ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
“การล้างพิษตับ” ในประเทศไทยที่ใช้การผสมผสานด้วยการ 1. อดอาหาร 2. ล้างลำไส้ให้สะอาด 3. ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวเพียง 1 แก้ว (น้ำมันมะกอกไม่เกิน 150 ml และน้ำมะนาวไม่เกิน 150 ml) เพื่อล่อและขับน้ำดีและนิ่วในถุงน้ำดีออกจากร่างกาย และ 4. การให้ความรู้เพื่อปรับพฤติกรรมและการบริโภคหลังการล้างพิษตับ
แต่สิ่งที่ดีๆ ถ้า “เกินพอดี” ก็จะกลายเป็นไม่ดี!!! ไม่ว่าจะเป็น การนอน การกิน การออกกำลังกาย ไม่เว้นแม้แต่การล้างพิษตับที่ดื่มน้ำมันมะกอกเกินพอดี
ส่วนหนึ่ง “กุศโลบาย” ของการล้างพิษตับ คือการสร้างความฮือฮาได้เห็นสิ่งที่ขับออกจากร่างกาย โดยเฉพาะการล้างลำไส้ด้วยอาหารที่กลุ่มไฟเบอร์ หรือ การขับน้ำดีออก ซึ่งผู้ที่ได้เห็นก็อาจจะประหลาดใจ หรือตกใจเพราะไม่เคยได้เห็นมาก่อน และทำให้เกิดสติในการปรับพฤติกรรมการกินของตัวเองได้
มายาคติสำหรับบางหลักสูตร คือได้เห็นอาหารไฟเบอร์ที่พองน้ำได้เช่นกลุ่มพวกซิลเลียม(ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของลิดท็อกซ์)เพื่อล้างลำไส้ได้ถูกขับถ่ายออกมาเป็นก้อนวัตถุ ในบางกรณีออกมาเป็นรูปลำไส้ บางกรณีขับถ่ายเป็นก้อนออกมาช้าก็ถูกแปลความให้ไปไกลกว่านั้นว่าเป็นสิ่งที่ขับออกมาจากตับ ทั้งๆที่ความจริงมันก็มาจากสิ่งที่เรากินออกมานั่นเอง
แต่ของจริงคือการล้างลำไส้ให้สะอาดนั้นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่ามายาคติ
ซิลเลียมเป็นไฟเบอร์ที่พองตัวได้เมื่อโดนน้ำ จึงสามารถกวาดล้างสิ่งสกปรกในลำไส้ออกมาได้เมื่อบริโภคเข้าไป เพียงแต่ถ้าไม่ระวังและกินมากเกินไปหรือดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือคนที่มีภาวะท้องผูก หรือ ไทรอยด์ต่ำแฝงก็อาจจะติดค้างทางเดินอาหารและหายใจไม่ออกได้
ซึ่งการล้างลำไส้ให้สะอาดนั้นยังมีอีกหลายวิธี เช่น การใช้ยาถ่าย การใช้เอนไซม์ย่อยสลายสิ่งตกค้างในลำไส้ การสวนล้างลำไส้ ฯลฯ แต่การกินยาถ่ายหรือการรับประทานเอนไซม์เพื่อขับถ่ายนั้น หากกินมากไปก็จะเกิดการขับถ่ายมากเกินพอดี อาจการสูญเสียสมดุลเกลือแร่ ขาดจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้เช่นกัน
เช่นเดียวกับการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อเป็นตัวล่อน้ำดีให้ออกมาแล้วขับถ่ายออกนั้น ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ขับถ่ายออกมานั้นย่อมมีน้ำดี (บางส่วนเป็นนิ่วที่ละลายออกมา) ผสมกันออกมากับน้ำมันมะกอก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเรียกไขมันทุกก้อนได้แน่ชัดว่ามันเป็นไขมันชนิดเดียวกันทั้งหมดที่อยู่ในถุงน้ำดี เพราะท่อน้ำดีเล็กเพียง 0.5 เซนติเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะมีก้อนไขมันออกมาใหญ่เกินกว่านั้นหลายเท่าตัว นอกจากการละลายออกมาแล้วก่อรูปร่างกันใหม่เท่านั้น
แต่สิ่งที่เราได้เห็นคุณประโยชน์เด่นชัด จากการดื่มน้ำมันมะกอก ซึ่งลำพังเพียงการอดอาหารหรือการล้างลำไส้ไม่สามารถจะทำได้ คือ “การลดลงไปของนิ่วในถุงน้ำดี” โดยไม่ต้องมีการผ่าตัด ทั้งนิ่วหายไป (ในบางกรณีหายไปทั้งๆที่มีขนาดใหญ่ถึง 3.5 เซนติเมตร) ทั้งจำนวนลดลง ทั้งขนาดลดลง ก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการขับน้ำดีออกนั่นเอง
