ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ความสำคัญในการล้างพิษตับ มีองค์ประกอบ 4 ส่วนสำคัญคือ 1.การอดอาหารและดื่มแต่น้ำผลไม้และสมุนไพรที่กำหนด 2. การล้างลำไส้ให้สะอาด (ผ่านยาถ่ายหรือดีเกลือ) 3. การดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวเพียง 1 แก้ว (รวมไม่เกิน 300 ml) เพื่อขับน้ำดีออก 4. การให้ข้อมูลเพื่อปรับพฤติกรรมหลังล้างพิษตับ
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าราชการกรมพัฒนาแพทย์และแพทย์ทางเลือก ได้ทดลองล้างพิษตับแล้วดูผลตรวจเลือดก่อนและหลังล้างพิษ พร้อมอัลตร้าซาวด์ พบนิ่วในถุงน้ำดีบางคนเล็กลงจริง และกำลังอยู่ระหว่างการร่างมาตรฐานและข้อควรระวังการล้างพิษตับทั้งหมด แสดงว่าการล้างพิษตับกำลังถูกยกระดับให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของกระทรวงสาธารณสุขมากขึ้น
แต่ที่ผมเสียดาย เพราะในระหว่างการทำมาตรฐานการล้างพิษตับ ก็กลับมีการพัฒนาสูตรกันไปหลากหลาย จนถึงขั้นการล้างพิษตับในหลายแห่งช่วงหลังของเครืออโศก กลับไปเห่อตามการเน้นการดื่มน้ำมันมะกอกมากๆ 4-9 แก้ว (ภายในระยะเวลา 3-4 วัน) ซึ่งผมและพลตรีจำลอง ศรีเมือง ไม่เห็นด้วยและแสดงออกและพูดหลายครั้งผ่านสื่อสาธารณะว่าการทำดังกล่าว "มีความเสี่ยงและอันตราย" แต่ศูนย์ล้างพิษตับบางแห่งก็ไม่ฟัง
ความจริงความแตกต่างและการพัฒนาดังกล่าวข้างต้น กลายมาเป็นความขัดแย้งในเรื่องนี้ได้ขยายตัวไปในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ภายในชาวอโศกด้วยกัน หรือศูนย์ล้างพิษตับของอโศก กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองเท่านั้น แม้กระทั่งภายใน ASTV ก็เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
ผมขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า โรงเรียนผู้นำได้จัดหลักสูตรล้างพิษตับ ภายใต้การควบคุมดูแลโดย พลตรีจำลอง ศรีเมือง มานานกว่า 4 ปี มีผู้เข้าหลักสูตรแล้ว 124 รุ่น จำนวนกว่า 23,000 คนแล้ว ไม่เคยมีปัญหาใดๆ เพราะมีการคัดกรอง และดูอาการทุกระยะอย่างใกล้ชิด และคนที่เข้าหลักสูตรต่างก็มีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างปลอดภัยแม้จะดื่มน้ำมันมะกอกเพียงแก้วเดียว ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยผลการตรวจวัดในระบบแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเฉพาะโรคไวรัสตับอักเสบบีที่ลดจำนวนไปเป็นจำนวนมาก
ส่วนผมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบรรยายการล้างพิษตับสำหรับคนเมืองของ ASTV โดยรับจำกัดคนครั้งละไม่เกิน 50 คนต่อหลักสูตร โดยเน้นเนื้อหาการให้ความรู้คนเป็นหลัก และไปเตรียมตัวเองที่บ้าน ยกเว้นคืนสุดท้ายในการดื่มน้ำมันมะกอก 1 แก้ว ให้มาพักค้างหนึ่งคืน เพื่อหวังให้ประชาชนได้เรียนรู้เพื่อกลับไปล้างพิษตับเองที่บ้านได้ พึ่งพาตัวเองได้ ไม่ใช่พึ่งพาศูนย์ล้างพิษตับ
