ASTVผู้จัดการรายวัน - ผบ.ตร. แถลงจับกุม "แจ้-ภานุพงษ์" มือปืนสังหาร "เสี่ยสมยศ" อดีตเจ้าของพระราม 9 คาเฟ่ รับสารภาพทำเพื่อทดแทนบุญคุณ ค่าจ้าง 3 แสนบาท ขณะที่ "ชม-อาจารย์" ผู้รับงานจัดหาทีมสังหารได้ส่วนแบ่ง 1 แสนบาท จากทั้งหมด 1 ล้านบาท ระบุสาเหตุผู้จ้างวานเรื่องหนี้สินเรื่องว่าคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ที่ติดค้างหลายล้านบาท พร้อมนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
วานนี้ (3 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น.5 พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป.ร่วมแถลงข่าวการจับกุมนายภานุพงษ์ หรือ แจ้ รัสนา อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 2/5 หมู่ 6 แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชันกทม. ตามหมายจับศาลพระขโนงที่ 359/2558 ลงวันที่ 1 กันยายน 2558 ผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิงนายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าของพระราม 9 คาเฟ่ จนเสียชีวิตที่ร้านอาหารเฮงหูฉลาม สาขาพัฒนาการ เขตสวนหลวง เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน 6 สีทอง จำนวน 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อแอลจี สีชมพู จำนวน 1 เครื่อง รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสแมช สีแดงดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ตรวจสอบภายหลังทราบเป็นรถหมายเลขทะเบียน บมฉ 540 กทม. โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าโรงเรียนอุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย ซ.จรัญสนิทวงศ์ 35 ถ.ปากน้ำวัดแก้ว แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กทม. เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.สมบัติ กล่าวว่า คดีนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างตำรวจนครบาลกับกองปราบปรามในการเร่งคลี่คลายคดี โดยหลังเกิดเหตุตำรวจได้มีการสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูล ประเด็นการสังหาร มีการรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เส้นทางคนร้าย ตำหนิรูปพรรณ ยานพาหนะ จนทราบว่านายภานุพงษ์ มีตำหนิรูปพรรณและรอยสักตรงกับกับมือปืนที่ก่อเหตุ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน จึงได้ขออนุมัติศาลจังหวัดพระโขนง ออกหมายที่ จ.359/2558 ลงวันที่ 1 ก.ย.2558 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และใช้อาวุธปืน ก่อนสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในเวลา 17.00 น.วันเดียวกัน
พล.ต.ต.สมบัติ กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวน นายภานุพงษ์ ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุยิง นายสมยศ จริง โดยได้รับค่าจ้าง จำนวน 300,000 บาท แบ่งเป็น จำนวน 2 งวด งวดแรกก่อนก่อเหตุยิงนายสมยศ จำนวน 30,000 บาท และงวดที่ 2 หลังลงมือสำเร็จแล้วอีก 270,000 บาท โดยก่อนเกิดเหตุนายกฤษฎา หรือ นก ใจเอม ซึ่งรู้จักกับนายภานุพงษ์ ได้ติดต่อให้ไปทวงหนี้ และได้นัดพบกันกับนายกฤษฎา และชายที่นายกฤษฎา เรียกว่าอาจารย์ คือ นายชม ไชยณรงค์ ที่โรงแรมย่านถนนเลียบคลองสอง ภายหลังนายชมเกิดเปลี่ยนใจบอกว่าไม่ต้องทวงหนี้แต่ให้ลงมือสังหารแทน จึงนัดวางแผนสังหาร จากนั้นทั้ง 3 คนได้เดินทางไปพบกับนายหนูไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง ผู้ขับขี่รถจักยานยนต์พาไปสังหารที่สนามกีฬาหัวหมาก และนายชมได้มอบกระเป๋าที่บรรจุเงินค่าจ้าง อาวุธปืนลูกโม่ขนาด.38 พร้อมรูปถ่าย นายสมยศ เป้าหมายให้ จากนั้น นายภานุพงษ์ ได้ซ้อนท้ายนายหนูไปสังหาร นายสมยศ ที่ลานจอดรถร้านเฮงหูฉลามโดยยิงเข้าไปที่หลัง 2 นัด ใบหน้า 1 นัด และยิงซ้ำที่หัวอีก 1 นัดรวม 4 นัด หลังก่อเหตุได้ทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ที่บริเวณ ซ.รามคำแหง 24 แยก 2 ก่อนหลบหนีไปพักย่านหนองแขม นำกระเป๋าสะพาย เสื้อผ้าที่ใส่ในวันก่อเหตุไปเผาทิ้ง และนำปืนที่ใช้ก่อเหตุไปโยนทิ้งแม้น้ำเจ้าพระยา บริเวณกลางสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า นายภานุพงษ์ ยังมีคดีติดตัวอีก 3 คดี ได่แก่ ข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยผิดกฎหมาย และข้อหาข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยผิดกฎหมาย ท้องที่ สน.บางขุนนนท์ ด้วย