อีกส่วนหนึ่งที่ถือว่าน่าทึ่งและปฏิเสธไม่ได้คือการที่ค่าไวรัสตับอักเสบของคนจำนวนมากลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ส่วนอาการภูมิแพ้ลดลง อาการเจ็บป่วยลดลง ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อาการทางสมองและระบบประสาทดีขึ้น ไขมันพอกหรือแทรกตับลดลง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จากงานวิจัยพบว่าสามารถทำได้โดยการอดอาหารเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องดื่มน้ำมันมะกอกเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่การดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล่อและขับน้ำดีออกเพื่อว่าขับสารพิษนั้น ก็เพราะมีเหตุอ้างได้จากวิจัยในหัวข้อ Factor Affecting the Storage Excretion of Toxic Lipophilic Xenobiotics. โดย Ronal J. Jandeck และ Patrick Tso จากภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยซินซินเนติ มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2554 พบว่า “สารพิษที่ละลายทางไขมันมีเส้นทางปกติในการขับออกคือทางน้ำดี แต่ยังมีหลักฐานว่าสามารถขับออกทางลำไส้เล็กได้ด้วย”
ด้วยเหตุผลดังกล่าวการล้างพิษตับจึงน่าจะมีผลในการขับสารพิษผ่านการขับขับน้ำดี และการล้างลำไส้ให้สะอาดควบคู่กันไป
ความชัดเจนเพื่อป้องกันการอุปทานในการล้างพิษตับ หรือที่เรียกว่า ผลกระทบของยาหลอก (Placebo Effect) ก็ต้องให้เครดิตกับ รศ.นพ.อนัน ศรีพนัสกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดตับระดับชั้นนำของประเทศไทย ที่ได้ทำความจริงในเรื่องนี้ให้กระจ่าง โดยทำการตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ผู้ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับจำนวน 226 คน ระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ทั้งก่อนและหลังล้างพิษตับทันที ทำให้ได้ทราบเบาะแสว่าผู้ที่เข้าหลักสูตรส่วนใหญ่ที่มีไขมันพอกตับหรือแทรกตับลดลง เนื้องอกที่ตับเล็กลง นิ่วในถุงน้ำดีลดลง เล็กลง และหายไป เม็ดเลือดขาวแสดงอาการภูมิแพ้ลดลง นิ่วในไตเล็กลง เนื้องอกในมดลูกเล็กลง เม็ดเลือดขาวที่ต่ำกว่าปกติก็กลับมาปกติ เกล็ดเลือดที่ต่ำกว่าปกติก็กลับมาเป็นปกติ ฯลฯ
หลังการล้างพิษตับ บางคนจะอ่อนเพลียมากคล้ายกับการผ่าตัดมา และบางคนเมื่อตรวจค่าเอ็นไซม์ตับจะพบว่าสูงขึ้นก่อนล้างพิษแสดงให้เห็นถึงการบาดเจ็บของตับชั่วคราวหลังการล้างพิษตับ แต่ไม่นานก็มีอาการดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น ซึ่งผลของการจัดหลักสูตรล้างพิษตับของโรงเรียนผู้นำมานานกว่า 4 ปี ภายใต้การดูแลของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มีผู้เข้าหลักสูตรแล้ว 124 รุ่น มีจำนวนคนเข้าหลักสูตรแล้วมากกว่า 23,000 คน ก็เห็นผลชัดว่า ผู้เข้าหลักสูตรไม่ได้มีปัญหาใดๆ และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น โดยการดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวเพียง 1 แก้ว ในคืนสุดท้ายเท่านั้น
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือการ “ดัดแปลง” ที่เน้นการดื่มน้ำมันมะกอกมากๆถึง 7 แก้ว ภายในระยะเวลา 3-4 วัน เพราะเข้าใจว่าจะขับพิษได้มาก ซึ่งตรงนี้ต้องไม่ลืมว่าจะทำให้เกิดการ “ขับน้ำดี”มากไปด้วย
การขับน้ำดีให้ “มากเกินไป” มีปัญหาตรงไหน?