พลตรีจำลอง ศรีเมือง และผม ได้ยึดถือหลักการสำคัญ "First, do no harm" คือ "ความไม่อันตรายต้องมาก่อน" เพราะถือว่ายังยึดแนวทางและอ้างอิงการจัดการล้างพิษตับในต่างประเทศที่เคยมีการจัดมาแล้ว และมีรายงานว่าได้ผลดีต่อสุขภาพ "โดยไม่เป็นอันตราย" และไม่ใช่การรักษาโรค แต่เป็นการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจตลอดจนให้ความรู้เพื่อไปปรับพฤติกรรมการกินการอยู่เป็นสำคัญ
เปรียบเสมือนการขับรถบนถนนเส้นทางที่มีคนต่างชาติเคยใช้แล้ว ปลอดภัย และไม่อันตราย เราจึงขับรถในอัตราความเร็วเท่ากับเขา แม้จะมีบูรณาการด้านสุขภาพอีกหลายอย่างเข้ามาผนวกด้วยกันก็ยังปลอดภัยและไม่เป็นอันตราย
แต่การล้างพิษตับดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากหลายๆแก้วนั้นเพิ่งจะมีการ "ทดลอง"ทำที่ประเทศไทยครั้งแรกในโลก ไม่มีการอ้างอิง ยังไม่มีใครรู้จริงถึงผลดีและผลร้าย แต่เหนือสิ่งอื่นใด...เป็นเส้นทางที่เสี่ยงโดยใช้มนุษย์ทดลอง
และที่แน่ๆคือไม่มีใครรู้ว่าทำไปเรื่อยๆแบบนี้แล้วผลระยะยาวจะเป็นอย่างไร !?
เปรียบเสมือนการขับรถบนถนนที่มีคนเคยใช้เส้นทางแล้ว ปลอดภัย และไม่อันตราย แต่เราคิดว่าเก่งกว่าจึงขับรถในอัตราความเร็วกว่าเขา 4-7 เท่าตัว ทำให้บางคนก็อาจจะถึงเป้าหมายเร็วขึ้น แต่จะมีบางคนหลุดโค้งได้รับบาดเจ็บ และบางคนเบรคไม่ทันตกเหวและเสียชีวิต บางคนเครื่องยนต์ไหม้ระหว่างทางก็มี ฯลฯ
เพราะสภาพของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงไม่ใช่ว่าทุกคนจะล้างพิษตับได้เหมือนๆกัน
แม้จะมีรายงานว่าคนบางกลุ่มได้รับผลดีต่อสุขภาพด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกมากๆเช่นกัน (และในบางกรณีรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้นกว่าการดื่มน้ำมันมะกอกแก้วเดียว) แต่กลับพบรายงานผลข้างเคียงที่อันตราย "รุนแรงและเรื้อรัง" ที่ไม่พบในหลักสูตรการดื่มน้ำมันมะกอกเพียงแก้วเดียว ซึ่งผมได้เคยรายงานออกอากาศและเขียนบทความไปแล้วว่า บางรายจากคนแข็งแรงเป็นนักวิ่งมารธอน บางคนเป็นนักกีฬา กลับกลายมาป่วยจนเดินปกติยังไม่ได้ บางคนสะเก็ดเงินลุกลามมากขึ้น ผื่นขึ้นน้ำเหลืองไหล บางรายท้องผูก บางรายท้องอืดรุนแรง บางรายย่อยอาหารไม่ได้ ฯลฯ แต่หลายแห่งรู้แล้วก็ยังไม่ระวังและยังเดินหน้าให้ดื่มน้ำมันมะกอกมากๆต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น ผมได้เคยทราบมาด้วยตัวเองถึงผู้ป่วยรายหนึ่งที่ไปล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอก 4 แก้วในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ แล้วมีอาการทรุดลงทันที หลังล้างพิษตับจนต้องเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตลงในเวลา 2-3 สัปดาห์ ในขณะที่ผู้ป่วยอีกรายหนึ่งมีอาการทรุดลงในหลักสูตรล้างพิษตับที่เน้นการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว ก็ต้องนำส่งโรงพยาบาลแล้วมาเสียชีวิตด้วยเหตุปอดติดเชื้อในที่สุด ทั้งๆที่ลักษณะอาการที่เสียชีวิตเหล่านั้นตรงกับภาวะ "ตับวายเฉียบพลัน"
ผมเห็นว่าการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล่อน้ำดีแล้วขับน้ำดีทิ้งให้มากๆ (ไม่ใช่เพื่อเป็นอาหาร) ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่ขับถ่ายออกมานั้นเป็นพิษทั้งหมด หรือคิดว่ามันเป็นนิ่วก้อนเดียวกันกับในถุงน้ำดี ซึ่งผมก็ย้ำหลายครั้งตั้งแต่แรกๆแล้วว่า ความจริงในนั้นเป็นก้อนไขมันมีทั้งองค์ประกอบของน้ำดีและน้ำมันมะกอกปนอยู่ด้วย และไม่จำเป็นต้องเป็นก้อนเดียวกันกับที่อยู่ในถุงน้ำดี เพราะความจริงอาจมีการละลายก้อนนิ่วไขมันจากถุงน้ำดีแล้วมาก่อรูปร่างกันใหม่ร่วมกับน้ำดี และน้ำมันมะกอกระหว่างการกลิ้งตัวในลำไส้ได้ หรืออาจะไม่รวมตัวกันเป็นก้อนก็ได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและองค์ประกอบของก้อนไขมันนั้น หรือนิ่วก้อนเดียวกันในถุงน้ำดีอาจจะเล็กลงและหลุดออกมาบางส่วนด้วยก็ได้
เพียงแต่จากงานวิจัยพบว่าสารพิษ (เช่น กลุ่มยาฆ่าแมลงบางชนิด รวมถึงสารพิษจากอุตสาหกรรมบางชนิด )ที่ละลายในไขมันจะสามารถขับออกมาได้ผ่านทางน้ำดี และทางอุจจาระ ก็น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างในมิติของการขับสารพิษเหล่านี้ แต่นั่นก็เป็นงานวิจัยในสัตว์ทดลองเท่านั้น แต่จะใช้ได้ในคนหรือเปล่าและมากน้อยแค่ไหนต้องพิสูจน์และตรวจสอบในโอกาสต่อๆไป
และต้องไม่ลืมว่าถ้าสมมุติว่าขับสารพิษที่ละลายในไขมันได้นั้น ก็ต้องออกมาพร้อมกับ "น้ำดี" ที่เราต้องขับถ่ายออกมาด้วย ซึ่งการขับถ่าย "น้ำดี" ออก "มากเกินไป"จากการดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อขับน้ำดีทิ้งออกมากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดผลร้ายได้ด้วย เพราะเราอาจต้องใช้คอเลสเตอรอมาผลิตน้ำดีจำนวนมาก จนทำให้ "ตับล้า" และไม่สามารถสังเคราะห์อย่างอื่นได้ตามความต้องการ เช่น การสังเคราะห์ฮอร์โมนอันจำเป็นได้น้อยลง การสังเคราะห์คอเลสเตอรอลและเอชดีแอลลดลง การสังเคราะห์น้ำดีลดลง ระบบการย่อยลดลง ภูมิต้านทานตกลง ฯลฯ และอาจทำให้เสียชีวิตง่ายขึ้น าโดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป (ตามการศึกษา Framingham Study เกี่ยวความสัมพันธ์ในเรื่องระดับคอเลสเตอรอลที่ลดลงกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของผู้อายุเกิน 50 ปีเพิ่มมากขึ้น)
