ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ฉากเบื้องหน้า...สังคมอาจเห็นภาพสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยข่าวกรองและหน่วยงานทางด้านความมั่นคงของไทย รวมทั้งรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังคงมะงุมมะงาหราและจับต้นชนปลายไม่ถูกสำหรับเหตุวินาศกรรมที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม
คำตอบของหน่วยงานเหล่านี้ มีเพียงแค่คำพูด “มีข้อมูลแล้ว เชื่อว่าจะจับตัวได้” แต่จนแล้วจนเล่าทุกอย่างก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม กระทั่งประชาชนเริ่มสงสัยแล้วว่า ฉากเบื้องหลัง อันเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวินาศกรรมสะท้านโลกดังกล่าวมี “ความจริงที่ไม่สามารถเปิดเผยได้” เช่นนั้นหรือ
โดยเฉพาะตัว พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปวิเคราะห์คำพูดและท่าทีแล้วก็เสมือนหนึ่ง “ยอมเป็นหนังหน้าไฟ” และ “ยอมถูกก่นด่า” แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) องค์กรผู้มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์สูงสุดของประเทศอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งทำให้ประหวัดนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ พล.ต.อ.สมยศออกโรงสนับสนุนการเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศไทยไม่ได้
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตำรวจไทยจะไม่สามารถควานหาตัวคนร้ายมาลงโทษได้ ขนาดโจรที่ใส่หมวกกันน็อกปล้นร้านทองยังจับตัวได้ ประสาอะไรกับมือระเบิดที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพเอาไว้ให้เห็นชัดเจนเยี่ยงนี้ หากมิใช่เป็นเพราะคำนวณดูแล้วได้ไม่คุ้มเสียที่จะเปิดเผยความจริงออกไป
สู้ทำมีนๆ งงๆ พูดวกไปวนมา วันนี้อย่าง วันพรุ่งนี้อีกอย่าง วันมะรืนกลับวนมาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้คือสิ่งที่สั่นคลอนเสถียรภาพของ คสช.ในทุกๆ ทางไม่ว่าจะมาจากมูลเหตุใดก็ตาม
เมื่อ “สมยศ” ผู้น่าสงสารจำต้อง ลับ ลวง พราง?
คงต้องยอมรับว่า ณ เวลานี้ พล.ต.อ.สมยศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงประสิทธิภาพในการทำงาน โดยมีคำถามและข้อสงสัยดังต่อไปนี้
ทำไมศาลพระพรหมเอราวัณซึ่งอยู่ห่างจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงไม่กี่สิบเมตร และเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งการค้า แหล่งธุรกิจที่ผู้คนสัญจรไปมาคับคั่งถึงไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการแม้แต่เพียงคนเดียวในวันเกิดเหตุ
ทำไมการให้ข่าว และการให้ข้อมูลไปกันคนละทางสองทาง สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงไม่กันพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้เพื่อเป็นเขตหวงห้ามสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐาน แต่กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการตรวจหาร่องรอยและวัตถุพยาน ซ้ำร้ายหลุมระเบิดก็ถูกกลบภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง
ที่หนักไปกว่านั้นคือปล่อยให้กรุงเทพมหานครของ “คุณชายหมู-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจากพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาทำความสะอาดพื้นที่และเปิดให้สัญจรไปมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ถามว่า จะมีประโยชน์อะไรกับการปล่อยแถวเจ้าหน้าที่เพื่อเปิดปฏิบัติการปิดเมืองค้นรังโจรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและคนไทยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2558 หลังเหตุระเบิดผ่านไปเกือบสัปดาห์ นอกเหนือจากการสร้างภาพ ซึ่งสังคมมองว่า เป็นอาการ “หมดสภาพ” ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่ายังคงมะงุมมะงาหราในการสืบสวนสอบสวน ไม่ต่างอะไรจาก “ก้อนเนื้ออันเลอะเลือน”