ประการแรก “น้ำดี” มีองค์ประกอบที่สังเคราะห์มาจากคอเลสเตอรอล ที่ตับสร้างขึ้นมา เองถึง 80% ซึ่งคอเลสเตอรอลนั้นเป็นวัตถุดิบอันสำคัญในการถูกนำไปสังเคราะห์สิ่งจำเป็นต่อร่างกาย อันได้แก่ ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านการอักเสบ ฮอร์โมนต้านความเครียด เยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง วิตามินดี ฉนวนหุ้มปลายประสาท ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าถ้าตับทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างน้ำดีแล้วถูกขับทิ้งออกมากเกินไป ร่างกายก็จะต้องพยายามสร้างน้ำดีขึ้นมาทดแทนใหม่ด้วยการดึงคอเลสเตอรอลที่ต้องทำหน้าที่อย่างอื่นมาผลิตน้ำดีเพื่อมาขับทิ้ง ถ้าถูกขับมากไปจนตับล้าก็จะเกิดเหตุได้หลายประการ เช่น สังเคราะห์น้ำดีได้ลดลงเป็นผลทำให้ย่อยไขมันได้ลดลง ท้องอืดง่าย, สังเคราะห์ฮอร์โมนเพศลดลงทำให้ดูแก่เร็วกว่าเดิม, สังเคราะห์ฮอร์โมนคอร์ติโซลลดลงทำให้เกิดผื่นง่าย เครียดง่าย นอนไม่หลับ, สังเคราะห์เยื่อหุ้มเซลล์ และเยื่อหุ้มสมองลดลงทำให้การทำงานของสมองลดลง, เกิดอาการชาตามมือเท้า, สังเคราะห์วิตามินดีทำให้กระดูกอ่อนแอลง และแคลเซียมในเลือดต่ำ, ฯลฯ หรือถ้าหนักกว่านั้นคือ “คอเลสเตอรอล”โดยรวมลดลง ทำให้สิ่งที่จะสังเคราะห์ต่อจากคอเลสเตอรอลทั้งหมดลดลงไปด้วย
ดังนั้นใครที่มีอาการข้างต้นก็ เป็นสัญญาณที่ควรต้องหยุดล้างพิษตับได้แล้ว แต่คนที่ดื่มน้ำมันมะกอกครั้งละ 1 แก้ว จะเริ่มรู้ตัวก่อนว่าล้างพิษตับเกินพอดีแล้ว แต่พวกที่ดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้วกว่าจะรู้ก็อาจจะสายไปแล้ว
แต่ถ้าจะหนักและเลวร้ายไปกว่านั้นถ้าเกิดเข้าใจผิดคิดว่าล้างพิษตับแล้วเกิดอาการดังกล่าวเพราะพิษยังตกค้างเอาออกไม่หมด จึงต้องเร่งล้างพิษตับดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อขับน้ำดีให้มากขึ้นจะได้หายจากอาการดังกล่าว ตรงนั้นแหละที่ยิ่งอันตราย
แต่การลดลงของคอเลสเตอรอลในคนหนุ่มสาวอาจไม่มีปัญหา มากเท่ากับการลดลงของคอเลสเตอรอลในผู้ที่สูงวัย
เพราะ“คอเลสเตอรอล” ในคนหนุ่มสาวจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลเองได้มากอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเท่ากับคนที่สูงวัยเกิน 50 ปีขึ้นไป เพราะจากการสำรวจอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ของ การศึกษาของ ฟรามิงแฮม มลรัฐแมสซาชูเซตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกาในการสำรวจประชากร 5,209 คน พบว่า
“หากอายุมากกว่า 50 ปี คนที่คอเลสเตอรอลต่ำหรือสูงไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต
แต่อย่างไรก็ตามพบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในการ “ลดลง” ของคอเลสเตอรอล โดยเมื่อระดับคอเลสเตอรอลลดลง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร กลับทำให้อัตราการเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 11% และอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 14%”
ความจริงหลังการอดอาหารและล้างพิษตับแล้ว ถ้าตับทำงานดีจริงร่างกายอาจจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอล และ HDL ได้เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ แต่ถ้าดื่มน้ำมันมะกอกมากๆหลายๆแก้ว จนตับล้าและทำงานแย่ลงหลังล้างพิษตับแล้วคอเลสเตอรอลโดยรวม และ HDL อาจจะลดลง (ยกเว้นคนที่ปรับพฤติกรรมหยุดกินเนื้อสัตว์อาจลดลงได้แต่ไม่เกิน 20%)
