xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จัดฉาก คสช.จำแลง คปป.ทะลุกลางป้อง “การเมือง” สะดุ้งทั้งแผง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมคณะ เปิดห้องประชุมให้สื่อมวลชน เข้าซักถามข้อสงสัย ในแต่ละประเด็นของร่างรัฐธรรมนูญ ที่อาคารรัฐสภา 3
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ไม่ได้เหนือไปจากความคาดหมายเท่าไรนัก กับกระแสคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายที่ “อ.ปื๊ด” บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธาน และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาปรุงแต่งกันมาหลายเดือน เพราะอย่างไรเสียก็ขึ้นชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญภายใต้ร่มเงาของ “คณะรัฐประหาร”

หลายเดือนที่ผ่านมาภายหลังมีการตั้ง กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นผู้ยกร่าง “กฎหมายสูงสุด” ก็ถูกจับตามองมาอย่างต่อเนื่องว่าจะออกมาหน้าตาอย่างไรในยุค “ปฏิรูปปรองดอง” ที่ถูกยกเป็นเหตุผลสำคัญของการเข้ามาของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมทั้งจะทำคลอดรัฐธรรมนูญภายใต้โจทย์ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ออกมาอย่างไร

ฝ่ายหนึ่งก็ออกแนวฮาร์ดคอร์ เชียร์ให้มีบทบัญญัติฟาดฟัน “ฝ่ายทรราช” ให้สิ้นซาก โดยเฉพาะการตั้งเงื่อนไขคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ให้แปดเปื้อนมีคดีความติดตัวเข้ามา ขณะที่อีกฝ่ายก็ตั้งแง่ว่า หากมีการกีดกัน หากข้ออ้างมาสกัดกันเช่นนั้นแล้วจะปรองดองสมานฉันท์กันได้อย่างไร รวมไปถึงตั้งข้อสังเกตเส้นทางการเข้าสู่ตำแหน่งการเมืองที่ดูจะพิลึกพิลั่นไปในหลายจุด

“ดร.ปื๊ด” และ กมธ.ยกร่างฯรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเขียนออกมาอย่างไรก็ต้องมีทั้งผู้พอใจและไม่พอใจกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็ขอการันตีว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ทำคลอดออกมาสดๆร้อนๆตอนนี้มีสรรพคุณอเนกอนันต์ทั้งการปิดช่องโหว่ต่างๆของรัฐธรรมนูญที่แล้วๆมา รวมทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีต และเป็นประโยชน์กับการปฏิรูปบ้านเมืองในอนาคตด้วย

พลิกบทบาทจาก “หมอตำแย” มาเป็น “เซลส์แมน” ทำคลอดเสร็จออกมาขายของต่อทันที

“ดร.ปื๊ด” ยังเปรียบเทียบด้วยว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญต้องดูเหมือนกับเวลาตัดสิน “นางงามจักรวาล” ดูภาพรวมบูรณาการทั้งหมด จึงจะเห็นความสวย เพราะหากผ่าเอาเฉพาะเครื่องในตับไตไส้พุงของนางงามออกมาก็จะไม่สวยงามเหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอก

แต่ก็ต้องถามกลับไปยัง “ดร.ปื๊ด” ด้วยว่า มั่นใจแค่ไหนกับรูปลักษณ์ภายนอกของร่างรัฐธรรมนูญล่าสุด เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกแนวก่นด่าอยู่ในตอนนี้ มีมากเสียกว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ได้ฉายาว่า “หน้าแหลมฟันดำ” เสียอีก

นัยของคำอุปมาของ “ดร.ปื๊ด” จึงมองได้ว่าตัวประธาน กมธ.ยกร่างฯเองก็รู้ดีว่าเนื้อหาทั้ง 285 มาตราที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้สวยงามไปทั้งหมด แถมยังมีบางส่วนที่ถึงขั้น “ดูไม่ได้” ด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นทิศทางเดียวกับเสียงวิจารณ์จากวงนอกที่สะท้อนถึงเสียงคัดค้านมากกว่าเห็นด้วยกับเนื้อหาที่มีการเผยแพร่ออกไป โดยเฉพาะด่านแรกอย่าง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) 1 ในแม่น้ำ 5 สาย ที่ออกตัวมาหลายรายแล้วว่าจะลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ว่านี้ และถ้าผ่านด่าน สปช.ไปก็ต้องไปเหนื่อยอีกทีในชั้นประชามติ

