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นในวันถัดมาคือวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ศูนย์กลางธุรกิจ การค้าและการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยมีผู้เสียชีวิตมากถึง 20 คน ได้รับบาดเจ็บนับร้อยคน และในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติ ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินโดนีเซียและสิงคโปร์รวมอยู่ด้วย

ทั้งนี้ ต้องบอกว่า การก่อวินาศกรรมครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ข่มขู่หรือสร้างสถานการณ์เท่านั้น หากแต่มีเจตนาที่จะ “ทำลายประเทศไทย” โดยเฉพาะทางด้าน “เศรษฐกิจ” เพราะผู้ก่อเหตุเลือกวางระเบิดในจุดที่ต้องถือว่าเป็น “สัญลักษณ์” ของประเทศคือบริเวณ“ศาลพระพรหมเอราวัณ” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นมหาเทพองค์สำคัญที่ช่วยปกป้องประเทศไทย

เฉกเช่นเดียวกับบริเวณ “สี่แยกราชประสงค์” ซึ่งก็ถือว่าเป็นพื้นที่สัญลักษณ์ทางการเมือง การปกครองของประเทศตามความหมายของคำว่า “ราชประสงค์” และเคยถูกใช้ในการชุมนุม “เผาบ้านเผาเมือง” มาแล้ว

ส่วนระเบิดที่ใช้ถือว่ามีความรุนแรง โดยผู้ก่อเหตุใช้ดินระเบิดทีเอ็นทีผสมน้ำมันเชื้อเพลิงทำเป็นระเบิดแสวงเครื่อง เพื่อให้เกิดเปลวไฟลุกท่วมและ ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ที่สำคัญคือเกิดระเบิดขึ้นในเวลาประมาณ 19.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผู้คนพลุกพล่าน

นั่นหมายความว่า คนสั่งการต้องการให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

นั่นหมายความว่า คนสั่งการรู้อยู่เต็มอกว่า เศรษฐกิจไทยกำลังประสบกับภาวะแห่งความยากลำบาก และการท่องเที่ยวเป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

และนั่นหมายความว่า ผู้สั่งการต้องการทำลายความสุขของคนไทยทั้งชาติที่กำลังตกอยู่ในบรรยากาศของความปลื้มปีติในกิจกรรม bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” เพื่อหลอมรวมดวงใจถวายแม่ของแผ่นดิน

ใครเป็นคนทำ

ทำเพื่อวัตถุประสงค์อะไร

และรัฐบาลจะสามารถลากคอมาดำเนินคดีให้สาสมกับความเหี้ยมโหดอำมหิตที่ก่อไว้ได้หรือไม่

เหล่านี้คือคำถามที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องแสวงหาคำตอบให้กับประชาชนคนไทย

ขัดแย้งการเมืองภายในหรือก่อการร้ายสากล

ฉับพลันที่สิ้นเสียงระเบิดพร้อมกับภาพความสยดสยองผู้ที่เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ถูกเผยแพร่ผ่านโลกออนไลน์และสื่อต่างๆ ได้มีการวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานาถึงความเป็นไปได้ของการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้

บ้างก็ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ทางการเมืองของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมือง

บ้างก็ว่า เป็นการก่อการร้ายสากลที่ขยายวงเข้าสู่ประเทศไทย

และบ้างก็ว่าเป็นการขยายพื้นที่ของกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้

ทว่า ในที่สุดก็ได้ข้อยุติถึงประเด็นสำคัญ 2 ประเด็น โดยตัดประเด็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายในภาคใต้ทิ้งไปได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากการตรวจสอบชิ้นส่วนระเบิดที่ตรวจพบในพื้นที่เกิดเหตุ ไม่ใช่เป็นชนิดระเบิดที่ตรวจพบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังเช่นที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เท่าที่ประเมินไม่เกี่ยวข้อง เพราะที่ กทม.มีการใช้ระเบิดแรงสูงที่มีความรุนแรงมากซึ่งไม่ใช่วิธีการของภาคใต้

ประเด็นแรกคือ การสร้างสถานการณ์ทางการเมืองของ “กลุ่มคนหน้าเดิมๆ” ที่เสียประโยชน์และต้องการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายในประเทศ ทำลายบรรยากาศเรื่องการท่องเที่ยว และไม่ต้องการเห็นคนไทยมีความสงบสุข ดังที่ “เสธ.ไก่อู-พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” กระบอกเสียงของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เป็นความอาฆาตมาดร้ายของคนที่เคยกล่าวว่า เมื่อตนไม่สุข ก็อย่าหวังที่คนอื่นจะสุขได้”

ถามว่า สมมติฐานของ เสธ.ไก่อูมีความน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?