ประการที่สองการสั้นลงของเทโลเมียร์เกิดขึ้นได้ในกรณีการบาดเจ็บของตับ “ในบางคน” เป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน เพราะแม้เราจะขับน้ำดีออกมากๆเพื่อเอานิ่วในถุงน้ำดี หรือ เพื่อเอาสารพิษที่ละลายในไขมันออก แต่ถ้าเป็นคนป่วยที่ตับมีปัญหาแต่เดิมอยู่แล้ว จะต้องไม่ลืมว่าในบางคนหากตับทำงานหนักด้วยการขับน้ำดีออกมากๆ ด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว อาจเกิดภาวะเซลล์ตับแตกทำให้เอนไซม์ค่าตับสูงขึ้นคล้ายคนมีภาวะตับอักเสบ ถ้าซ่อมตัวเองได้ก็ดีไป แต่ถ้าซ่อมตัวเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นปัญหาทำให้ตับวายได้
สาเหตุหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ “เทโลเมียร์” หรือหางของโครโมโซม ที่จะสั้นลงทุกครั้งที่เซลล์เรามีการแบ่งตัว เมื่อสั้นจนหมดแล้ว เซลล์จะไม่สามารถแบ่งตัวได้หรือซ่อมตัวเองได้อีก (ถ้าหลอดเลือดเสียหายก็อาจจะเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน หรือ เซลล์ตับเสียหายก็จะแบ่งเซลล์เพื่อซ่อมตัวเองไม่ได้) หรือ ปลายรหัสพันธุกรรมอาจรวมตัวกันทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์แปลกปลอมกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ นั่นหมายความว่าสำหรับบางคนที่เซลล์ตับเสียหายเดิมอยู่แล้ว ถ้ายังล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกมากๆไปเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องมีการแบ่งตัวของเซลล์ตับมากขึ้นเพื่อทดแทนส่วนที่เสียหาย และเทโลเมียร์ก็จะสั้นเร็วกว่าปกติได้เช่นกัน
โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ปกติแล้วความยาวของเทโลเมียร์จะสั้นลงมาก และคนที่เป็นมะเร็งตับระยะ 3 -4 แล้วการดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากๆอาจทำให้ตับเสียหายที่ยากจะซ่อมตัวเองได้ (แม้จะมีรายงานว่าคนที่เป็นมะเร็งตับระยะแรกสามารถหายได้โดยการล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกทีละน้อย และใช้เวลา 1 ปี โดยไม่ใช้ยาเคมีใดๆเลย)
ด้วยเหตุผลนี้เอง Andreas Moritz ผู้ทรงอิทธิพลในการเผยแพร่การล้างพิษตับระดับโลก และน่าจะเป็นคนที่ล้างพิษตับมากที่สุดคนหนึ่งในโลก จึงมีอายุขัยเพียง 58 ปีเท่านั้น (ครอบครัวยังคงปิดเป็นความลับในสาเหตุการเสียชีวิตเพื่อขายหนังสือต่อไป) ซึ่งสันนิษฐานว่า Andreas Moritz น่าจะมองข้ามปัจจัยทั้ง 2 ประการดังที่กล่าวมาข้างต้น
เช่นเดียวกับ “หมอปาน” น.ส.จิตรา ปลอดอักษร แพทย์แผนไทย ประจำอยู่โรงเรียนผู้นำ ได้หายป่วยจากโรคตับอักเสบด้วยการล้างพิษตับ และทดลองล้างพิษตับด้วยตัวเองมาเรื่อยเป็นประจำ จนดื่มน้ำมันมะกอกมามากกว่า 100 แก้ว (น่าจะไม่มีใครล้างพิษตับมากเท่านี้อีกแล้ว) กลับพบว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วกลับมีอาการทรุดลง จนเนื้องอกที่ตับขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และต้องหยุดการล้างพิษตับเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และให้ผมแจ้งประชาชนให้ทราบถึงความเสี่ยงจากการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อขับน้ำดีมากเกินไปด้วย
ด้วยเหตุผลนี้การล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกเพียง 1 แก้ว จึงถือว่าปลอดภัยแล้ว เพราะสามารถสำรวจอาการและสุขภาพได้เป็นระยะๆ และเสี่ยงเกินไปที่จะดัดแปลงมุ่งเน้นการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว ที่ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ไม่มีการอ้างอิงจากงานวิจัยหรือมาตรฐานใดๆ