นอกเหนือจากประเด็น “นายกฯ คนนอก” ที่ถูกหมายหัวเป็นตำหนิในร่างรัฐธรรมนูญแล้วว่าเป็นการเปิดช่องให้มีการสืบทอดอำนาจภายหลัง คสช.แล้ว ในช่วงโค้งสุดท้ายยังมีการ “ยัดไส้” มาตรา 260 ว่าด้วย คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองแห่งชาติ เข้ามาอีก ทำเอาประเด็นที่เคยถูกโจมตีหลักๆ กลายเป็นเรื่องเบาๆไปเลย

เพราะทุกคนต่างโฟกัสไปที่อำนาจของคณะกรรมการฯที่ว่า ซึ่งแม้จะยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ แต่ล่าสุดกลับมีตัวย่อ “คปป.” ออกให้เรียกขานกันโดยง่ายแล้ว โดยองค์ประกอบของ คปป. ประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการไม่เกิน 22 คน ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่งได้แก่ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการกองทัพไทย ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ซึ่งเลือกกันเองประเภทละ1คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 11 คน ซึ่งแต่งตั้งตามมติรัฐสภา จากผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการปฏิรูปด้านต่าง ๆ และการสร้างความปรองดอง

ดูจากเนื้อหาข้อกำหนดแล้วจะเห็นได้ว่า คนจาก คสช.มีโอกาสเข้าเป็น คปป.ได้หลายต่อหลายคน ทั้งที่เกษียณอายุราชการแล้ว รวมไปถึง “ขุนทหาร” ที่ยังอยู่ในราชการด้วย ตรงนี้เองที่ทำให้ถูกมองว่าเป็นกลไกการสืบทอดอำนาจแบบ “ประเจิดประเจ้อ” มากเสียกว่าเรื่องนายกฯคนนอก หรือการตั้งคำถามประชามติให้มีรัฐบาลทำหน้าที่ปฏิรูปอีก 2 ปีก่อนเลือกตั้งเสียอีก

ก็เพราะรูปแบบของ คปป.เทียบไม่ต่างจาก คสช.แม้แต่น้อย จะพูดว่า คสช.จำแลงกลายเป็นรูปของ คปป.ก็คงไม่ผิด

อำนาจหน้าที่ของ คปป. หลักๆไประกอบด้วย เสริมสร้างการปฏิรูป กำกับการสร้างความปรองดอง ระงับเหตุที่อาจนำไปสู่การเกิดความรุนแรง ที่สำคัญมี “อำนาจพิเศษ” กรณีหากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ จนไม่สามารถบริหารประเทศได้ สามารถใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวได้โดยต้องมีมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีสามารถสั่งระงับยับยั้ง หรือกระทำการใดๆได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลทางนิติบัญญัติหรือในทางบริหาร โดยให้ถือว่า เป็นคำสั่งและการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และถือเป็นที่สุด

และเมื่อได้ดำเนินการตามมาตรการที่ว่าข้างต้นแล้ว คปป.ต้องรายงานต่อประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด รับทราบโดยเร็ว และแถลงให้ประชาชนรับทราบด้วย หรืออยากทำอะไรก็ทำไปก่อน แล้วค่อยมาบอกทีหลังได้

อำนาจของ คปป.จึงไม่ต่างจาก คสช. ที่มีอำนาจอยู่เหนือฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ เรียกได้ว่าเกือบจะลอกมาตรา 44 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 มาทั้งยวง เหมือนรัฐซ้อนรัฐ คล้ายๆกับการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ “โปลิตบูโร” ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองของหลายประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งสหภาพโซเวียดในอดีต

แม้ในเนื้อหาจะพยายามชูเรื่องการสานต่องานปฏิรูปและงานปรองดองให้เสร็จสิ้น เนื่องจากไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะรับไม้ต่อหรือไม่ แต่ศักยภาพของอำนาจของ คปป.ที่กำหนดไว้นั้น “ครอบจักรวาล” ชนิดทำรัฐประหารได้อย่างถูกกฎหมาย หรือง่ายๆ คือ ไม่ต้องขับรถถังออกมาแอ่น แอ๊น ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญบังคับขู่เข็ญรัฐบาล ณ ขณะนั้นที่อาจจะเป็น “เด็กดื้อ” นอกลู่นอกทางในอนาคตได้เลย