ด้าน นายภานุพงษ์ ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุยิง นายสมยศ โดยได้รับค่าจ้าง 300,000 บาท ส่วนเหตุผลที่รับงานเป็นมือปืนครั้งนี้เพื่อทดแทนบุญคุณ เพราะคนที่ว่าจ้างเป็นผู้มีพระคุณ เคยเลี้ยงดูกันมา และไม่ทราบมาก่อนว่าต้องฆ่าใครเพราะไม่รู้จัก หรือ เคยมีความขัดแย้งกับ นายสมยศ มาก่อน หรือ ผู้ที่ถูกฆ่ามีความขัดแย้งใดกับผู้จ้างวาน ทั้งนี้ ตนไม่เคยฝึกการยิงปืน หรือ เคยก่อเหตุฆ่าใครมาก่อน
ต่อมาเวลา 10.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.ได้นำตัวนายชม ไชยณรงค์ หรือ อาจารย์ อายุ 53 ปี ชาว จ.นครราชสีมา มาร่วมแถลงข่าวด้วย โดย พล.ต.ต.อัคราเดช กล่าวว่า จากการสอบสวน นายชม ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหายอมรับว่าเป็นหนึ่งในทีมสังหาร นายสมยศ จริง โดยเป็นผู้ได้รับการติดต่อจากผู้ว่าจ้างในการจัดหาทีมสังหาร โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท มาแบ่งกันในทีมสังหาร ส่วนตัวนายชมได้ส่วนแบ่งจำนวน 1 แสนบาท ส่วนสาเหตุที่ลงมือสังหารนั้นทางผู้จ้างวานบอกว่า เกี่ยวกับเรื่องเงินที่ติดค้างกันหลายล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับนายชม ได้หลบหนีไปกบดานที่ จ.เพชรบุรี ตำรวจจึงได้มีการเชิญตัวมาสอบถามก่อนทราบว่ามีหมายจับของ ศาลจังหวัดพระโขนง ที่จ.400/2558 ลงวันที่ 3 ก.ย.2558 ติดตัวอยู่ จึงได้แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยมีและใช้อาวุธปืนในฐานะผู้ใช้จ้างวาน
พล.ต.ต.อัคราเดช กล่าวว่า สำหรับมูลเหตุการสังหาร นายสมยศ เกี่ยวข้องกับการหักหลังเรื่องเงินจำนวนหลายล้านบาท เกี่ยวกับการไปว่าคดี ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ตำรวจจึงต้องระมัดระวังในการข่าวเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่านายชม เคยต้องโทษมาหลายคดี อาทิ คดีที่ร่วมกับ พ.ต.ท.พันธุ์ศักดิ์ มงคลศิลป์ อุ้มฆ่าแม่-ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ขณะเดียวกันพัวพันกับคดีอุ้มฆ่าที่ จ.สระแก้ว หลายคดี และมีหมายจับในคดีอุ้มฆ่าติดตัวอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอุกฉกรรจ์ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี หลายคดี
ทั้งนี้ สำหรับทีมสังหารในครั้งนี้มี 5 คน คือ นายภานุพงษ์ หรือ แจ้ รัสนา มือปืน นายหนูไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง ทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ให้กับมือปืน ผู้รับงานคือ นายชม ไชยณรงค์ หรืออาจารย์ และนายกฤษฎา หรือ นก ใจเอม ส่วนคนสุดท้ายคือผู้จ้างวานซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าวตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุที่ร้านเฮงหูฉลาม ถ.พัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง และจุดที่ผู้ต้องหาอ้างว่าได้นำอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุไปทิ้งบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า แต่ก็ไม่พบ
ดำน้ำงมหาปืนสังหาร"สมยศ"