และความสำคัญยิ่งกว่าการล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอก 1 แก้ว และทยอยล้างพิษตับไปเรื่อยๆ จะทำให้เรามีวินัยและควบคุมการกินได้มากขึ้น ต่างจากคนที่ล้างพิษตับในสูตรการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว ที่อาจจะย่ามใจคิดว่าจะไปกินอะไรก็ได้เพราะเดี๋ยวก็มาล้างพิษตับมากๆในคราวเดียวได้ ไม่ได้เป็นการช่วยลดละกิเลสจากการกิน และไม่ได้ส่งเสริมให้คนพึ่งพาตัวเองอย่างแท้จริง และต้องพึ่งพาศูนย์ล้างพิษตับที่จัดให้มีการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว
การล้างพิษตับจึงไม่ใช่ยาอายุวัฒนะ แต่จะมาช่วยฟื้นฟูและแก้ปัญหาบางประการเท่านั้น แต่พฤติกรรมการกินการอยู่ของตัวเราเองต่างหากที่จะเป็นหนทางในการมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงและยั่งยืนกว่า
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
“การล้างพิษตับ” ในประเทศไทยที่ใช้การผสมผสานด้วยการ 1. อดอาหาร 2. ล้างลำไส้ให้สะอาด 3. ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวเพียง 1 แก้ว (น้ำมันมะกอกไม่เกิน 150 ml และน้ำมะนาวไม่เกิน 150 ml) เพื่อล่อและขับน้ำดีและนิ่วในถุงน้ำดีออกจากร่างกาย และ 4. การให้ความรู้เพื่อปรับพฤติกรรมและการบริโภคหลังการล้างพิษตับ
แต่สิ่งที่ดีๆ ถ้า “เกินพอดี” ก็จะกลายเป็นไม่ดี!!! ไม่ว่าจะเป็น การนอน การกิน การออกกำลังกาย ไม่เว้นแม้แต่การล้างพิษตับที่ดื่มน้ำมันมะกอกเกินพอดี
ส่วนหนึ่ง “กุศโลบาย” ของการล้างพิษตับ คือการสร้างความฮือฮาได้เห็นสิ่งที่ขับออกจากร่างกาย โดยเฉพาะการล้างลำไส้ด้วยอาหารที่กลุ่มไฟเบอร์ หรือ การขับน้ำดีออก ซึ่งผู้ที่ได้เห็นก็อาจจะประหลาดใจ หรือตกใจเพราะไม่เคยได้เห็นมาก่อน และทำให้เกิดสติในการปรับพฤติกรรมการกินของตัวเองได้
มายาคติสำหรับบางหลักสูตร คือได้เห็นอาหารไฟเบอร์ที่พองน้ำได้เช่นกลุ่มพวกซิลเลียม(ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของลิดท็อกซ์)เพื่อล้างลำไส้ได้ถูกขับถ่ายออกมาเป็นก้อนวัตถุ ในบางกรณีออกมาเป็นรูปลำไส้ บางกรณีขับถ่ายเป็นก้อนออกมาช้าก็ถูกแปลความให้ไปไกลกว่านั้นว่าเป็นสิ่งที่ขับออกมาจากตับ ทั้งๆที่ความจริงมันก็มาจากสิ่งที่เรากินออกมานั่นเอง
แต่ของจริงคือการล้างลำไส้ให้สะอาดนั้นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่ามายาคติ
ซิลเลียมเป็นไฟเบอร์ที่พองตัวได้เมื่อโดนน้ำ จึงสามารถกวาดล้างสิ่งสกปรกในลำไส้ออกมาได้เมื่อบริโภคเข้าไป เพียงแต่ถ้าไม่ระวังและกินมากเกินไปหรือดื่มน้ำน้อยเกินไป หรือคนที่มีภาวะท้องผูก หรือ ไทรอยด์ต่ำแฝงก็อาจจะติดค้างทางเดินอาหารและหายใจไม่ออกได้
ซึ่งการล้างลำไส้ให้สะอาดนั้นยังมีอีกหลายวิธี เช่น การใช้ยาถ่าย การใช้เอนไซม์ย่อยสลายสิ่งตกค้างในลำไส้ การสวนล้างลำไส้ ฯลฯ แต่การกินยาถ่ายหรือการรับประทานเอนไซม์เพื่อขับถ่ายนั้น หากกินมากไปก็จะเกิดการขับถ่ายมากเกินพอดี อาจการสูญเสียสมดุลเกลือแร่ ขาดจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้เช่นกัน
เช่นเดียวกับการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อเป็นตัวล่อน้ำดีให้ออกมาแล้วขับถ่ายออกนั้น ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ขับถ่ายออกมานั้นย่อมมีน้ำดี (บางส่วนเป็นนิ่วที่ละลายออกมา) ผสมกันออกมากับน้ำมันมะกอก ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเรียกไขมันทุกก้อนได้แน่ชัดว่ามันเป็นไขมันชนิดเดียวกันทั้งหมดที่อยู่ในถุงน้ำดี เพราะท่อน้ำดีเล็กเพียง 0.5 เซนติเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ถ้าจะมีก้อนไขมันออกมาใหญ่เกินกว่านั้นหลายเท่าตัว นอกจากการละลายออกมาแล้วก่อรูปร่างกันใหม่เท่านั้น