แต่ประโยชน์จากการล้างพิษตับในการอดอาหารและการทำให้ลำไส้สะอาดก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้ในหลายมิติโดยไม่ต้องดื่มน้ำมันมะกอกเสียด้วยซ้ำไป และประโยชน์สูงสุดจากการล้างพิษตับที่ควรจะตระหนักเสียยิ่งกว่าคือการปรับพฤติกรรมหลังล้างพิษตับ ตรงนั้นต่างหากที่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
รศ.นพ.อนัน ศรีพนัสกุล ได้เคยตรวจเลือดและอัลตร้าซาวด์จำนวน 226 คน ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม 2556 ทั้งก่อนและหลังล้างพิษตับทันที ในหลักสูตรปกติที่ดื่มน้ำมันมะกอกเพียงแก้วเดียว พบเรื่องที่ทำให้ได้เบาะแสจากการล้างพิษตับว่า ทำให้ไขมันพอกตับลดลง ทำให้นิ่วในถุงน้ำดีลดลง เล็กลง และหายไป ทำให้การเกิดภูมิแพ้ลดลง ทำให้เนื้องอกมี่ตับเล็กลง นิ่วในไตเล็กลง เนื้องอกในมดลูกเล็กลง เม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil ที่สูงเกินไปส่วนใหญ่ก็กลับมาลดลง เม็ดเลือดขาวที่ต่ำกว่าปกติส่วนใหญ่ก็กลับมาเป็นปกติ เกล็ดเลือดที่ต่ำกว่าปกติก็กลับมาเป็นปกติ ฯลฯ
หลายคนตื่นเต้นกับดัชนีชี้วัดหลายอย่างที่ดีขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการอดอาหาร เช่น การลดน้ำหนักได้แท้จริงแล้วก็มาจากการอดอาหารและขับถ่ายมากๆ, การที่ไขมันพอกตับและแทรกตับก็สามารถลดลงได้ด้วยการใช้ไกลโคเจนที่สะสมในตับมาใช้ในระหว่างการอดอาหาร ไม่ได้แปลว่าจะเป็นเพราะเราดื่มน้ำมันมะกอกมากๆ ยกเว้นการทำให้นิ่วในถุงน้ำดีลดลง เล็กลง และหายไปนั้นอาจจะมีส่วนที่มาพร้อมกับการดื่มน้ำผลไม้และการขับน้ำดีที่ถูกล่อด้วยน้ำมันมะกอกที่ผสมน้ำมะนาว
การดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล่อน้ำดีนั้น ต้องเข้าใจว่าน้ำดีผลิตมาจากตับ และอีกส่วนออกมาจากถุงน้ำดี การหลั่งน้ำดีเพื่อขับออกมากๆนั้น จึงย่อมส่งผลต่อตับและถุงน้ำดีในทางใดทางหนึ่ง
ผมเคยได้รับรายงานผลการตรวจว่าสำหรับ "บางคน" (ไม่ใช่ทุกคน) ที่ล้างพิษตับเสร็จใหม่ๆด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกเพียงแก้วเดียวว่า มีค่าเอนไซม์ที่ตับที่เรียกว่า AST หรือ Aspartate aminotransferase จะสูงขึ้น หรืออาจสูงขึ้นเกินกว่ามาตรฐานเล็กน้อยหลังจากนั้นไม่กี่วันก็กลับมาเป็นปกติ และสุขภาพโดยรวมดีขึ้น หายเจ็บป่วยจากหลายอาการ แต่ไม่เคยพบทำให้เกิดภาวะตับวายหรือเสียชีวิตจากการดื่มน้ำมันมะกอกเพียงแก้วเดียว
ปกติแล้วเมื่อเซลล์ได้รับบาดเจ็บผ่านไปแล้ว 8 ชั่วโมง ค่า AST จะเริ่มสูงขึ้น โดยผลของเซลล์ที่ได้รับอันตรายให้ต้องบาดเจ็บ เมื่อระยะเวลาผ่านไปประมาณ 8 ชั่วโมง และขึ้นสูงสุดภายใน 24-36 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าการขับน้ำดีออกด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกเพียง 1 แก้ว (150 มิลลิลิตร) สำหรับ "บางคน"อาจทำให้สภาพตับได้รับบาดเจ็บชั่วคราวได้ แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ
จนกระทั่งได้ทราบว่ามีชาวอโศกผู้เสียชีวิต 2 ราย รายแรกได้ผ่านการล้างพิษตับครั้งละ 4 แก้วภายใน 3 วัน และทำซ้ำอย่างนี้อีกหลังจากนั้นอีก 1 เดือน หลังล้างพิษตับแล้วมีอาการแย่ลง เมื่อตรวจค่า AST หรือ Aspartate aminotransferase สูงมากเกินค่ามาตรฐานไปเป็น 10 เท่าตัว ตัวเหลือง ตาเหลือง คอเลสเตอรอลต่ำ เอชดีแอลต่ำ โซเดียมต่ำ โปแตสเซียมต่ำ ภูมิต้านทานตก ปอดติดเชื้อ และเสียชีวิตหลังเกิดอาการประมาณ 1 สัปดาห์ ผมได้สอบถามอาการตามรายงานผลการตรวจข้างต้นให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดตับชั้นนำระดับประเทศ รวมถึงผมได้ค้นคว้าวารสารทางการแพทย์หลายชิ้น พบว่าเป็นอาการและอาการแทรกซ้อนจาก "ภาวะตับวายเฉียบพลัน" และค่าเอนไซม์ AST ที่สูงขึ้นก็มาจากการที่เซลล์ตับแตกจำนวนมากจนทำให้ปรากฏเอนไซม์ชนิดนี้ในระดับสูง
ตรงกับอาการที่ผมได้ทราบข้อมูลมาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาว่า ผู้ป่วยมะเร็งตับรายหนึ่งเข้าหลักสูตรล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้วเพื่อขับน้ำดีมากๆ แล้วเกิดอาการเหนื่อยหอบหนักมากขึ้น ตาเหลืองตัวเหลืองมากขึ้น หลังเกิดอาการทรุดลง หายใจลำบากมากขึ้น จึงต้องส่งโรงพยาบาลแล้วพบว่าเกิดอาการปอดบวมอักเสบ หลังจากนั้นจึงเสียชีวิตในคืนเดียวกัน
เพราะฉะนั้นอาการสมองบวมก็ดี การสูญเสียเกลือแร่ก็ดี การที่ปอดติดเชื้อก็ดี มีโอกาสที่จะอ้างไปว่าการเสียชีวิตเกิดจากสาเหตุอื่น ทั้งๆที่อาจจะมาจากภาวะแทรกซ้อนของภาวะตับวายเฉียบพลันก็ได้ ในขณะเดียวกันอาการที่เกิดขึ้นจนถึงเสียชีวิตอาจไม่เกิดขึ้นในหลักสูตรแต่จะมีอาการทรุดลงจนถึงเสียชีวิตทันที แต่ใช้เวลา 1-10 สัปดาห์ ทำให้หลายคนไม่สามารถจะรู้ได้ว่า "ภาวะตับวายเฉียบพลัน" เกิดขึ้นได้ในการล้างพิษตับที่มากเกินไปหรือไม่? เพราะคนป่วยเหล่านี้ไม่ได้เสียชีวิตในระหว่างหลักสูตร เพื่อความปลอดภัยและไม่เสี่ยงโดยไม่จำเป็น ควรจะดื่มน้ำมันมะกอกไม่เกินหนึ่งแก้ว ไม่ดีกว่าหรือ
ส่วนอีกรายหนึ่งที่เป็นชาวอโศก ก็เสียชีวิตหลังจากตรวจชี้นเนื้อแล้วว่าเป็นมะเร็งที่ตับ การดื่มน้ำมันมะกอกมากถึง 7 แก้ว (รวมประมาณ 1 ลิตรกว่า) ภายใน 3-4 วันแล้วอาการกลับทรุดลงและเสียชีวิตในที่สุดหลังจากล้างพิษตับไปประมาณ 1 เดือน ตรงกับที่ผมได้พบผู้ป่วยมะเร็งตับรายหนึ่งที่ไปล้างพิษตับในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ 4 แก้วภายใน 3 วัน หลังจากนั้นจบหลักสูตรแล้วอาการรทรุดลงทันที ต่อมามีการส่งตัวเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตเช่นกัน และผมก็ได้เห็นเหมือนกับสิ่งที่ชาวอโศกผู้เสียชีวิตรายนี้เป็นคือ ผ่านไป 1 เดือนแล้วก้อนสีเขียวและน้ำสีเขียวที่มักพบจากการล้างพิษตับยังตกค้างและออกไม่หมด