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำพร้อมทีมนักประดาน้ำอาสากู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงดำน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า หลังนายภานุพงศ์ หรือแจ้ รัสนา มือปืนยิงนายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าพ่อคาเฟ่ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีว่านำปืนที่ใช้สังหารเหยื่อแล้วนำมาโยนทิ้งที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา
วานนี้ (3 ก.ย.) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น.5 พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผบก.ป.ร่วมแถลงข่าวการจับกุมนายภานุพงษ์ หรือ แจ้ รัสนา อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 2/5 หมู่ 6 แขวงบางระมาด เขตตลิ่งชันกทม. ตามหมายจับศาลพระขโนงที่ 359/2558 ลงวันที่ 1 กันยายน 2558 ผู้ต้องหาใช้อาวุธปืนยิงนายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าของพระราม 9 คาเฟ่ จนเสียชีวิตที่ร้านอาหารเฮงหูฉลาม สาขาพัฒนาการ เขตสวนหลวง เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมของกลาง โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน 6 สีทอง จำนวน 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อแอลจี สีชมพู จำนวน 1 เครื่อง รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ รุ่นสแมช สีแดงดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ตรวจสอบภายหลังทราบเป็นรถหมายเลขทะเบียน บมฉ 540 กทม. โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าโรงเรียนอุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย ซ.จรัญสนิทวงศ์ 35 ถ.ปากน้ำวัดแก้ว แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กทม. เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา
พล.ต.ต.สมบัติ กล่าวว่า คดีนี้เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างตำรวจนครบาลกับกองปราบปรามในการเร่งคลี่คลายคดี โดยหลังเกิดเหตุตำรวจได้มีการสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูล ประเด็นการสังหาร มีการรวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เส้นทางคนร้าย ตำหนิรูปพรรณ ยานพาหนะ จนทราบว่านายภานุพงษ์ มีตำหนิรูปพรรณและรอยสักตรงกับกับมือปืนที่ก่อเหตุ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน จึงได้ขออนุมัติศาลจังหวัดพระโขนง ออกหมายที่ จ.359/2558 ลงวันที่ 1 ก.ย.2558 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และใช้อาวุธปืน ก่อนสามารถติดตามจับกุมตัวได้ในเวลา 17.00 น.วันเดียวกัน
พล.ต.ต.สมบัติ กล่าวต่อไปว่า จากการสอบสวน นายภานุพงษ์ ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุยิง นายสมยศ จริง โดยได้รับค่าจ้าง จำนวน 300,000 บาท แบ่งเป็น จำนวน 2 งวด งวดแรกก่อนก่อเหตุยิงนายสมยศ จำนวน 30,000 บาท และงวดที่ 2 หลังลงมือสำเร็จแล้วอีก 270,000 บาท โดยก่อนเกิดเหตุนายกฤษฎา หรือ นก ใจเอม ซึ่งรู้จักกับนายภานุพงษ์ ได้ติดต่อให้ไปทวงหนี้ และได้นัดพบกันกับนายกฤษฎา และชายที่นายกฤษฎา เรียกว่าอาจารย์ คือ นายชม ไชยณรงค์ ที่โรงแรมย่านถนนเลียบคลองสอง ภายหลังนายชมเกิดเปลี่ยนใจบอกว่าไม่ต้องทวงหนี้แต่ให้ลงมือสังหารแทน จึงนัดวางแผนสังหาร จากนั้นทั้ง 3 คนได้เดินทางไปพบกับนายหนูไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง ผู้ขับขี่รถจักยานยนต์พาไปสังหารที่สนามกีฬาหัวหมาก และนายชมได้มอบกระเป๋าที่บรรจุเงินค่าจ้าง อาวุธปืนลูกโม่ขนาด.38 พร้อมรูปถ่าย นายสมยศ เป้าหมายให้ จากนั้น นายภานุพงษ์ ได้ซ้อนท้ายนายหนูไปสังหาร นายสมยศ ที่ลานจอดรถร้านเฮงหูฉลามโดยยิงเข้าไปที่หลัง 2 นัด ใบหน้า 1 นัด และยิงซ้ำที่หัวอีก 1 นัดรวม 4 นัด หลังก่อเหตุได้ทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ที่บริเวณ ซ.รามคำแหง 24 แยก 2 ก่อนหลบหนีไปพักย่านหนองแขม นำกระเป๋าสะพาย เสื้อผ้าที่ใส่ในวันก่อเหตุไปเผาทิ้ง และนำปืนที่ใช้ก่อเหตุไปโยนทิ้งแม้น้ำเจ้าพระยา บริเวณกลางสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า นายภานุพงษ์ ยังมีคดีติดตัวอีก 3 คดี ได่แก่ ข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยผิดกฎหมาย และข้อหาข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยผิดกฎหมาย ท้องที่ สน.บางขุนนนท์ ด้วย