แต่สิ่งที่เราได้เห็นคุณประโยชน์เด่นชัด จากการดื่มน้ำมันมะกอก ซึ่งลำพังเพียงการอดอาหารหรือการล้างลำไส้ไม่สามารถจะทำได้ คือ “การลดลงไปของนิ่วในถุงน้ำดี” โดยไม่ต้องมีการผ่าตัด ทั้งนิ่วหายไป (ในบางกรณีหายไปทั้งๆที่มีขนาดใหญ่ถึง 3.5 เซนติเมตร) ทั้งจำนวนลดลง ทั้งขนาดลดลง ก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการขับน้ำดีออกนั่นเอง
อีกส่วนหนึ่งที่ถือว่าน่าทึ่งและปฏิเสธไม่ได้คือการที่ค่าไวรัสตับอักเสบของคนจำนวนมากลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ส่วนอาการภูมิแพ้ลดลง อาการเจ็บป่วยลดลง ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อาการทางสมองและระบบประสาทดีขึ้น ไขมันพอกหรือแทรกตับลดลง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จากงานวิจัยพบว่าสามารถทำได้โดยการอดอาหารเพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องดื่มน้ำมันมะกอกเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่การดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล่อและขับน้ำดีออกเพื่อว่าขับสารพิษนั้น ก็เพราะมีเหตุอ้างได้จากวิจัยในหัวข้อ Factor Affecting the Storage Excretion of Toxic Lipophilic Xenobiotics. โดย Ronal J. Jandeck และ Patrick Tso จากภาควิชาพยาธิวิทยา มหาวิทยาลัยซินซินเนติ มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2554 พบว่า “สารพิษที่ละลายทางไขมันมีเส้นทางปกติในการขับออกคือทางน้ำดี แต่ยังมีหลักฐานว่าสามารถขับออกทางลำไส้เล็กได้ด้วย”
ด้วยเหตุผลดังกล่าวการล้างพิษตับจึงน่าจะมีผลในการขับสารพิษผ่านการขับขับน้ำดี และการล้างลำไส้ให้สะอาดควบคู่กันไป
ความชัดเจนเพื่อป้องกันการอุปทานในการล้างพิษตับ หรือที่เรียกว่า ผลกระทบของยาหลอก (Placebo Effect) ก็ต้องให้เครดิตกับ รศ.นพ.อนัน ศรีพนัสกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดตับระดับชั้นนำของประเทศไทย ที่ได้ทำความจริงในเรื่องนี้ให้กระจ่าง โดยทำการตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์ผู้ที่เข้าหลักสูตรล้างพิษตับจำนวน 226 คน ระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 2556 ทั้งก่อนและหลังล้างพิษตับทันที ทำให้ได้ทราบเบาะแสว่าผู้ที่เข้าหลักสูตรส่วนใหญ่ที่มีไขมันพอกตับหรือแทรกตับลดลง เนื้องอกที่ตับเล็กลง นิ่วในถุงน้ำดีลดลง เล็กลง และหายไป เม็ดเลือดขาวแสดงอาการภูมิแพ้ลดลง นิ่วในไตเล็กลง เนื้องอกในมดลูกเล็กลง เม็ดเลือดขาวที่ต่ำกว่าปกติก็กลับมาปกติ เกล็ดเลือดที่ต่ำกว่าปกติก็กลับมาเป็นปกติ ฯลฯ
หลังการล้างพิษตับ บางคนจะอ่อนเพลียมากคล้ายกับการผ่าตัดมา และบางคนเมื่อตรวจค่าเอ็นไซม์ตับจะพบว่าสูงขึ้นก่อนล้างพิษแสดงให้เห็นถึงการบาดเจ็บของตับชั่วคราวหลังการล้างพิษตับ แต่ไม่นานก็มีอาการดีขึ้น และแข็งแรงขึ้น ซึ่งผลของการจัดหลักสูตรล้างพิษตับของโรงเรียนผู้นำมานานกว่า 4 ปี ภายใต้การดูแลของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มีผู้เข้าหลักสูตรแล้ว 124 รุ่น มีจำนวนคนเข้าหลักสูตรแล้วมากกว่า 23,000 คน ก็เห็นผลชัดว่า ผู้เข้าหลักสูตรไม่ได้มีปัญหาใดๆ และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น โดยการดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวเพียง 1 แก้ว ในคืนสุดท้ายเท่านั้น
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือการ “ดัดแปลง” ที่เน้นการดื่มน้ำมันมะกอกมากๆถึง 7 แก้ว ภายในระยะเวลา 3-4 วัน เพราะเข้าใจว่าจะขับพิษได้มาก ซึ่งตรงนี้ต้องไม่ลืมว่าจะทำให้เกิดการ “ขับน้ำดี”มากไปด้วย
การขับน้ำดีให้ “มากเกินไป” มีปัญหาตรงไหน?