“การที่ยังไม่สามารถระบุชื่อผู้ต้องสงสัยหรือแม้แต่สัญชาติของมือระเบิด ได้กระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการสืบสวนเหตุระเบิดบริเวณซึ่งตำรวจถูกกล่าวหาล้มเหลวในการคุ้มกันหลักฐานทางนิติเวชศาสตร์ ออกประกาศผิดพลาดหรือให้ข้อมูลที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน จนกระทั่งเกิดคำถามด้านความมีประสิทธิภาพของพวกเขาหรือแม้แต่ก่อข่าวลือว่ารัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปีที่แล้วอาจไม่ต้องการได้ตัวผู้กระทำผิดตัวจริง”
นั่นคือคำวิพากษ์วิจารณ์ของฝรั่งจากสำนักข่าวเอพี ซึ่งน่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “รัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปีที่แล้วอาจไม่ต้องการได้ตัวผู้กระทำผิดตัวจริง”
ทั้งนี้ เมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้ว ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามสมมติฐานข้างต้นจริงๆ เพราะไม่น่าเชื่อว่า ตำรวจไทยที่เคยมีคำประกาศกร้าวดังคำกล่าวของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้ยิ่งใหญ่ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” จะทำงานอืดเป็นเรือเกลือจนตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเช่นนั้น แม้ที่ผ่านมาองค์กรต้นทางของกระบวนการยุติธรรมไทยจะมีปัญหาจริงๆ ดังผลสำรวจเมื่อปี 2013 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติที่มีความเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามถึง 71 เปอร์เซ็นต์ว่า ตำรวจไทยครองแชมป์สถาบันที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุดก็ตาม
ยิ่งตรวจทานคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.สมยศก็ยิ่งเห็นถึงความผิดปกติของคดี
1 วันหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.สมยศประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “มั่นใจว่าจะสามารถติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ได้อย่างแน่นอน” แต่ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 19 สิงหาคมกลับประกาศตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท และขยับขึ้นเป็น 2 ล้านบาทในวันที่ 20 สิงหาคมและ 3 ล้านบาทในวันที่ 21 สิงหาคม
ถัดมาวันที่ 22 สิงหาคม พล.ต.อ.สมยศแบะท่าอ้างว่าการที่ตำรวจทำงานล่าช้าก็เพราะขาดเครื่องมือทันสมัย” พร้อมเตรียมของบประมาณ 1,000 ล้านบาทเพื่อจัดซื้อเครื่องไบโอแมทริกซ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยใช้สำหรับตรวจการแสดงตัวตนบุคคลและวันที่ 23 สิงหาคมบอกว่า “คงต้องอาศัยโชค ถ้าตำรวจดวงแข็ง ก็อาจจะจับได้”
24 สิงหาคม ครบรอบ 1 สัปดาห์ของวินาศกรรม พล.ต.ท.สมยศก็มีวาทกรรมใหม่ออกมาว่า “ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ยังมั่นใจว่าจะจับกุมคนร้ายได้ แม้ผมจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็ให้คนใหม่สานงานต่อไป”
25 สิงหาคม พล.ต.ท.สมยศคุยโวโอ้อวดว่า “ขณะนี้การสืบสวนสอบสวนมีความคืบหน้า แต่ปัญหาอุปสรรคอยู่ที่อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือโดยเฉพาะกล้องวงจรปิดที่เราเก็บมาไม่ค่อยมีความต่อเนื่อง เกิดจากว่ากล้องวงจรปิดไม่สามารถใช้การได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดจึงเป็นปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการสืบสวนเริ่มจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่ามีการกระทำเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีการช่วยเหลือสนับสนุนกัน ทั้งคนตระเตรียมการ คนดูเส้นทาง คนจัดหาระเบิด คนดำเนินการวาง คนหาที่พักหรือพาหนี มีการแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจนแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยไม่ได้”
เรียกว่า วกไปวนมา จนบัดนี้ยังไม่สามารถสรุปได้เลยด้วยซ้ำไปว่า มูลเหตุของการก่อวินาศกรรมครั้งนี้คืออะไร ปมการเมืองภายในประเทศ การก่อวินาศกรรมขององค์กรก่อการร้ายระหว่างประเทศ หรือเป็นเพราะความร่วมมือของพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกซึ่งร่วมมือกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองในไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ความคืบหน้าของคดีมีเพียงการออกหมายจับ “มือระเบิด” ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติสเก็ตช์ภาพเอาไว้เท่านั้น
เรียกว่า วกไปวนมาจนสังคมขยายวงไปวิพากษ์วิจารณ์ คสช.อีกต่างหาก เพราะหากยังจำกันได้ ในช่วงการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” สิ่งสำคัญที่ประชาชนเรียกร้องหรือมีฉันทามติให้มีการปฏิรูปเป็นลำดับแรกๆ ก็คือ “ตำรวจ” เพราะประจักษ์แจ้งร่วมกันว่า องค์กรซึ่งเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยนั้นมีปัญหาและจำเป็นต้องแก้ไข แต่เมื่อมีการรัฐประหาร สิ่งเหล่านี้กลับถูกละเลยจากรัฐบาลทหารซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน้าตาเฉย และถึงขนาดออกมาว่า การปฏิรูปตำรวจคงต้องยกไปให้รัฐบาลหน้าเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ในรัฐบาลที่มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์เต็ม แถมยังมีการจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปขึ้นมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในนาม “สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)”
ปริศนาที่ คสช.พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
คำถามมีอยู่ว่า ทำไมรัฐบาลทหารถึงกล้าปล่อยให้สังคมมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่จนต้องจำยอมให้ความคืบหน้าของวินาศกรรมอึมครึมและวกไปวนมาเช่นนี้
สมมติว่า ถ้าเหตุวินาศกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความร่วมมือของ “พี่เบิ้ม” มหาอำนาจโลกกับกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองชาวไทยจริง เพราะไม่ต้องการให้รัฐบาล คสช.ปกครองประเทศไทยอีกต่อไป รัฐบาล คสช.จะกล้าพอที่จะบอกว่า นี่คือการก่อการร้ายหรือไม่
รัฐบาล คสช.จะกล้าพอที่จะยอมรับว่าการก่อการร้ายได้คืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยจริงๆ ในยุคของตนเองหรือไม่
ถ้ายอมรับ สิ่งที่จะตามมาย่อมหนีไม่พ้นความหวาดกลัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ การลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างหนักหนาสาหัส
และแน่นอนว่า ทฤษฎีนี้ มิใช่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประหวัดนึกไปถึงปูมประวัติของ “ทูตคนใหม่” ซึ่งพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกส่งมานั่งสอดแนมในประเทศไทย ก็ยิ่งเห็นเค้าลางของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น เพราะการที่พันธมิตรอันแนบแน่นส่ง “นักการทูตชั้นลายคราม” เข้ามาประจำในประเทศไทย ย่อมเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
ทูตของพี่เบิ้มผู้นี้ เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านั้น เคยเป็นผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือ ระหว่าง พ.ศ. 2555 - 2557 และปฏิบัติราชการในตัวแทนของพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา และทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency - IAEA) ระหว่างปี พ.ศ. 2552 - 2555
ก่อนหน้านั้นยังเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council - NSC) ระหว่างปี พ.ศ. 2540 - 2542 รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศและรองผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการสาธารณะระหว่าง พ.ศ. 2538 - 2540 และขณะที่ก่อนหน้านั้น เคยไปปฏิบัติราชการในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และ ซาอีร์