ด้าน นายภานุพงษ์ ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุยิง นายสมยศ โดยได้รับค่าจ้าง 300,000 บาท ส่วนเหตุผลที่รับงานเป็นมือปืนครั้งนี้เพื่อทดแทนบุญคุณ เพราะคนที่ว่าจ้างเป็นผู้มีพระคุณ เคยเลี้ยงดูกันมา และไม่ทราบมาก่อนว่าต้องฆ่าใครเพราะไม่รู้จัก หรือ เคยมีความขัดแย้งกับ นายสมยศ มาก่อน หรือ ผู้ที่ถูกฆ่ามีความขัดแย้งใดกับผู้จ้างวาน ทั้งนี้ ตนไม่เคยฝึกการยิงปืน หรือ เคยก่อเหตุฆ่าใครมาก่อน
ต่อมาเวลา 10.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป.ได้นำตัวนายชม ไชยณรงค์ หรือ อาจารย์ อายุ 53 ปี ชาว จ.นครราชสีมา มาร่วมแถลงข่าวด้วย โดย พล.ต.ต.อัคราเดช กล่าวว่า จากการสอบสวน นายชม ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหายอมรับว่าเป็นหนึ่งในทีมสังหาร นายสมยศ จริง โดยเป็นผู้ได้รับการติดต่อจากผู้ว่าจ้างในการจัดหาทีมสังหาร โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท มาแบ่งกันในทีมสังหาร ส่วนตัวนายชมได้ส่วนแบ่งจำนวน 1 แสนบาท ส่วนสาเหตุที่ลงมือสังหารนั้นทางผู้จ้างวานบอกว่า เกี่ยวกับเรื่องเงินที่ติดค้างกันหลายล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับนายชม ได้หลบหนีไปกบดานที่ จ.เพชรบุรี ตำรวจจึงได้มีการเชิญตัวมาสอบถามก่อนทราบว่ามีหมายจับของ ศาลจังหวัดพระโขนง ที่จ.400/2558 ลงวันที่ 3 ก.ย.2558 ติดตัวอยู่ จึงได้แจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนโดยมีและใช้อาวุธปืนในฐานะผู้ใช้จ้างวาน
พล.ต.ต.อัคราเดช กล่าวว่า สำหรับมูลเหตุการสังหาร นายสมยศ เกี่ยวข้องกับการหักหลังเรื่องเงินจำนวนหลายล้านบาท เกี่ยวกับการไปว่าคดี ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ตำรวจจึงต้องระมัดระวังในการข่าวเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่านายชม เคยต้องโทษมาหลายคดี อาทิ คดีที่ร่วมกับ พ.ต.ท.พันธุ์ศักดิ์ มงคลศิลป์ อุ้มฆ่าแม่-ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ขณะเดียวกันพัวพันกับคดีอุ้มฆ่าที่ จ.สระแก้ว หลายคดี และมีหมายจับในคดีอุ้มฆ่าติดตัวอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอุกฉกรรจ์ในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี หลายคดี
ทั้งนี้ สำหรับทีมสังหารในครั้งนี้มี 5 คน คือ นายภานุพงษ์ หรือ แจ้ รัสนา มือปืน นายหนูไม่ทราบชื่อ-สกุลจริง ทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ให้กับมือปืน ผู้รับงานคือ นายชม ไชยณรงค์ หรืออาจารย์ และนายกฤษฎา หรือ นก ใจเอม ส่วนคนสุดท้ายคือผู้จ้างวานซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงข่าวตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่จุดเกิดเหตุที่ร้านเฮงหูฉลาม ถ.พัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง และจุดที่ผู้ต้องหาอ้างว่าได้นำอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุไปทิ้งบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า แต่ก็ไม่พบ
ดำน้ำงมหาปืนสังหาร"สมยศ"
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำพร้อมทีมนักประดาน้ำอาสากู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงดำน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า หลังนายภานุพงศ์ หรือแจ้ รัสนา มือปืนยิงนายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าพ่อคาเฟ่ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีว่านำปืนที่ใช้สังหารเหยื่อแล้วนำมาโยนทิ้งที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา