ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ประเทศไทยในยามนี้ดูเหมือนจะเผชิญมรสุมหลายด้าน ภัยร้ายรุมเร้าไม่ขาดสายทั้งจากภายในและภายนอก ทำให้การเดินต่อไปข้างหน้าต้องประสบกับความยากลำบากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามกระแสการโถมทับของปัญหาย่อมเป็นบทพิสูจน์ถึงระดับความแข็งแกร่งของสังคมไทยว่ามีมากหรือน้อยเพียงใด หากเราสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสรุปบทเรียนในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ย่อมบ่งบอกถึงศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในสังคม และนั่นจะเป็นรากฐานอันสำคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนสังคมไทยให้มีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น
การระเบิดที่ราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 มีความรุนแรงสูงโดยทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 คน และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นผู้ประสบภัยจากระเบิดมีหลากหลายสัญชาติทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
ระเบิดครั้งนั้นไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนที่ประสบกับเหตุการณ์โดยตรงเท่านั้น หากต่อยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมด้วย
การท่องเที่ยวซึ่งมีความอ่อนไหวกับเรื่องความปลอดภัยสูง อาจเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ เพราะว่าการระเบิดได้ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกกลัว จนไม่กล้าเดินทางไปยังอาณาบริเวณพื้นที่ที่พวกเขารับรู้ว่ามีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้น
ความกลัวของผู้คนนั้นเป็นอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นและหายไปได้ด้วยเงื่อนไขที่มาตอกย้ำหรือผลิตซ้ำว่ามีลักษณะแบบใด หากมีการระเบิดอย่างต่อเนื่อง ความกลัวก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกันหากรัฐบาลสามารถป้องกันเหตุร้ายได้ ในที่สุดความกลัวก็จะค่อยๆจางหายไป และกลับคืนสู่ภาวะปกติ
ด้วยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกที่กำลังตกต่ำอยู่ในเวลานี้ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักต้องเผชิญกับปัญหาตามไปด้วย การส่งออกสินค้าของประเทศไทยลดลงอย่างน่าใจหาย ภาคส่วนที่ช่วยพยุงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเอาไว้ในระยะนี้คือการท่องเที่ยว ดังนั้นหากการท่องเที่ยวถูกทำลายจากการระเบิดก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจของไทยจมดิ่งไปยิ่งกว่าเดิม
ทางการเมืองเล่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน ด้วยจุดแข็งของรัฐบาลประยุทธ์คืองานด้านความมั่นคงและการรักษาความสงบเรียบร้อย การเกิดระเบิดกลางเมืองอย่างรุนแรงจึงเท่ากับเป็นการโจมตีในจุดแข็งที่สุดของรัฐบาลนั่นเอง ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลเกิดความสั่นคลอนขึ้นมา
ความสงสัยในประสิทธิภาพของการดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคมก็เกิดขึ้น และคำถามต่างๆก็ตามมา สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อฐานแห่งความชอบธรรมของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับผลกระทบด้านสังคม การระเบิดได้สร้างความหวาดระแวงให้เกิดขึ้นระหว่างผู้คนในสังคม ความไว้วางใจซึ่งกันและกันของผู้คนย่อมลดลง ยิ่งกว่านั้นขบวนการที่ก่อเหตุระเบิดครั้งนี้ได้มีปฏิบัติการณ์ที่สืบเนื่องหลายอย่างเพื่อสร้างความหวาดกลัวและความโกลาหลให้เกิดขึ้นในสังคม ทั้งในเรื่องการแพร่ภาพศพอันน่ากลัวของผู้เสียชีวิต การปล่อยข่าวลือเรื่องการปิดการทำงานของหน่วยงานราชการและสถาบันทางการเงิน รวมทั้งข่าวลือเกี่ยวกับสถานที่เป้าหมายของการวางระเบิดในครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตามเท่าที่ผมติดตามดู การรับมือและการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินของประชาสังคมและรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ทำได้ดีพอสมควร ประชาชนไทยหลากหลายอาชีพได้แสดงให้เห็นถึงพลังทางสังคม โดยร่วมมือให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามวิกฤติได้อย่างดียิ่ง ทั้งในการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ การระงับข่าวลือ และการให้กำลังใจเพื่อนร่วมสังคม ในส่วนของภาครัฐและรัฐบาลก็ตอบสนองเหตุการณ์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพตามสมควร สามารถจับภาพผู้วางระเบิดได้อย่างทันทีและตั้งทีมในการจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
คำถามที่ค้างคาในจิตใจของคนไทยในยามนี้คือ กลุ่มใดที่ลงมือวางระเบิด มีการวิเคราะห์กันมากมายหลากหลาย ในการวิเคราะห์นั้นดูเหมือนจะมี 3 แง่มุม คือ วิเคราะห์ในเรื่องเป้าหมายหรือความปรารถนาของกลุ่มผู้กระทำ การวิเคราะห์ศักยภาพของกลุ่มที่กระทำ และการวิเคราะห์วิธีการและเครื่องมือของผู้กระทำ
การวิเคราะห์ในเชิงเป้าหมายของกลุ่มผู้ทำเท่าที่สังเกตคือมีอยู่ 3 แนวทางหลัก คือ แนวทางแรกคือ ผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศที่กลุ่มผู้ทำได้เกิดจากการระเบิด กลุ่มที่ได้ประโยชน์ทางการเมืองจากผลกระทบของการระเบิดคือกลุ่มอำนาจเก่าทุนนิยมสามานย์ เพราะการระเบิดทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลปัจจุบันลดลงนั่นเอง
แนวทางที่สองคือ การแก้แค้นทางการเมืองของกลุ่มการเมืองต่างชาติ ผู้ที่ชูประเด็นนี้ขึ้นมามุ่งเป้าไปที่กลุ่มอุยกูร์ โดยพยายามชี้นำว่ากลุ่มนี้ต้องการแก้แค้นรัฐบาลไทยที่ส่งผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวอุยกูร์แก่รัฐบาลจีน และแนวทางที่สามคือ การส่งสัญญาณเตือนแก่รัฐบาลไทยจากรัฐบาลต่างชาติที่รัฐบาลไทยเริ่มตีตัวออกห่าง ผู้วิเคราะห์แนวทางนี้เชื่อว่ารัฐบาลมหาอำนาจตะวันตกบางชาติ ไม่พอใจรัฐบาลไทยที่ตีตัวออกห่างจากตนเอง และไปใกล้ชิดกับประเทศจีนและรัสเซียมากขึ้น จึงลงมือสั่งสอนรัฐบาลไทยเพื่อส่งสัญญาณให้กลับมาเป็นอยู่ภายใต้อำนาจการชี้นำของตนเองดังในอดีต
สำหรับการวิเคราะห์ในเชิงศักยภาพของผู้ทำ มี 2 กลุ่มที่มีศักยภาพแน่ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งยังเป็นที่ถกเถียง กล่าวคือ ผู้วิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า กลุ่มทุนสามานย์เป็นผู้บงการวางระเบิด เพราะมีศักยภาพในการทำสูง กลุ่มทุนสามานย์มีทั้งเครือข่ายและทุนที่สามารถเชื่อมโยงและว่าจ้างกลุ่มมืออาชีพที่มีศักยภาพในการสร้างระเบิดและเชี่ยวชาญการก่อการร้าย สร้างความรุนแรงทั้งภายในและภายนอกประเทศได้สูง ประกอบกับหลักฐานเชิงประจักษ์ทางประวัติศาสตร์อันใกล้บ่งชี้ว่า กลุ่มทุนสามานย์สามารถบงการให้เกิดความรุนแรงด้วยการใช้ระเบิดและอาวุธมีหลายครั้งหลายหนแล้วในสังคมไทย จนเป็นที่รับรู้ของประชาชนทั่วไป