การที่พี่เบิ้มมหาอำนาจวางนักการทูตระดับเซียนซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาประจำการในประเทศไทยย่อมไม่ธรรมดา เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า พี่เบิ้มไม่พอใจสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่อำนาจตกอยู่ในมือรัฐบาลทหาร และมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับผู้นำสูงสุดแห่งรัฐไทยใหม่ขนาดไหน
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อคราวที่ “คนระดับรัฐมนตรี” ซึ่งดูแลกิจการเอเชีย-แปซิฟิก มาแสด
งปาฐกถาที่สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนม.ค. 2558 พร้อมกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทย การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง รวมถึงการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หรือล่าสุดก็คือกรณีที่โฆษกพี่เบิ้มมีถ้อยแถลงแสดงความไม่เห็นด้วยกับโทษของผู้ที่กระทำผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้การรับรองการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี เพราะเป็นสิ่งที่ได้รับการปกป้องตามพันธะสัญญาและพันธกิจระดับสากลที่ไทยร่วมเป็นภาคี
นั่นแสดงให้เห็นว่าพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกไม่พอใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีความเป็นไปได้ว่า ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้เหมือนเช่นที่เคยทำสำเร็จให้เห็นมาแล้วในหลายๆ ประเทศ
และถ้าความจริงเป็นเช่นนี้ รัฐบาล คสช.จะกล้ายอมรับหรือไม่
ทีนี้ สมมติว่า การวินาศกรรมดังกล่าวเป็นผลมาจากความไม่พอใจของประเทศมุสลิมกับนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่ส่ง “ชาวอุยกูร์” ซึ่งหลบหนีเข้าเมืองเมืองกลับคืนให้ประเทศจีน ดังที่นายแอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงให้ความเห็นว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “กลุ่มเกรย์วูล์ฟ(Grey Wolves) ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบชาวตุรกี รัฐบาล คสช.จะกล้ายอมรับความจริงหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะกล้ายอมรับความจริงหรือไม่
เพราะต้องไม่ลืมว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผู้จุดชนวนวินาศกรรมอันนำมาซึ่งการเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนเป็นจำนวนมาก รวมถึงส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหนักหนาสาหัสก็คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์เอง
ส่วนถามว่า ประเด็นอุยกูร์มีความเป็นไปได้หรือไม่ วันนี้คงไม่อาจตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเสียทีเดียว แต่ก็คงไม่ใช่เพราะพวกเขาลงมือตามลำพังหากแต่ต้องมีการหนุนหลังจากเครือข่ายระดับโลกซึ่งร่วมมือกับคนไทยบางคน ไม่เช่นนั้น มือระเบิดคงไม่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้
แต่ประเด็นสำคัญคือต้องไม่ลืมด้วยว่า พี่เบิ้มมหาอำนาจโลกหนุนหลังชาวอุยกูร์ และต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อดิสเครดิตประเทศจีนเช่นกัน ยิ่งสื่อมวลชนต่างชาติพยายามโยนไปที่ประเด็นนี้ก็ยิ่งน่าสงสัย
ดังนั้น โปรดอย่าแปลกใจอะไรกับการที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศเอาไว้ชัดถ้อยชัดคำว่า “คงต้องอาศัยโชค ถ้าตำรวจดวงแข็ง ก็อาจจะจับได้”
เพราะสุดท้ายแล้ว จุดจบของเรื่องนี้ อาจไม่มีอะไรในก่อไผ่ นอกจากวกไปวนมาหาความจริงไม่ได้ตลอดกัลปาวสาน
จับไม่ได้หรือไม่กล้าจับ
หาตัวมือระเบิดไม่ได้หรือไม่กล้าบอกความจริงกับคนไทยและคนทั้งโลก
เฉกเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ “เที่ยวบิน MH370” ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่า ตกเพราะอะไรและตกที่แห่งหนตำบลไหน
วันนี้ ฝ่ายความมั่นคงของไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรอาจยังหาทางออกในเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ
คำตอบของหน่วยงานเหล่านี้ มีเพียงแค่คำพูด “มีข้อมูลแล้ว เชื่อว่าจะจับตัวได้” แต่จนแล้วจนเล่าทุกอย่างก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม กระทั่งประชาชนเริ่มสงสัยแล้วว่า ฉากเบื้องหลัง อันเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวินาศกรรมสะท้านโลกดังกล่าวมี “ความจริงที่ไม่สามารถเปิดเผยได้” เช่นนั้นหรือ
โดยเฉพาะตัว พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปวิเคราะห์คำพูดและท่าทีแล้วก็เสมือนหนึ่ง “ยอมเป็นหนังหน้าไฟ” และ “ยอมถูกก่นด่า” แทนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) องค์กรผู้มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์สูงสุดของประเทศอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งทำให้ประหวัดนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ พล.ต.อ.สมยศออกโรงสนับสนุนการเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศไทยไม่ได้
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตำรวจไทยจะไม่สามารถควานหาตัวคนร้ายมาลงโทษได้ ขนาดโจรที่ใส่หมวกกันน็อกปล้นร้านทองยังจับตัวได้ ประสาอะไรกับมือระเบิดที่กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพเอาไว้ให้เห็นชัดเจนเยี่ยงนี้ หากมิใช่เป็นเพราะคำนวณดูแล้วได้ไม่คุ้มเสียที่จะเปิดเผยความจริงออกไป
สู้ทำมีนๆ งงๆ พูดวกไปวนมา วันนี้อย่าง วันพรุ่งนี้อีกอย่าง วันมะรืนกลับวนมาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้คือสิ่งที่สั่นคลอนเสถียรภาพของ คสช.ในทุกๆ ทางไม่ว่าจะมาจากมูลเหตุใดก็ตาม
เมื่อ “สมยศ” ผู้น่าสงสารจำต้อง ลับ ลวง พราง?
คงต้องยอมรับว่า ณ เวลานี้ พล.ต.อ.สมยศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงประสิทธิภาพในการทำงาน โดยมีคำถามและข้อสงสัยดังต่อไปนี้
ทำไมศาลพระพรหมเอราวัณซึ่งอยู่ห่างจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงไม่กี่สิบเมตร และเป็นแหล่งท่องเที่ยว แหล่งการค้า แหล่งธุรกิจที่ผู้คนสัญจรไปมาคับคั่งถึงไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการแม้แต่เพียงคนเดียวในวันเกิดเหตุ
ทำไมการให้ข่าว และการให้ข้อมูลไปกันคนละทางสองทาง สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงไม่กันพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้เพื่อเป็นเขตหวงห้ามสำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐาน แต่กลับใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการตรวจหาร่องรอยและวัตถุพยาน ซ้ำร้ายหลุมระเบิดก็ถูกกลบภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง
ที่หนักไปกว่านั้นคือปล่อยให้กรุงเทพมหานครของ “คุณชายหมู-ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจากพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาทำความสะอาดพื้นที่และเปิดให้สัญจรไปมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ถามว่า จะมีประโยชน์อะไรกับการปล่อยแถวเจ้าหน้าที่เพื่อเปิดปฏิบัติการปิดเมืองค้นรังโจรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและคนไทยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2558 หลังเหตุระเบิดผ่านไปเกือบสัปดาห์ นอกเหนือจากการสร้างภาพ ซึ่งสังคมมองว่า เป็นอาการ “หมดสภาพ” ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่ายังคงมะงุมมะงาหราในการสืบสวนสอบสวน ไม่ต่างอะไรจาก “ก้อนเนื้ออันเลอะเลือน”
“การที่ยังไม่สามารถระบุชื่อผู้ต้องสงสัยหรือแม้แต่สัญชาติของมือระเบิด ได้กระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการสืบสวนเหตุระเบิดบริเวณซึ่งตำรวจถูกกล่าวหาล้มเหลวในการคุ้มกันหลักฐานทางนิติเวชศาสตร์ ออกประกาศผิดพลาดหรือให้ข้อมูลที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน จนกระทั่งเกิดคำถามด้านความมีประสิทธิภาพของพวกเขาหรือแม้แต่ก่อข่าวลือว่ารัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปีที่แล้วอาจไม่ต้องการได้ตัวผู้กระทำผิดตัวจริง”
นั่นคือคำวิพากษ์วิจารณ์ของฝรั่งจากสำนักข่าวเอพี ซึ่งน่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “รัฐบาลทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปีที่แล้วอาจไม่ต้องการได้ตัวผู้กระทำผิดตัวจริง”
ทั้งนี้ เมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้ว ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามสมมติฐานข้างต้นจริงๆ เพราะไม่น่าเชื่อว่า ตำรวจไทยที่เคยมีคำประกาศกร้าวดังคำกล่าวของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้ยิ่งใหญ่ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” จะทำงานอืดเป็นเรือเกลือจนตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเช่นนั้น แม้ที่ผ่านมาองค์กรต้นทางของกระบวนการยุติธรรมไทยจะมีปัญหาจริงๆ ดังผลสำรวจเมื่อปี 2013 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติที่มีความเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถามถึง 71 เปอร์เซ็นต์ว่า ตำรวจไทยครองแชมป์สถาบันที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุดก็ตาม
ยิ่งตรวจทานคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.สมยศก็ยิ่งเห็นถึงความผิดปกติของคดี
1 วันหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.สมยศประกาศเสียงดังฟังชัดว่า “มั่นใจว่าจะสามารถติดตามจับกุมคนร้ายรายนี้ได้อย่างแน่นอน” แต่ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 19 สิงหาคมกลับประกาศตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท และขยับขึ้นเป็น 2 ล้านบาทในวันที่ 20 สิงหาคมและ 3 ล้านบาทในวันที่ 21 สิงหาคม
ถัดมาวันที่ 22 สิงหาคม พล.ต.อ.สมยศแบะท่าอ้างว่าการที่ตำรวจทำงานล่าช้าก็เพราะขาดเครื่องมือทันสมัย” พร้อมเตรียมของบประมาณ 1,000 ล้านบาทเพื่อจัดซื้อเครื่องไบโอแมทริกซ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยใช้สำหรับตรวจการแสดงตัวตนบุคคลและวันที่ 23 สิงหาคมบอกว่า “คงต้องอาศัยโชค ถ้าตำรวจดวงแข็ง ก็อาจจะจับได้”
24 สิงหาคม ครบรอบ 1 สัปดาห์ของวินาศกรรม พล.ต.ท.สมยศก็มีวาทกรรมใหม่ออกมาว่า “ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ยังมั่นใจว่าจะจับกุมคนร้ายได้ แม้ผมจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็ให้คนใหม่สานงานต่อไป”
25 สิงหาคม พล.ต.ท.สมยศคุยโวโอ้อวดว่า “ขณะนี้การสืบสวนสอบสวนมีความคืบหน้า แต่ปัญหาอุปสรรคอยู่ที่อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือโดยเฉพาะกล้องวงจรปิดที่เราเก็บมาไม่ค่อยมีความต่อเนื่อง เกิดจากว่ากล้องวงจรปิดไม่สามารถใช้การได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดจึงเป็นปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการสืบสวนเริ่มจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่ามีการกระทำเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีการช่วยเหลือสนับสนุนกัน ทั้งคนตระเตรียมการ คนดูเส้นทาง คนจัดหาระเบิด คนดำเนินการวาง คนหาที่พักหรือพาหนี มีการแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจนแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยไม่ได้”
