xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.พ้นครหาผูกขาดหลังปลดล็อคขายน้ำมันราชการ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.ยันไม่ได้รับผลกระทบ หลังกพช.ยกเลิกระเบียบให้หน่วยงานรัฐต้องซื้อน้ำมันจากปตท. ชี้เป็นการปลดล็อกให้ปตท. จากที่ต้องขายในราคาถูก และค้างจ่ายนาน ยังช่วยให้พ้นข้อครหาผูกขาดด้วย ส่วนการสร้างคลังแอลเอ็นจีที่เมียนมาร์ตัดสินใจเลือกลงทุนที่ทวาย คาดได้รับใบอนุญาตสะดวกกว่า

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ยกเลิกสิทธิพิเศษของปตท.ในการขายน้ำมันมากกว่า 1หมื่นลิตรขึ้นไปให้กับหน่วยงานรัฐ ว่า เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของปตท. ที่ผ่านมา ปตท.เป็นผู้เสนอกระทรวงพลังงานเองเพื่อต้องการลดข้อวิพากษ์วิจารณ์การผูกขาดของปตท.ในเรื่องการขายน้ำมันให้หน่วยงานรัฐ

ทั้งนี้ ปตท.ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยมีการขายหุ้นบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)ที่ถือหุ้นอยู่ 27.22% และจะขายหุ้นบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน)ที่ถือทั้งหมดออกไปตามแผนการนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯปลายปีนี้ รวมทั้งแยกบัญชีระบบท่อก๊าซและเปิดให้รายอื่นเข้าใช้ท่อก๊าซฯ (Third Party Access)
ได้ตามข้อกำหนดภาครัฐ

“การยกเลิกให้หน่วยงานรัฐมาซื้อน้ำมันจากปตท.นั้นถือเป็นการปลดล็อก เป็นเรื่องดีต่อบริษัทฯ ที่ผ่านมา มีหน่วยงานรัฐขอซื้อในราคาถูก ค้างจ่ายนานและยังต้องสร้างถังเก็บให้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ ทางปตท.ไม่ได้เป็นผู้เสนอนโยบายมา แต่เกิดจากสมัยป.ป.ป.( สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ) ก่อนที่จะมาเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช. ) ต้องการแก้ปัญหาการทุจริตของหน่วยงานรัฐในการจัดซื้อน้ำมัน จึงเสนอให้หน่วยงานรัฐซื้อจากปตท.เท่านั้น “

นายไพรินทร์ กล่าวถึงความคืบหน้าการสร้างคลังก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี)ในรูปแบบลอยน้ำ (FSRU) ความจุ 3 ล้านตัน/ปีที่ประเทศเมียนมาร์ว่า จากการเบื้องต้นศึกษาจะลงทุนในพื้นที่นิคมฯทวาย เนื่องจากการขอใบอนุญาตทำได้สะดวกกว่าการสร้างคลังที่ KANBUAK โดยก๊าซส่วนใหญ่จะป้อนมายังไทยเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนกรณีที่เชลล์สนใจจะเข้ามาร่วมทำคลังด้วยนั้นยังไม่มีข้อสรุป แต่ปตท.พร้อมเจรจาร่วมทุน ซึ่งปริมาณก๊าซแอลเอ็นจีที่เชลล์ต้องการใช้ผลิตไฟฟ้ามีปริมาณไม่มากนัก

นายไพรินทร์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลาสติกชีวภาพว่า ไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ โดยเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่อันดับต้นๆของโลก ซึ่งแนวโน้มการใช้พลาสติกชีวภาพจะเพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุด ทางอีเกีย ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ประกาศว่าในปี 2563พลาสติกที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ครึ่งหนึ่งต้องเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ ทำให้คาดว่าจะมีอีกหลายบริษัทในยุโรปประกาศใช้พลาสติกชีวภาพเพิ่มมากขึ้น


ทั้งนี้ ปตท.ได้มีการร่วมทุนกับบริษัทมิตซูบิชิ เคมิคอล คอร์ปอเรชั่น ตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด Polybutelene Succinate (PBS) ขนาดกำลังการผลิต 2 หมื่นตัน/ปี ในนิคมฯเอเซีย จ.ระยอง ขณะนี้โรงงานดังกล่าวอยู่ระหว่างการทดลองเครื่องจักร คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในเร็วๆนี้ พร้อมกับเตรียมลงทุนผลิต Bio-Succinic Acid (BSA)ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิต PBS โดยใช้วัตถุดิบ คือน้ำตาลภายในประเท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกเทคโนโลยีมี 2ราย คาดว่าจะตัดสินใจได้เร็วๆนี้

ส่วนกรณีที่ กลุ่มเนเชอร์เวิร์คส ไม่ตัดสินใจลงทุนตั้งโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิดPLA ในไทยนั้น นายไพรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ด้วยศักยภาพของปตท.สามารถที่จะลงทุนตั้งโรงงานผลิตPLA ได้เอง เนื่องจากการพัฒนา PLA อยู่ในช่วงเริ่มต้น ด้วยพื้นฐานการวิจัยปตท.สามารถพัฒนาลงทุนได้ เพียงแต่อยากมีพาร์ทเนอร์เพื่อลดความเสี่ยงด้านการลงทุนและคืนทุนได้เร็วขึ้น


ทั้งนี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัว ศ.ดร.สุวบุญ จิรชาญชัย สังกัดวิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้รับ “PTT-NSTDA Chair Professor” ประจำปี 2558 ในโครงการวิจัยเรื่อง”พอลิเมอร์สีเขียวที่ยั่งยืน บนความท้าทายของประเทศไทยที่อุดมด้วยทรัพยากรหมุนเวียน”เป็นเงินทุน 20ล้านบาทในระยะเวลา 5ปี โดยงานวิจัยนี้จะเชื่อมโยงกับภาคการผลิตและการบริการได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะมีส่วนขับเคลื่อนศักยภาพการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น