สำหรับกลุ่มอุยกูร์ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่ามีศักยภาพหรือไม่ บ้างก็ว่ามีศักยภาพ บ้างก็ว่าไม่มีศักยภาพ แต่ในสายความมั่นคงบางสายเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ แม้ว่าบางสายจะไม่เชื่อก็ตาม เพราะว่าหน่วยงานความมั่นคงบางแห่งสังเกตพฤติกรรมของชาวอุยกูร์บางส่วนที่กระทำระหว่างถูกคุมขัง เช่น ลักษณะการออกกำลังกาย และความแข็งแกร่งของร่างกาย ซึ่งดูผิดไปจากชาวบ้านธรรมดา โดยชาวอุยกูร์บางส่วนดูเหมือนจะได้รับการฝึกอบรมการออกกำลังกายแบบที่ใช้ในหน่วยทหาร พวกเขาจึงอนุมานว่าชาวอุยกูร์ก็มีศักยภาพในการทำ
ด้านศักยภาพของกลุ่มที่เป็นประเทศมหาอำนาจนั้น ไม่มีผู้ใดสงสัยในศักยภาพของพวกเขา เพราะประเทศนี้มีทั้งหน่วยสืบราชการลับและหน่วยเฉพาะกิจทางทหารที่มีศักยภาพในการก่อการร้ายได้สูงอยู่แล้ว
สำหรับการวิเคราะห์ในแง่วิธีการและเครื่องมือเท่าที่รับฟังมามี 2 ลักษณะคือ ลักษณะแรกเกี่ยวกับระเบิดและวิธีการประกอบระเบิด ซึ่งผู้รู้ในเรื่องนี้ระบุว่า ลักษณะการประกอบระเบิดจุดชนวนด้วยการตั้งเวลา มีการต่อวงจรแบบมืออาชีพ ซึ่งมักพบว่าเป็นการกระทำของคนต่างชาติและเคยพบก่อเหตุมาแล้วหลายพื้นที่ในประเทศไทยแต่ยังไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สรุปคือผู้ประกอบระเบิดน่าจะเป็นคนต่างชาติ หรือเป็นคนไทยที่ได้รับการสอนจากชาวต่างชาติ
ส่วนลักษณะประการที่สอง เกี่ยวกับวิธีการคิดในการลงมือ ผู้วิเคราะห์แนวทางนี้ตั้งประเด็นโดยใช้ความเชื่อเชิงวัฒนธรรม อันได้แก่โหราศาสตร์เป็นแกนการวิเคราะห์ โดยระบุว่าวันที่ เวลาที่ลงมือวางระเบิดนั้นเป็นวันที่ดวงเมืองของประเทศไทยตกต่ำที่สุด และลงมือในบริเวณศาลพระพรหมซึ่งเชื่อกันว่าเป็นมหาเทพองค์ สำคัญ ที่ช่วยปกป้องประเทศไทย
ผู้วิเคราะห์แนวนี้ยังเชื่อมโยงกับการระเบิดที่ท่าน้ำสาทร ในวันถัดมาอีกด้วย โดยวิเคราะห์ว่าผู้บงการวางแผนระเบิดกำหนดเวลาและสถานที่ของการระเบิดตามหลักโหราศาสตร์ และธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุไฟ (บริเวณศาลพระพรหม-รถ) ธาตุน้ำ (ท่าน้ำสาทร หรือ เรือ ) ลม (ท่าอากาศยาน หรือ เครื่องบิน) และดิน (สถานีรถใต้ดินหรือ รถใต้ดิน) และทำนายว่าอาจมีการวางระเบิดต่อเนื่องตามธาตุทั้งสี่ โดยมีเป้าหมายใหญ่คือ เพื่อทำลายดวงเมืองของประเทศไทย และในการทำลายดวงเมืองให้สำเร็จจะต้องมีชีวิตสังเวย ดังนั้นหากการลงมือครั้งใดยังไม่มีผู้เสียชีวิต ก็อาจจะลงมือใหม่ก็ได้
การวิเคราะห์แนวโหราศาสตร์เพื่อทำลายดวงเมือง แม้ดูจะเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือในแง่ของวิทยาศาสตร์ แต่ในสังคมไทยนั้นเรามิอาจมองข้ามไปได้เพราะว่าความเชื่อเชิงวัฒนธรรมในเรื่องพวกนี้ฝังแน่นในจิตใจของคนไทยจำนวนมาก ดังที่เราจะเห็นได้จากการลงมือกระทำการใหญ่ใดๆก็ตาม มักจะถือฤกษ์ ถือยาม และมีพิธีกรรมความเชื่อควบคู่กันเสมอ
ผมพยายามรวบรวมแนวทางการวิเคราะห์เหตุระเบิดครั้งนี้ในหลายแง่มุม เพื่อให้ผู้อ่านลองใช้วิจารณญาณและชั่งน้ำหนักตัดสินใจกันเองว่า แนวการวิเคราะห์แบบใดบ้างที่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ของบ้านเมืองและสังคมมากขึ้น รวมทั้งหาทางป้องกันเหตุร้ายโดยที่ไม่ละเลยแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งไป