**คดี “เขาพระวิหาร”ในวันศุกร์นี้ 4 ก.ย. จะได้รู้กันแล้วว่า นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ที่เป็น มือกฎหมายคู่ใจ ทักษิณ ชินวัตร จะมีชะตากรรมอย่างไร ในคดีที่ นพดล ตกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ มาร่วมสองปี
โดยคดีเขาพระวิหาร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพดล ในฐานะอดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
เหตุของคดีก็เป็นเพราะสมัยนพดล เป็นรมว.ต่างประเทศ ได้ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย.51 โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งป.ป.ช.เห็นว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เป็นการสนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ข้อกล่าวหาที่ตั้งไว้ตอนไต่สวนคดีมีมูลความผิดจริง จึงส่งเรื่องให้ดำเนินการถอดถอน และดำเนินคดีอาญา
**ประเด็นสำคัญที่นำมาสู่การเอาผิดนายนพดล ก็คือ เป็นเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เข้าข่ายเป็นหนังสือสนธิสัญญา ที่จะต้องนำเข้าขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวขออนุมัติต่อรัฐสภา ทำให้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยก่อนจะยื่นฟ้องต่อศาล มีข่าวว่าคดีนี้ ป.ป.ช. มีการอภิปรายกันอย่างหนัก จนสุดท้าย มติป.ป.ช.ออกมาให้ชี้มูลความผิดด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 เมื่อ 29 ก.ย. 52
ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นรัฐมนตรี 26 คนในครม.สมัคร สุนทรเวช และข้าราชการประจำกระทรวงต่างประเทศ และสภาความมั่นคง อีก 6 คน ที่เข้าร่วมประชุมครม.ด้วยนั้น ป.ป.ช. เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหานี้ไม่มีเจตนากระทำความผิดเพราะมารู้ข้อมูลในวันที่ประชุมเท่านั้น จึงถือว่าไม่มีความผิด
โดยช่วงนั้น หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลดังกล่าว ตัวนายนพดล ปัทมะ ได้เปิดแถลงข่าวพร้อมแจกแถลงการณ์ถึงมติของป.ป.ช. ที่พรรคเพื่อไทยในวันรุ่งขึ้น หลังป.ป.ช. มีมติ คือ 30 ก.ย. 52 โดยยืนยันว่า ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ได้ปกป้องแผ่นดินไทย และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นผลสำเร็จ แต่ได้รับสิ่งนี้ตอบแทนในการทำงานเพื่อชาติ ซึ่งจะเป็นตำนานของการทำคุณบูชาโทษไปอีกนาน การชี้มูลความผิดว่าเหมือนจะจงใจเอาผิดกับตัวเอง ทั้งที่ระเบียบกำหนดว่า เมื่อมีมติครม.ทั้งหมดต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ในส่วนของสำนวนการถอดถอนที่ไปเร็วกว่าคดีอาญาหลายปี ก็ปรากฏว่า มติของวุฒิสภา ชุดที่แล้ว เมื่อ 12 มี.ค.53 ไม่ได้ถอดถอนนายนพดล ออกจากตำแหน่งฯ เพราะคะแนนเสียงถอดถอนไม่ถึง
ขณะที่คดีอาญา คดีดำเนินไปอย่างล่าช้า ยื้อกันอยู่นาน ระหว่างอัยการกับป.ป.ช. จนคดีล่าช้าหลายปี สุดท้ายในปี 2556 หลังมีการตั้งคณะทำงานร่วมป.ป.ช.กับ อัยการ แต่ไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการฟ้องคดีได้ ทำให้ป.ป.ช. ต้องดึงสำนวนมาฟ้องเอง และเมื่อมีการยื่นฟ้องแล้ว ต่อมาศาลฎีกาฯ ก็ได้รับฟ้องคดีไว้ เมื่อ 26 เม.ย.56 และมีการนัดพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลยไปเมื่อ 5 ก.ค.56