ก็ต้องตอบว่า มีความเป็นไปได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า บริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์นั้น เป็นพื้นที่ “สัญลักษณ์ทางการเมือง” ซึ่ง ทุกคนย่อมรับทราบ และ “คนสั่งการ” ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดีเช่นกัน

ไม่เพียงแต่ พล.ต.สรรเสริญ เท่านั้น หากแต่ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมก็มีซุ่มเสียงออกไปในทำนองเดียวกันว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความตั้งใจของกลุ่มเสียผลประโยชน์ทางการเมืองที่ต้องการทำลายบรรยากาศเวลาแห่งความสุขของคนไทยทั้งประเทศที่ผ่านมา เป็นความพยายามที่ต้องการทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า หลังเกิดเหตุระเบิดได้มีกระบวนการปล่อยข่าวลือในโลกสังคมออนไลน์ตามมาเป็นระลอกๆ ทั้งการปล่อยข่าวว่า มีการะประกาศภาวะฉุกเฉิน การสั่งปิดโรงเรียน สถานที่ราชการ สถาบันการเงิน รวมทั้งให้ข้อมูลจุดเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งการปล่อยข้าวเรื่องสภากาชาดไทยขอรับบริจาคเลือด ซึ่ง เสธ.ไก่อูใช้คำว่า เป็นการกระทำอย่างเป็นขบวนการ มีการวางแผนหวังสร้างความปั่นป่วน

ไม่เพียงเท่านั้น ในโลกออนไลน์ก็ได้มีการเผยแพร่ข้อความในเฟซบุ๊กของคนเสื้อแดงผู้ฝักใฝ่ในนักโทษชายหนีคดีที่ใช้ชื่อว่า “สื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย - People Post” เพราะมีการแจ้งข่าวเกี่ยวกับเหตุในกรุงเทพมหานคร มาตั้งแต่ช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2558 นอกจากนี้ หลังเกิดเหตุ เฟซบุ๊กเพจดังกล่าวซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็น “สื่อมวลชนคนเสื้อแดง” ยังโพสต์ข้อความและภาพยืนยันด้วยว่าสิ่งที่ตนเองเตือนไปกลายเป็นความจริง โดยมีรายละเอียดดังนี้

สื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย - People Post

August 13 at 10:07pm •

ด่วน ๆ ด่วนโว้ย ๆ 14 - 18 นี้ ระวังใน กทม. ให้ดีบอกแค่ ข่าวนี้ 86% บอกแค่ นี้ย้ ำๆ — รู้สึก มึงกล้าก็เจอกัน

สื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย - People Post added 2 new photos.
1 hr •

บอกแล้วให้ ระวัง เป็นไง เชื่อบ้างไหม ละ มันเกิดแล้ว ก็เกิดไป

เช็กสิ มี คน ของเราโดนลูกหลงไหม

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังมีเฟซบุ๊กคนเสื้อแดงอื่นๆ ที่มีข้อความในทำนองเดียวกันนี้ เช่น เฟซของผู้ที่ใช้ชื่อว่า วิชเวช พรพรหมรักษา เป็นต้น

สอดคล้องกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า “ประเทศของเรายังมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มุ่งประสงค์ร้ายต่อประเทศชาติยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นการหวังผลทางการเมือง เพื่อทำลายเศรษฐกิจ ทำลายการท่องเที่ยว หรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม รัฐบาลจะเร่งดำเนินการสืบสวน หาตัวผู้กระทำความผิดและขบวนการที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว”

นั่นแสดงว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้น้ำหนักที่เรื่องการเมืองภายในประเทศ เป็น สำคัญ

ประเด็นที่สอง การก่อวินาศกรรมจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวต่างชาติ

ในประเด็นนี้ถือว่า มีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน เนื่องเพราะในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีข้อขัดแย้งและสุ่มเสี่ยงที่จะตกเป็นประเทศเป้าหมายของผู้ก่อการร้ายสากล