การล้างพิษตับด้วยการดื่มน้ำมันมะกอกหลายๆแก้ว จะต้องมาพร้อมกับการขับถ่ายมากๆเป็นพิเศษ จึงต้องดื่มดีเกลือ ไฟเบอร์ หรือยาถ่ายมากกว่าปกติ ดังนั้นในบางคนจึงเกิดภาวะขาดสมดุลเกลือแร่ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้อเกร็ง เป็นตะคริว และมือเท้าชา ภูมิต้านทางโดยรวมลดลง ฯลฯ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ต้องระวังก็คือกลุ่มผู้ที่เป็นมังสวิรัติที่มีสารอาหารและเกลือแร่อยู่ในระดับต่ำอาจจะสุขภาพแย่ลงได้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงขั้นต้องมีการปิดศูนย์ล้างพิษตับทั้งหมดของสันติอโศก ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับวงการล้างพิษตับทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะคนทั่วไปก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเกิดจากการดื่มน้ำมันมะกอกมากไปหลายๆ แก้ว หรือความปลอดภัยแตกต่างกันอย่างไรกับหลักสูตรปกติที่ดื่มน้ำมันมะกอกเพียงแก้วเดียว จึงทำให้ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน เภสัชกร กลุ่มทุนยา และนักวิทยาศาสตร์บางคนที่อคติกับการล้างพิษตับมานาน ฉวยโอกาสในการถล่มโจมตีขย้ำเพื่อหวังทำลายการล้างพิษตับทั้งขบวนการอย่างเมามัน อย่างที่คาดการณ์เอาไว้
แต่ผมก็เห็นด้วยกับพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ทุกประการ ที่ได้ตัดสินใจปิดศูนย์ล้างพิษตับทั้งหมดไปก่อน (เพราะตอนนี้ทุกที่ต่างเน้นการดื่มน้ำมันมะกอก 4-7 แก้ว) แม้ศูนย์ล้างพิษตับที่มีการคัดกรองสูง ได้มาตรฐานและมีความระมัดระวังสูงของโรงเรียนผู้นำ หรือ หลักสูตรล้างพิษตับของ ASTV ฯลฯ ที่ระมัดระวังอย่างเต็มที่โดยดื่มน้ำมันมะกอกเพียงแก้วเดียว และไม่เคยเกิดเหตุร้ายใดๆจะยังเปิดให้บริการอยู่ แต่ก็ย่อมได้รับผลกระทบจากกระแสโจมตีนี้ไปด้วย แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ความเสี่ยงอันตรายให้ไปไกลกว่านี้จนไม่สามารถควบคุมได้ และการป้องกันเอาไว้ก่อนย่อมดีกว่ามาแก้ทีหลัง
ส่วนผมและลุงจำลอง ศรีเมืองที่ได้จัดหลักสูตรล้างพิษตับ ก็เพื่อหวังให้คนมีสุขภาพที่ดี และไม่ได้เน้นการทำธุรกิจเพื่อประโยชน์ส่วนตน ตั้งใจมาทำบุญ ไม่ได้มาทำบาป ดังนั้นถ้ามีกระแสเกิดความหวาดกลัวจนคนไม่มาล้างพิษตับแล้ว ถึงแม้จะต้องปิดศูนย์ล้างพิษตับของโรงเรียนผู้นำ หรือ หลักสูตรล้างพิษตับสำหรับคนเมืองของ ASTV ก็ไม่เป็นไร
เพราะความสำคัญที่ยิ่งกว่าคือ "ความปลอดภัย"