**เท่ากับว่า นับจากศาลเริ่มกระบวนการไต่สวนคดีมาจนถึงวันที่ศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษา รวมเวลาทั้งสิ้นก็ประมาณ 2 ปี กว่านั่นเอง
ก่อนหน้านี้ นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความของ ป.ป.ช.ในคดีนี้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงคดีนี้ไว้ว่า ทางฝ่าย ป.ป.ช. นำพยานเข้าไต่สวนกว่า 10 ปาก โดยมีทั้งพยานกลุ่มข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งพยานปากสำคัญที่ไต่สวนเป็นปากแรก คือ นายวีรชัย พลาศรัย ที่ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เมื่อปี 2551 ได้บอกเล่าความเป็นมาเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทเขาพระวิหาร และการดำเนินการต่างๆ ซึ่งนายวีรชัยได้เข้าไปเกี่ยวข้องและรับรู้ตั้งแต่ในช่วงแรก และพยานในกลุ่มของนักวิชาการ ที่ได้ติดตามปัญหาข้อพิพาทเขาพระวิหาร
โดย ป.ป.ช.ได้พยายามนำสืบให้ศาลเห็นว่า การกระทำของนายนพดล ที่เสนอแถลงการณ์ไทย-กัมพูชานั้น มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาจดทะเบียนขึ้นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ยังมีปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนโดยรอบเขาพระวิหาร ซึ่งเคยมีการเสนอให้ ไทย-กัมพูชาร่วมกันบริหารจัดการนั้น เป็นการกระทำโดยชอบหรือไม่ ขณะที่การเสนอประเด็นข้อพิพาทเขาพระวิหารที่สุ่มเสี่ยงกับเขตแดนนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เคยมีคำวินิจฉัยว่า ต้องเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบ ขณะที่การต่อสู้คดีของฝ่าย นายนพดล ก็นำพยานเข้าสืบกว่า 10 ปาก
**เป็นอันว่า ศุกร์นี้ บ่ายๆจะได้รู้กันว่า ผลคำพิพากษาของศาลฎีกาฯจะออกมาอย่างไร แต่ที่ต้องลุ้นกันก่อนก็คือ ต้องดูว่านายนพดล จะไปปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯตามนัดหมายของศาลหรือไม่ คดีนี้จะออกมาแบบไหน ศุกร์นี้ คอยติดตามกัน
โดยคดีเขาพระวิหาร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นพดล ในฐานะอดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
เหตุของคดีก็เป็นเพราะสมัยนพดล เป็นรมว.ต่างประเทศ ได้ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย.51 โดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งป.ป.ช.เห็นว่า แถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เป็นการสนับสนุนให้ประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ข้อกล่าวหาที่ตั้งไว้ตอนไต่สวนคดีมีมูลความผิดจริง จึงส่งเรื่องให้ดำเนินการถอดถอน และดำเนินคดีอาญา
**ประเด็นสำคัญที่นำมาสู่การเอาผิดนายนพดล ก็คือ เป็นเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เข้าข่ายเป็นหนังสือสนธิสัญญา ที่จะต้องนำเข้าขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ได้นำเรื่องดังกล่าวขออนุมัติต่อรัฐสภา ทำให้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยก่อนจะยื่นฟ้องต่อศาล มีข่าวว่าคดีนี้ ป.ป.ช. มีการอภิปรายกันอย่างหนัก จนสุดท้าย มติป.ป.ช.ออกมาให้ชี้มูลความผิดด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 เมื่อ 29 ก.ย. 52
ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นรัฐมนตรี 26 คนในครม.สมัคร สุนทรเวช และข้าราชการประจำกระทรวงต่างประเทศ และสภาความมั่นคง อีก 6 คน ที่เข้าร่วมประชุมครม.ด้วยนั้น ป.ป.ช. เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหานี้ไม่มีเจตนากระทำความผิดเพราะมารู้ข้อมูลในวันที่ประชุมเท่านั้น จึงถือว่าไม่มีความผิด