เริ่มตั้งแต่ปมปัญหาจากความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาอันเป็น “มหามิตร” เก่าแก่ของประเทศไทย เพื่อต้อนรับ “นายเกล็น ทาวน์เซนด์ เดวีส์” ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย

นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเรื่องปฏิกิริยาโต้ตอบจากองค์การก่อการร้ายอิสลามระดับโลกต่อการส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับประเทศจีน เพราะหากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ไม่นานนักคือ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา ได้เกิดม็อบบุกเข้าไปในสถานกงสุลไทยในกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกีมาแล้ว

ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุวินาศกรรมที่แยกราชประสงค์ ก็พบว่า มีชาวจีนเป็นจำนวนมาก ส่วนการปาระเบิดที่สะพานสาทรก็เป็นที่รับรู้กันว่า เป็นพื้นที่ที่มีชาวต่างชาติใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างท่าเรือสาทรกับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีตากสิน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องการก่อการร้ายมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเป็น ลำดับ ในสายตาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เนื่องเพราะเมื่อดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้พบผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติ ซึ่งเข้าข่ายว่า อาจเป็นผู้วางระเบิดในครั้งนี้

กล่าวคือ ในเวลาต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เผยแพร่ภาพชายต้องสงสัยที่กล้องซีซีทีวีบริเวณศาลท้าวมหาพรหมจับภาพได้ โดยลักษณะคล้ายชาวต่างชาติ ผิวขาว รูปร่างผอมสูง ใบหน้าเหล็กรูปหน้าคล้ายชาวตะวันตก ผมสีน้ำตาลหยิกฟู สวมแว่นตากรอบสีดำ สวมเสื้อยืดคอกลมสีเหลือง กางเกงสามส่วนสีน้ำเงินเข้ม สวมรองเท้าผ้าใบ สวมปลอกแขนทั้งสองข้าง สวมนาฬิกาข้อมือสีดำ โดยภาพแรกสะพายเป้สีน้ำเงิน มือถือถุง 1 ใบ แต่ภาพต่อมาพบว่ากระเป๋าเป้หายไป

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ชายที่ปรากฏตามภาพวงจรปิด เป็นผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจกำลังติดตาม โดยชายคนดังกล่าว เข้ามาในพื้นที่เพียงคนเดียว โดยสารรถสามล้อเครื่องเข้ามา จากนั้นรีบออกไปจากพื้นที่โดยใช้รถจักรยานยนต์รับจ้าง

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่รับชายเสื้อเหลืองไปจากราชประสงค์ ได้ข้อเท็จจริงว่า ชายดังกล่าวให้ไปส่งที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ โดยใช้เส้นทางสีลม ศาลาแดง แล้วไปลงที่ซอยแห่งหนึ่งที่มีเกสต์เฮาส์หรือโรงแรมอยู่ โดยชายดังกล่าวใช้ภาษาอังกฤษ แต่พูดด้วยคำสั้นๆ นอกจากนี้ยังสอบพยานอีกรายที่ให้การว่า หลังจากนั้นพบว่าชายดังกล่าวเรียกแท็กซี่ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ

ถามว่า โอกาสที่จะเป็นการก่อการร้ายมีมากน้อยแค่ไหน

ตอบว่า มีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง รายงานข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนรวบรวมข้อมูลคดีระเบิดพบลักษณะเหตุระเบิดคล้ายกับที่ศาลท้าวมหาพรหมคือ เหตุระเบิดที่ท่าน้ำสาทรที่เพิ่งเกิดเหตุระหว่างประชุม และเหตุระเบิดซอยสุขุมวิท 55 ซึ่งคนร้ายเป็นชาวอิหร่าน เนื่องจากลักษณะระเบิดคนร้ายใช้ลูกปลายใส่ทำเป็นสะเก็ดระเบิด เชื่อการประกอบระเบิดน่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายชาวตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ยังได้มีการตั้งข้อสังเกตถึงพฤติการณ์ของคนร้ายโดยเชื่อว่าน่าจะเลียนแบบมาจากนายโชการ์ซาร์นาเยฟ ผู้ต้องหาลอบวางระเบิดงานบอสตันมาราธอน เมื่อปี 2556 มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 260 คน โดยขณะนี้ศาลลูกขุนสหรัฐฯ พิจารณาโทษให้ประหารชีวิตไปแล้ว ซึ่งช่วงเกิดเหตุผู้ต้องหาได้สะพายกระเป๋าเป้ภายในซุกซ่อนระเบิดแสวงเครื่องไว้ก่อนนำไปวางทิ้งไว้ตรงจุดเส้นชัยซึ่งมีผู้คนยืนดูอยู่จำนวนมาก