เรียกว่า วกไปวนมา จนบัดนี้ยังไม่สามารถสรุปได้เลยด้วยซ้ำไปว่า มูลเหตุของการก่อวินาศกรรมครั้งนี้คืออะไร ปมการเมืองภายในประเทศ การก่อวินาศกรรมขององค์กรก่อการร้ายระหว่างประเทศ หรือเป็นเพราะความร่วมมือของพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกซึ่งร่วมมือกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองในไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ความคืบหน้าของคดีมีเพียงการออกหมายจับ “มือระเบิด” ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติสเก็ตช์ภาพเอาไว้เท่านั้น
เรียกว่า วกไปวนมาจนสังคมขยายวงไปวิพากษ์วิจารณ์ คสช.อีกต่างหาก เพราะหากยังจำกันได้ ในช่วงการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” สิ่งสำคัญที่ประชาชนเรียกร้องหรือมีฉันทามติให้มีการปฏิรูปเป็นลำดับแรกๆ ก็คือ “ตำรวจ” เพราะประจักษ์แจ้งร่วมกันว่า องค์กรซึ่งเป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยนั้นมีปัญหาและจำเป็นต้องแก้ไข แต่เมื่อมีการรัฐประหาร สิ่งเหล่านี้กลับถูกละเลยจากรัฐบาลทหารซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หน้าตาเฉย และถึงขนาดออกมาว่า การปฏิรูปตำรวจคงต้องยกไปให้รัฐบาลหน้าเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งๆ ที่สามารถทำได้ในรัฐบาลที่มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์เต็ม แถมยังมีการจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปขึ้นมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในนาม “สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)”
ปริศนาที่ คสช.พูดไม่ออก บอกไม่ถูก
คำถามมีอยู่ว่า ทำไมรัฐบาลทหารถึงกล้าปล่อยให้สังคมมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่จนต้องจำยอมให้ความคืบหน้าของวินาศกรรมอึมครึมและวกไปวนมาเช่นนี้
สมมติว่า ถ้าเหตุวินาศกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะความร่วมมือของ “พี่เบิ้ม” มหาอำนาจโลกกับกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ทางการเมืองชาวไทยจริง เพราะไม่ต้องการให้รัฐบาล คสช.ปกครองประเทศไทยอีกต่อไป รัฐบาล คสช.จะกล้าพอที่จะบอกว่า นี่คือการก่อการร้ายหรือไม่
รัฐบาล คสช.จะกล้าพอที่จะยอมรับว่าการก่อการร้ายได้คืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยจริงๆ ในยุคของตนเองหรือไม่
ถ้ายอมรับ สิ่งที่จะตามมาย่อมหนีไม่พ้นความหวาดกลัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ การลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างหนักหนาสาหัส
และแน่นอนว่า ทฤษฎีนี้ มิใช่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประหวัดนึกไปถึงปูมประวัติของ “ทูตคนใหม่” ซึ่งพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกส่งมานั่งสอดแนมในประเทศไทย ก็ยิ่งเห็นเค้าลางของความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น เพราะการที่พันธมิตรอันแนบแน่นส่ง “นักการทูตชั้นลายคราม” เข้ามาประจำในประเทศไทย ย่อมเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
ทูตของพี่เบิ้มผู้นี้ เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ตั้งแต่ พ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านั้น เคยเป็นผู้แทนพิเศษด้านนโยบายเกาหลีเหนือ ระหว่าง พ.ศ. 2555 - 2557 และปฏิบัติราชการในตัวแทนของพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกประจำสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา และทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency - IAEA) ระหว่างปี พ.ศ. 2552 - 2555
ก่อนหน้านั้นยังเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Council - NSC) ระหว่างปี พ.ศ. 2540 - 2542 รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศและรองผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายกิจการสาธารณะระหว่าง พ.ศ. 2538 - 2540 และขณะที่ก่อนหน้านั้น เคยไปปฏิบัติราชการในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และ ซาอีร์
การที่พี่เบิ้มมหาอำนาจวางนักการทูตระดับเซียนซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาประจำการในประเทศไทยย่อมไม่ธรรมดา เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า พี่เบิ้มไม่พอใจสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่อำนาจตกอยู่ในมือรัฐบาลทหาร และมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับผู้นำสูงสุดแห่งรัฐไทยใหม่ขนาดไหน
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อคราวที่ “คนระดับรัฐมนตรี” ซึ่งดูแลกิจการเอเชีย-แปซิฟิก มาแสด
งปาฐกถาที่สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนม.ค. 2558 พร้อมกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทย การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง รวมถึงการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หรือล่าสุดก็คือกรณีที่โฆษกพี่เบิ้มมีถ้อยแถลงแสดงความไม่เห็นด้วยกับโทษของผู้ที่กระทำผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้การรับรองการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี เพราะเป็นสิ่งที่ได้รับการปกป้องตามพันธะสัญญาและพันธกิจระดับสากลที่ไทยร่วมเป็นภาคี
นั่นแสดงให้เห็นว่าพี่เบิ้มมหาอำนาจโลกไม่พอใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีความเป็นไปได้ว่า ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้เหมือนเช่นที่เคยทำสำเร็จให้เห็นมาแล้วในหลายๆ ประเทศ
และถ้าความจริงเป็นเช่นนี้ รัฐบาล คสช.จะกล้ายอมรับหรือไม่
ทีนี้ สมมติว่า การวินาศกรรมดังกล่าวเป็นผลมาจากความไม่พอใจของประเทศมุสลิมกับนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่ส่ง “ชาวอุยกูร์” ซึ่งหลบหนีเข้าเมืองเมืองกลับคืนให้ประเทศจีน ดังที่นายแอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงให้ความเห็นว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “กลุ่มเกรย์วูล์ฟ(Grey Wolves) ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบชาวตุรกี รัฐบาล คสช.จะกล้ายอมรับความจริงหรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะกล้ายอมรับความจริงหรือไม่
เพราะต้องไม่ลืมว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผู้จุดชนวนวินาศกรรมอันนำมาซึ่งการเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนเป็นจำนวนมาก รวมถึงส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหนักหนาสาหัสก็คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์เอง
ส่วนถามว่า ประเด็นอุยกูร์มีความเป็นไปได้หรือไม่ วันนี้คงไม่อาจตัดประเด็นนี้ทิ้งไปเสียทีเดียว แต่ก็คงไม่ใช่เพราะพวกเขาลงมือตามลำพังหากแต่ต้องมีการหนุนหลังจากเครือข่ายระดับโลกซึ่งร่วมมือกับคนไทยบางคน ไม่เช่นนั้น มือระเบิดคงไม่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้
แต่ประเด็นสำคัญคือต้องไม่ลืมด้วยว่า พี่เบิ้มมหาอำนาจโลกหนุนหลังชาวอุยกูร์ และต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อดิสเครดิตประเทศจีนเช่นกัน ยิ่งสื่อมวลชนต่างชาติพยายามโยนไปที่ประเด็นนี้ก็ยิ่งน่าสงสัย
ดังนั้น โปรดอย่าแปลกใจอะไรกับการที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศเอาไว้ชัดถ้อยชัดคำว่า “คงต้องอาศัยโชค ถ้าตำรวจดวงแข็ง ก็อาจจะจับได้”
เพราะสุดท้ายแล้ว จุดจบของเรื่องนี้ อาจไม่มีอะไรในก่อไผ่ นอกจากวกไปวนมาหาความจริงไม่ได้ตลอดกัลปาวสาน
จับไม่ได้หรือไม่กล้าจับ
หาตัวมือระเบิดไม่ได้หรือไม่กล้าบอกความจริงกับคนไทยและคนทั้งโลก
เฉกเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ “เที่ยวบิน MH370” ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่า ตกเพราะอะไรและตกที่แห่งหนตำบลไหน
วันนี้ ฝ่ายความมั่นคงของไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์และ พล.อ.ประวิตรอาจยังหาทางออกในเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