โดยช่วงนั้น หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลดังกล่าว ตัวนายนพดล ปัทมะ ได้เปิดแถลงข่าวพร้อมแจกแถลงการณ์ถึงมติของป.ป.ช. ที่พรรคเพื่อไทยในวันรุ่งขึ้น หลังป.ป.ช. มีมติ คือ 30 ก.ย. 52 โดยยืนยันว่า ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ได้ปกป้องแผ่นดินไทย และพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นผลสำเร็จ แต่ได้รับสิ่งนี้ตอบแทนในการทำงานเพื่อชาติ ซึ่งจะเป็นตำนานของการทำคุณบูชาโทษไปอีกนาน การชี้มูลความผิดว่าเหมือนจะจงใจเอาผิดกับตัวเอง ทั้งที่ระเบียบกำหนดว่า เมื่อมีมติครม.ทั้งหมดต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ในส่วนของสำนวนการถอดถอนที่ไปเร็วกว่าคดีอาญาหลายปี ก็ปรากฏว่า มติของวุฒิสภา ชุดที่แล้ว เมื่อ 12 มี.ค.53 ไม่ได้ถอดถอนนายนพดล ออกจากตำแหน่งฯ เพราะคะแนนเสียงถอดถอนไม่ถึง
ขณะที่คดีอาญา คดีดำเนินไปอย่างล่าช้า ยื้อกันอยู่นาน ระหว่างอัยการกับป.ป.ช. จนคดีล่าช้าหลายปี สุดท้ายในปี 2556 หลังมีการตั้งคณะทำงานร่วมป.ป.ช.กับ อัยการ แต่ไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการฟ้องคดีได้ ทำให้ป.ป.ช. ต้องดึงสำนวนมาฟ้องเอง และเมื่อมีการยื่นฟ้องแล้ว ต่อมาศาลฎีกาฯ ก็ได้รับฟ้องคดีไว้ เมื่อ 26 เม.ย.56 และมีการนัดพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลยไปเมื่อ 5 ก.ค.56
**เท่ากับว่า นับจากศาลเริ่มกระบวนการไต่สวนคดีมาจนถึงวันที่ศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษา รวมเวลาทั้งสิ้นก็ประมาณ 2 ปี กว่านั่นเอง
ก่อนหน้านี้ นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความของ ป.ป.ช.ในคดีนี้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงคดีนี้ไว้ว่า ทางฝ่าย ป.ป.ช. นำพยานเข้าไต่สวนกว่า 10 ปาก โดยมีทั้งพยานกลุ่มข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งพยานปากสำคัญที่ไต่สวนเป็นปากแรก คือ นายวีรชัย พลาศรัย ที่ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เมื่อปี 2551 ได้บอกเล่าความเป็นมาเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทเขาพระวิหาร และการดำเนินการต่างๆ ซึ่งนายวีรชัยได้เข้าไปเกี่ยวข้องและรับรู้ตั้งแต่ในช่วงแรก และพยานในกลุ่มของนักวิชาการ ที่ได้ติดตามปัญหาข้อพิพาทเขาพระวิหาร
โดย ป.ป.ช.ได้พยายามนำสืบให้ศาลเห็นว่า การกระทำของนายนพดล ที่เสนอแถลงการณ์ไทย-กัมพูชานั้น มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาจดทะเบียนขึ้นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว โดยที่ยังมีปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนโดยรอบเขาพระวิหาร ซึ่งเคยมีการเสนอให้ ไทย-กัมพูชาร่วมกันบริหารจัดการนั้น เป็นการกระทำโดยชอบหรือไม่ ขณะที่การเสนอประเด็นข้อพิพาทเขาพระวิหารที่สุ่มเสี่ยงกับเขตแดนนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ ก็เคยมีคำวินิจฉัยว่า ต้องเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบ ขณะที่การต่อสู้คดีของฝ่าย นายนพดล ก็นำพยานเข้าสืบกว่า 10 ปาก
**เป็นอันว่า ศุกร์นี้ บ่ายๆจะได้รู้กันว่า ผลคำพิพากษาของศาลฎีกาฯจะออกมาอย่างไร แต่ที่ต้องลุ้นกันก่อนก็คือ ต้องดูว่านายนพดล จะไปปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯตามนัดหมายของศาลหรือไม่ คดีนี้จะออกมาแบบไหน ศุกร์นี้ คอยติดตามกัน