ที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ วัตถุระเบิดที่คนร้ายใช้ เป็นดินระเบิดที่ใช้ในทางทหาร อาจเป็นทีเอ็นที หรือซีโฟร์ น้ำหนักประมาณ 2 ปอนด์ มี “บอล แบริ่ง”หรือลูกปืนที่ใช้ในล้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นสะเก็ดระเบิด นำมาห่อหุ้มด้วยท่อพีวีซีให้มีลักษณะคล้ายระเบิดแสวงเครื่อง รูปแบบระเบิดเช่นนี้ไม่ค่อยมีพบในประเทศไทย ทำให้หน่วยงานความมั่นคงพุ่งเป้าไปที่ขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ

หรือผู้เสียประโยชน์ชาวไทย ผนึกกำลังกับมหาอำนาจโลก

กระนั้นก็ดี ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกเป็นคำรบที่สอง เพราะในวันถัดมาคือวันที่ 18 สิงหาคม 2548 ได้มีการปาระเบิดซ้ำ เป็นคำรบที่สองบริเวณ “สะพานสาทร” ฝั่งพระนคร โดยผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งว่า คนปาอยู่บนสะพาน ตั้งใจปาลงตรงสะพานคนข้ามบริเวณจุดจอดรถสองแถว ท่าเรือสาทร แต่พลาดเป้าติดราวสะพานทำให้ระเบิดตกลงน้ำและระเบิดทำงานจึงดัน น้ำพุ่งกระจายขึ้นมา ไม่มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ส่วนคนร้ายหนีไปได้

แต่การเกิดลูกตามที่สะพานสาทรทำให้สามารถขมวดปมให้แคบลงกว่าเดิม เพราะข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุชัดเจนว่า ระเบิดดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับระเบิดที่แยกราชประสงค์

“จากการตรวจสอบชัดเจนว่าชายในกล้องวงจรปิดคือคนร้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังติดตามจับกุม เพราะกลุ่มคนพวกนี้มีเป้าหมายทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ทำลายเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่มั่นใจว่ามีคนไทยร่วมให้ความช่วยเหลือการก่อเหตุด้วย คนพวกนี้ไม่รู้ว่าเปรตอสุรกายที่ไหนมาเกิด ตอนนี้บอกได้เลยว่าเหตุการณ์ไม่ใช่มีแค่เฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น จากเหตุที่เกิดขึ้นต้องมีคนไทยร่วมด้วยเพราะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนในสาถนที่ต่างๆ เช่นเดินทางข้ามสะพานไปตรงแม่น้ำ คนต่างชาติคงทำไม่ได้หรอก ต้องมีคนไทยที่ใจไม่ใช่คนไทยร่วมด้วย”

นั่นคือความชัดเจนล่าสุดที่ออกมาจากปาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2558 และกลายเป็นประเด็นที่สำคัญยิ่ง เพราะเมื่อพิจารณาจากเหตุและปัจจัยรอบด้านแล้ว การก่อวินาศกรรมที่แยกราชประสงค์มีความเป็นไปได้สูงยิ่งที่น่าจะเป็นการสมคบคิดระหว่างกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมืองคนไทยกับมหาอำนาจระดับโลกที่ไม่พอใจรัฐบาลทหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ และมีแนวโน้มว่าจะบริหารราชการแผ่นดินด้วยอำนาจพิเศษต่อเนื่องไปอีก 2 ปี 3 ปีหรือ 4 ปี

พวกเขาไม่พอใจที่จะเห็นประเทศไทยปกครองด้วยอำนาจพิเศษเยี่ยงนี้

ทั้งนี้ สามารถกล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาสำหรับจังหวะ เวลาและสถานที่ซึ่งคนร้ายเลือกใช้ในการก่อวินาศกรรม

เพราะผู้ลงมือสั่งการหรือประสานงานข้อมูลย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองและมีความสุขจากกิจกรรม “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา

รวมทั้งปลื้มปีติที่ได้เห็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พร้อมสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ณ โรงพยาบาลศิริราช

และไม่นับรวมถึง “อุทยานราชภักดิ์” ที่ได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยในการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีที่คนไทยมีต่อบูรพมหากษัตริย์ที่สร้างบ้านแปงเมืองมาในอดีต และทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความสามัคคีของคนไทยทั้งชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน

นอกจากนี้ ระเบิดลูกดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่ประสบเหตุการณ์โดยตรงเท่านั้น หากยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมไทยอย่างมีนัยสำคัญ

เพราะผู้สั่งการย่อมรู้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ และการท่องเที่ยวคือความหวังที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเอาไว้

ดังนั้น ผู้สั่งการจึงเลือกบริเวณสี่แยกราชประสงค์เป็นเป้าหมายในการก่อการเพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เป็นพื้นที่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาสักการะบูชาองค์ท้าวมหาพรหมจำนวนมาก

นักท่องเที่ยวหน้าไหนจะเดินทางมาประเทศไทยเมื่อเกิดระเบิดและมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเช่นนี้

รัฐบาล คสช.ได้สูญเสียความโด่ดเด่นในเรื่องความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นภายในชาติไปในฉับพลันทันที

ถามว่า ใครจะได้ประโยชน์ถ้ารัฐบาล คสช.และประเทศไทยเกิดปัญหา?

เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า นี่คือการส่งสัญญาณเตือนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่ตีตัวออกห่างจากประเทศมหาอำนาจโลกและไปใกล้ชิดกับประเทศจีนและรัสเซียมากขึ้น

ที่สำคัญคือ ที่ผ่านมาประเทศมหาอำนาจโลกแสดงออกชัดเจนว่า ไม่พอใจการทำรัฐประหารในประเทศไทย

เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองไทย ซึ่งสมประ
โยชน์กับมหาอำนาจต่างชาติต้องการทำให้การปกครองของไทยในลักษณะปัจจุบันไม่มีเสถียรภาพ เพราะมีความชัดเจนแล้วว่า รัฐบาล คสช.จะอยู่ในอำนาจต่อไปอย่างน้อย 2 ปี 3 ปี หรือ 4 ปีตามสัญญาณที่ถูกโยนหินถามออกมาเป็นระยะๆ และเป็นรูปธรรมมากขึ้นจากกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องของการทำประชามติให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง รวมถึงการมุ่งหน้าไปสู่รัฐบาลแห่งชาติเพื่อความปรองดอง

ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่า อำนาจจะหลุดออกจากมือทหาร

แถมประชาชนจำนวนมากก็เห็นด้วยกับการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งอีกต่างหาก

ศ.ยะซุฮิโตะ อะซะมิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองไทย จากมหาวิทยาลัยโฮเซ ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุเอ็นเอชเคเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่ราชประสงค์เอาไว้ว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นหลายอย่าง และมีเหตุลอบวางระเบิดค่อนข้างบ่อยในไทย แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่มีผู้เสียชีวิตจากการระเบิดคราวเดียวมากเท่าครั้งนี้ และไม่เคยเกิดในพื้นที่ที่คนต่างชาติจำนวนมากได้รับผลกระทบ

ด้านเอเอฟพีรายงานว่า ขณะที่ยังไม่มีการออกมากล่าวอ้างว่าใครเป็นผู้ลงมือก่อเหตุระเบิด แต่มีประเด็นที่สงสัยว่า อาจมีความเชื่อมโยงกับการแบ่งแยกทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมีมุมมองทางด้านความเชื่อและโหราศาสตร์ ซึ่ง พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์(นิด้า) ได้เขียนบทความชื่อ “ผลกระทบ ผู้บงการและความเชื่อเชิงวัฒนธรรมของการวางระเบิด” เอาไว้อย่างน่าสนใจ

“เกี่ยวกับวิธีการคิดในการลงมือ ผู้วิเคราะห์แนวทางนี้ตั้งประเด็นโดยใช้ความเชื่อเชิงวัฒนธรรม อันได้แก่โหราศาสตร์เป็นแกนการวิเคราะห์ โดยระบุว่าวันที่ เวลาที่ลงมือวางระเบิดนั้นเป็นวันที่ดวงเมืองของประเทศไทยตกต่ำที่สุด และลงมือในบริเวณศาลพระพรหมซึ่งเชื่อกันว่าเป็นมหาเทพองค์สำคัญที่ช่วยปกป้องประเทศไทย