ประการแรก “น้ำดี” มีองค์ประกอบที่สังเคราะห์มาจากคอเลสเตอรอล ที่ตับสร้างขึ้นมา เองถึง 80% ซึ่งคอเลสเตอรอลนั้นเป็นวัตถุดิบอันสำคัญในการถูกนำไปสังเคราะห์สิ่งจำเป็นต่อร่างกาย อันได้แก่ ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนต้านการอักเสบ ฮอร์โมนต้านความเครียด เยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง วิตามินดี ฉนวนหุ้มปลายประสาท ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าถ้าตับทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างน้ำดีแล้วถูกขับทิ้งออกมากเกินไป ร่างกายก็จะต้องพยายามสร้างน้ำดีขึ้นมาทดแทนใหม่ด้วยการดึงคอเลสเตอรอลที่ต้องทำหน้าที่อย่างอื่นมาผลิตน้ำดีเพื่อมาขับทิ้ง ถ้าถูกขับมากไปจนตับล้าก็จะเกิดเหตุได้หลายประการ เช่น สังเคราะห์น้ำดีได้ลดลงเป็นผลทำให้ย่อยไขมันได้ลดลง ท้องอืดง่าย, สังเคราะห์ฮอร์โมนเพศลดลงทำให้ดูแก่เร็วกว่าเดิม, สังเคราะห์ฮอร์โมนคอร์ติโซลลดลงทำให้เกิดผื่นง่าย เครียดง่าย นอนไม่หลับ, สังเคราะห์เยื่อหุ้มเซลล์ และเยื่อหุ้มสมองลดลงทำให้การทำงานของสมองลดลง, เกิดอาการชาตามมือเท้า, สังเคราะห์วิตามินดีทำให้กระดูกอ่อนแอลง และแคลเซียมในเลือดต่ำ, ฯลฯ หรือถ้าหนักกว่านั้นคือ “คอเลสเตอรอล”โดยรวมลดลง ทำให้สิ่งที่จะสังเคราะห์ต่อจากคอเลสเตอรอลทั้งหมดลดลงไปด้วย
ดังนั้นใครที่มีอาการข้างต้นก็ เป็นสัญญาณที่ควรต้องหยุดล้างพิษตับได้แล้ว แต่คนที่ดื่มน้ำมันมะกอกครั้งละ 1 แก้ว จะเริ่มรู้ตัวก่อนว่าล้างพิษตับเกินพอดีแล้ว แต่พวกที่ดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้วกว่าจะรู้ก็อาจจะสายไปแล้ว
แต่ถ้าจะหนักและเลวร้ายไปกว่านั้นถ้าเกิดเข้าใจผิดคิดว่าล้างพิษตับแล้วเกิดอาการดังกล่าวเพราะพิษยังตกค้างเอาออกไม่หมด จึงต้องเร่งล้างพิษตับดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อขับน้ำดีให้มากขึ้นจะได้หายจากอาการดังกล่าว ตรงนั้นแหละที่ยิ่งอันตราย
แต่การลดลงของคอเลสเตอรอลในคนหนุ่มสาวอาจไม่มีปัญหา มากเท่ากับการลดลงของคอเลสเตอรอลในผู้ที่สูงวัย
เพราะ“คอเลสเตอรอล” ในคนหนุ่มสาวจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอลเองได้มากอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเท่ากับคนที่สูงวัยเกิน 50 ปีขึ้นไป เพราะจากการสำรวจอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ของ การศึกษาของ ฟรามิงแฮม มลรัฐแมสซาชูเซตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกาในการสำรวจประชากร 5,209 คน พบว่า
“หากอายุมากกว่า 50 ปี คนที่คอเลสเตอรอลต่ำหรือสูงไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต
แต่อย่างไรก็ตามพบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในการ “ลดลง” ของคอเลสเตอรอล โดยเมื่อระดับคอเลสเตอรอลลดลง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร กลับทำให้อัตราการเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 11% และอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 14%”
ความจริงหลังการอดอาหารและล้างพิษตับแล้ว ถ้าตับทำงานดีจริงร่างกายอาจจะสังเคราะห์คอเลสเตอรอล และ HDL ได้เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ แต่ถ้าดื่มน้ำมันมะกอกมากๆหลายๆแก้ว จนตับล้าและทำงานแย่ลงหลังล้างพิษตับแล้วคอเลสเตอรอลโดยรวม และ HDL อาจจะลดลง (ยกเว้นคนที่ปรับพฤติกรรมหยุดกินเนื้อสัตว์อาจลดลงได้แต่ไม่เกิน 20%)
ประการที่สองการสั้นลงของเทโลเมียร์เกิดขึ้นได้ในกรณีการบาดเจ็บของตับ “ในบางคน” เป็นสิ่งที่ต้องแลกกัน เพราะแม้เราจะขับน้ำดีออกมากๆเพื่อเอานิ่วในถุงน้ำดี หรือ เพื่อเอาสารพิษที่ละลายในไขมันออก แต่ถ้าเป็นคนป่วยที่ตับมีปัญหาแต่เดิมอยู่แล้ว จะต้องไม่ลืมว่าในบางคนหากตับทำงานหนักด้วยการขับน้ำดีออกมากๆ ด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว อาจเกิดภาวะเซลล์ตับแตกทำให้เอนไซม์ค่าตับสูงขึ้นคล้ายคนมีภาวะตับอักเสบ ถ้าซ่อมตัวเองได้ก็ดีไป แต่ถ้าซ่อมตัวเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นปัญหาทำให้ตับวายได้
สาเหตุหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ “เทโลเมียร์” หรือหางของโครโมโซม ที่จะสั้นลงทุกครั้งที่เซลล์เรามีการแบ่งตัว เมื่อสั้นจนหมดแล้ว เซลล์จะไม่สามารถแบ่งตัวได้หรือซ่อมตัวเองได้อีก (ถ้าหลอดเลือดเสียหายก็อาจจะเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน หรือ เซลล์ตับเสียหายก็จะแบ่งเซลล์เพื่อซ่อมตัวเองไม่ได้) หรือ ปลายรหัสพันธุกรรมอาจรวมตัวกันทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์แปลกปลอมกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ นั่นหมายความว่าสำหรับบางคนที่เซลล์ตับเสียหายเดิมอยู่แล้ว ถ้ายังล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกมากๆไปเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องมีการแบ่งตัวของเซลล์ตับมากขึ้นเพื่อทดแทนส่วนที่เสียหาย และเทโลเมียร์ก็จะสั้นเร็วกว่าปกติได้เช่นกัน
โดยเฉพาะคนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ปกติแล้วความยาวของเทโลเมียร์จะสั้นลงมาก และคนที่เป็นมะเร็งตับระยะ 3 -4 แล้วการดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากๆอาจทำให้ตับเสียหายที่ยากจะซ่อมตัวเองได้ (แม้จะมีรายงานว่าคนที่เป็นมะเร็งตับระยะแรกสามารถหายได้โดยการล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกทีละน้อย และใช้เวลา 1 ปี โดยไม่ใช้ยาเคมีใดๆเลย)
ด้วยเหตุผลนี้เอง Andreas Moritz ผู้ทรงอิทธิพลในการเผยแพร่การล้างพิษตับระดับโลก และน่าจะเป็นคนที่ล้างพิษตับมากที่สุดคนหนึ่งในโลก จึงมีอายุขัยเพียง 58 ปีเท่านั้น (ครอบครัวยังคงปิดเป็นความลับในสาเหตุการเสียชีวิตเพื่อขายหนังสือต่อไป) ซึ่งสันนิษฐานว่า Andreas Moritz น่าจะมองข้ามปัจจัยทั้ง 2 ประการดังที่กล่าวมาข้างต้น
เช่นเดียวกับ “หมอปาน” น.ส.จิตรา ปลอดอักษร แพทย์แผนไทย ประจำอยู่โรงเรียนผู้นำ ได้หายป่วยจากโรคตับอักเสบด้วยการล้างพิษตับ และทดลองล้างพิษตับด้วยตัวเองมาเรื่อยเป็นประจำ จนดื่มน้ำมันมะกอกมามากกว่า 100 แก้ว (น่าจะไม่มีใครล้างพิษตับมากเท่านี้อีกแล้ว) กลับพบว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วกลับมีอาการทรุดลง จนเนื้องอกที่ตับขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และต้องหยุดการล้างพิษตับเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และให้ผมแจ้งประชาชนให้ทราบถึงความเสี่ยงจากการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อขับน้ำดีมากเกินไปด้วย
ด้วยเหตุผลนี้การล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกเพียง 1 แก้ว จึงถือว่าปลอดภัยแล้ว เพราะสามารถสำรวจอาการและสุขภาพได้เป็นระยะๆ และเสี่ยงเกินไปที่จะดัดแปลงมุ่งเน้นการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว ที่ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ไม่มีการอ้างอิงจากงานวิจัยหรือมาตรฐานใดๆ
และความสำคัญยิ่งกว่าการล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอก 1 แก้ว และทยอยล้างพิษตับไปเรื่อยๆ จะทำให้เรามีวินัยและควบคุมการกินได้มากขึ้น ต่างจากคนที่ล้างพิษตับในสูตรการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว ที่อาจจะย่ามใจคิดว่าจะไปกินอะไรก็ได้เพราะเดี๋ยวก็มาล้างพิษตับมากๆในคราวเดียวได้ ไม่ได้เป็นการช่วยลดละกิเลสจากการกิน และไม่ได้ส่งเสริมให้คนพึ่งพาตัวเองอย่างแท้จริง และต้องพึ่งพาศูนย์ล้างพิษตับที่จัดให้มีการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว
การล้างพิษตับจึงไม่ใช่ยาอายุวัฒนะ แต่จะมาช่วยฟื้นฟูและแก้ปัญหาบางประการเท่านั้น แต่พฤติกรรมการกินการอยู่ของตัวเราเองต่างหากที่จะเป็นหนทางในการมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงและยั่งยืนกว่า