อิทธิฤทธิ์และพิษสงของ คปป.นี้เองทำให้ “พรรคเพื่อไทย” จากเดิมที่ปากกล้าขาสั่นว่า พร้อมจะลงสู่สนามเลือกตั้งทุกเมื่อ รอเพียงกติกาที่ชัดเจนออกมาเท่านั้น เพราะเชื่อว่า ยังกุมหัวใจของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ และสามารถชนะถล่มทลายได้เหมือนเดิม

เจอ คปป.เข้าไป คนเพื่อไทยถึงกับผงะ!!! ออกมากฐินสามัคคีใส่ กมธ.ยกร่างฯของ “ดร.ปื๊ด” และ คสช.ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.อย่างออกรสระดับตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก ไม่กงไม่กลัว ม.44 กันอีกต่อไป

โดยเฉพาะ “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข มือดีลคนสำคัญของฝ่ายเพื่อไทย ออกมาผรุสวาทใส่ “บิ๊กตู่” แบบไม่พะวงว่าจะต้องไปกินข้าวในค่ายทหาร ด้วยถ้อยคำรุนแรงเสียดสี หลัง “บิ๊กตู่” ออกมาสั่งให้นักการเมืองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ “หุบปาก” เพราะไม่มีสิทธิ์พูด พร้อมยุแยงตะแคงรั่วให้ สปช.ทำแท้งร่างรัฐธรรมนูญด้วยการโหวตไม่เห็นชอบในวันที่ 6 กันยายนนี้

เป็นช็อตต่อเนื่องจากสองศรีพี่น้อง “พ่อแม้ว” ทักษิณ ชินวัตร และ “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาจุดพลุว่า “รับไม่ได้” กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ยึดโยงประชาชน

แจ่มชัดแล้วว่าพรรคเพื่อไทยไม่เอาและเตรียมจะต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต่อให้แม้เหล่าสมาชิก สปช.จะก้มหน้าก้มตาโหวตรับ ในวันที่ 6 กันยายนนี้ไปแล้ว แต่พร้อมจะรณรงค์หรือหาวิธีการทุกอย่างเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่มีวันได้ประกาศใช้ในประเทศไทย

เพราะ “ฝ่ายเพื่อไทย” เองก็รู้ดีว่า ด้วยอำนาจล้นฟ้าคับเมืองของ คปป. จะเรียกว่าเป็น “หอกข้างแคร่” ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังคงน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะต่อให้ “พรรคเพื่อไทย” สามารถชนะการเลือกตั้ง กอบโกยคะแนนจากพี่น้องประชาชนอย่างมหาศาลแต่คงไม่มีความหมายอะไรเลย ในเมื่อมี “โปลิตบูโร” กดทับอยู่ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง ไม่สามารถเอาความชอบธรรมจากคะแนนเสียงเหล่านั้นไปกระทำชำเราอะไรได้เลย

ลำพังก่อนหน้านี้มี “กองทัพ - องค์กรอิสระ” คอยคานอำนาจรัฐบาลก็แทบจะกระดิกกระเดี้ยวตัวทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่ได้ แต่มาเจอ คสช.เวอร์ชั่นแปลงกายมาเป็น คปป.คงต้องยืมคำพูดของ “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” เนวิน ชิดชอบ พ่อใหญ่แห่งค่ายภูมิใจไทยที่เคยฝากถึง “นายใหญ่” หลังย้ายขั้วไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ว่า “มันจบแล้วครับนาย”

จำนวนเสียงส.ส.ในสภาที่ยึดครอง อำนาจบริหารในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล จะเป็นเพียงอำนาจจอมปลอม หากวันใดวันหนึ่ง คปป.รู้สึกไม่แฮปปี้กับพฤติกรรม จะกลายเป็นเด็กที่ต้องอยู่ในโอวาทผู้ใหญ่เสมอ

“รัฐประหารซ่อนรูป” จะเกิดได้อย่างง่ายดายเพราะคำว่า “วิกฤติ” ไม่ได้มีการอธิบายขยายเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ถึงจุดไหน คปป.จะใช้อำนาจได้ หากจับพลัดจับผลู สถานการณ์การเมืองขณะนั้นอยู่ในช่วงเขม็งเกลียว ม็อบเพียงหยิบมือเดียวอาจถูกตีความว่า บ้านเมืองอยู่ในสภาวะ “วิกฤติ” เอาง่ายๆ

“พรรคเพื่อไทย” ไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อ คสช.หยิบยื่นตัวเลือกให้เพียง 2 ทางคือ หากไม่เอาร่างรัฐธรรมนูญก็ไปรณรงค์ให้ประชาชนแอนตี้และคว่ำทิ้งในการทำประชามติ ซึ่งหากเลือกทางนี้จะเป็นการตีตั๋วยาวให้ คสช.อยู่บนคานอำนาจและบริหารประเทศไปอีกนาน เพราะต้องมาเริ่มร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ กระบวนการหลายขั้นตอนต้องใช้เวลา ปาเข้าไปปี 2560 ก็ยังไม่รู้ว่า จะเห็นวี่แว่วของคูหาเลือกตั้งหรือไม่

แต่หากหลับหูหลับตาปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติจนไปประกาศใช้ เพียงเพราะอดอยากปากแห้งต้องการกลับสู่เวทีการเมืองเพื่อมีอำนาจโดยเร็ว ก็ต้องจำใจที่จะมี “โปลิตบูโร” คอยถ่วงดุลเอาไว้ ไม่ให้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ โดยเฉพาะการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการหาช่องทางนิรโทษกรรม “นายใหญ่” ที่แทบปิดประตูตายไปได้เลย เพราะ คสช. หรือ คปป.ในตอนนั้น คงไม่ยอมให้ใครมาแตะต้อง “มรดก” ชิ้นนี้ที่อุตส่าห์รังสรรค์เอาไว้อย่างดี

ชั่งตวงระหว่าง “ได้” กับ “เสีย” แล้ว “พรรคเพื่อไทย” จึงเห็นว่า ยอมเตะฝุ่นต่อไปเพื่อแลกกับการไม่มี “โปลิตบูโร” จะดีเสียกว่า

อย่างไรก็ตาม การยอมกลืนเลือดต่ออายุให้ คสช.แบบไม่มีทางเลือกมากไปกว่านี้ เพียงเพื่อไม่อยากเห็น คปป.ได้ผุดได้เกิด จะคุ้มหรือไม่ยังเป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่า ระหว่างที่ปล่อยให้ คสช. บริหารประเทศไปนานๆ ช่วงเวลาเหล่านั้นจะเป็นห้วงเวลาของการ “ปัดกวาด” คนในระบอบทักษิณให้สิ้นแรงหรือไม่

ขณะที่ “ค่ายสีฟ้า” เพิ่งจะออกมาเต็มปากเต็มคำแบบหล่อๆเหมือนเดิม หลัง “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปตย์ อ้อนวอนให้ สปช.ลงมือปฏิบัติการทำแท้งร่างรัฐธรรมนูญนี้เสียด้วยการโหวตคว่ำไปในวันที่ 6 กันยายน นี้

ตามเนื้อผ้าแล้ว “ค่ายสีฟ้า” เองก็คงไม่แฮปปี้กับ คปป.เท่าไร แต่ก็คงไม่ถึงกับลงไปชักดิ้นชักงอจะเป็นจะตาย เพียงแต่ตามฟอร์มของ “นักเลือกตั้ง” ในระบอบประชาธิปไตย การออกมาสนับสนุนองค์กรที่ไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยอย่าง คปป.มันดูจะน่ารังเกียจ เลยต้องมีเสียงคัดค้านออกมาบ้าง

ขณะที่เรื่องเลือกตั้งช้าหรือเร็วไม่ค่อยแคร์เท่าไร ถามใจ “เดอะมาร์ค” จริงๆ ก็คงไม่พร้อมในตอนนี้ หากมีการเลือกตั้งก็คงจะโค่น “เพื่อไทย” ยาก แทบจะกางมุ้งรอ “แพ้” ได้เลย

ในสายตาของพรรคการเมืองร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงไม่ใช่ฉบับ “นางงามจักรวาล” อย่างที่ “อ.ปื๊ด” เยินยอไว้เสียสวยงาม แต่เป็นฉบับ “กินน้ำเห็นปลิง” ที่ต้องหยุดดื่ม เพราะของในน้ำอาจทำให้ถึงตายได้


“เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อ้อนวอนให้ สปช.ลงมือปฏิบัติการทำแท้งร่างรัฐธรรมนูญนี้เสียด้วยการโหวตคว่ำไปในวันที่ 6 กันยายน นี้
“เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข มือดีลคนสำคัญของฝ่ายเพื่อไทย เปิดฉากท้ารบรัฐบาลทหาร หลัง “บิ๊กตู่” ออกมาสั่งให้นักการเมืองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ “หุบปาก”
กำลังโหลดความคิดเห็น