“ผู้วิเคราะห์แนวนี้ยังเชื่อมโยงกับการระเบิดที่ท่าน้ำสาทร ในวันถัดมาอีกด้วย โดยวิเคราะห์ว่าผู้บงการวางแผนระเบิดกำหนดเวลาและสถานที่ของการระเบิดตามหลักโหราศาสตร์ และธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุไฟ (บริเวณศาลพระพรหม-รถ) ธาตุน้ำ (ท่าน้ำสาทร หรือ เรือ ) ลม (ท่าอากาศยาน หรือ เครื่องบิน) และดิน (สถานีรถใต้ดินหรือ รถใต้ดิน) และทำนายว่าอาจมีการวางระเบิดต่อเนื่องตามธาตุทั้งสี่ โดยมีเป้าหมายใหญ่คือ เพื่อทำลายดวงเมืองของประเทศไทย และในการทำลายดวงเมืองให้สำเร็จจะต้องมีชีวิตสังเวย ดังนั้นหากการลงมือครั้งใดยังไม่มีผู้เสียชีวิต ก็อาจจะลงมือใหม่ก็ได้

“การวิเคราะห์แนวโหราศาสตร์เพื่อทำลายดวงเมือง แม้ดูจะเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือในแง่ของวิทยาศาสตร์ แต่ในสังคมไทยนั้นเรามิอาจมองข้ามไปได้เพราะว่าความเชื่อเชิงวัฒนธรรมในเรื่องพวกนี้ฝังแน่นในจิตใจของคนไทยจำนวนมาก ดังที่เราจะเห็นได้จากการลงมือกระทำการใหญ่ใดๆก็ตาม มักจะถือฤกษ์ ถือยาม และมีพิธีกรรมความเชื่อควบคู่กันเสมอ”

ด้วยเหตุที่เป็นการจับมือกันระหว่างผู้เสียประโยชน์ระดับประเทศกับมหาอำนาจโลกนี่กระมัง จึงเป็นเหตุให้ หน่วยงานด้านการข่าวที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล ใช้ปฏิบัติการทางลับมาโดยตลอด อาทิ หน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.) ที่มี “พล.ต.กนิษญ์ ชาญปรีชญา” เป็นผบ.ขกท. สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ที่มี “ฉัตรพงษ์ ฉัตรราคม” ผอ.ข่าวกรอง “พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย” ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้รายงานบนโต๊ะประชุมว่า “ไม่พบความเคลื่อนไหวในลักษณะที่จะก่อเหตุระเบิดมาก่อน”

และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ประเทศมหาอำนาจโลกใช้รูปแบบการก่อการร้ายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการในหลายประเทศ

ดังนั้น จะแปลกอะไรถ้ารูปแบบเช่นนั้นจะถูกนำมาใช้ในประเทศไทย

ขณะเดียวกันจุดที่ต้องพึงสังวรก็คือ ประเทศมหาอำนาจใช่หรือไม่ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับเรื่องโทษของประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งสอดรับอย่างดิบดีกับแก๊งผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองที่กระทำการจาบจ้วงและหมิ่นสถาบันอย่างต่อเนื่อง

ถึงตรงนี้ คงจะไม่ผิดอะไรถ้าจะใช้คำว่า Conspiracy Theory กับการก่อวินาศกรรมซึ่งเกิดขึ้นที่ราชประสงค์

## ล้อมกรอบ
3 เหตุระเบิด ยุค คสช.

ครั้งแรก เกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจไม่นานและยังอยู่ในช่วงประกาศกฎอัยการศึกในช่วงค่ำของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 โดยเกิดระเบิดบริเวณทางเดินเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม หน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 1 คน และไม่สามารถจับกุมผู้วางระเบิดได้

ครั้งที่สอง เกิดขึ้นกลางดึกของวันที่ 7 มีนาคม 2558 โดยคนร้ายปาระเบิดเข้าไปในบริเวณศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ก่อเหตุได้ 15 คน ยังหลบหนีหมายจับ 2 คน โดยผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดง หลายคนมีหมายจับคดีความมั่นคง และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112

ครั้งที่สาม เกิดเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 บริเวณศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ โดยคนร้ายใช้ดินระเบิดทีเอ็นทีผสมน้ำมัน เชื้อเพลิงทำเป็นระเบิดแสวงเครื่อง มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก


ภาพสเกตซ์มือบึ้มราชประสงค์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกหมายจับ





กำลังโหลดความคิดเห็น