รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - อาเด็ม คาราดัก (Adem Karadag) ผู้ต้องสงสัยระเบิดราชประสงค์ ล่าสุด ถูกสถานทูตตุรกีออกมาปฏิเสธ “สถานะพลเมือง” โดยรอยเตอร์ชี้ว่า คาราดักอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องต่างชาติที่ได้หายตัวลึกลับ 1 วัน ก่อนถูกตำรวจจู่โจม และล่าสุด วันนี้ (31) ศาลไทยออกหมายจับผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 2 คน ในขณะที่สื่อทั่วโลกตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั้น เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย “Grey Wolves” ของตุรกีหรือไม่
ไทม์ รายงานวันนี้ (31) ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัย อาเด็ม คาราดัก (Adem Karadag) ยอมเปิดปากให้ข้อมูลกับตำรวจมากขึ้น โดยเปิดเผยว่า ตัวเขาเดินทางมาจากที่ใด
โดย พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวว่า “ผู้ต้องสงสัยยอมให้ความร่วมมือมากขึ้นในระดับหนึ่ง โดยระบุว่า เขาเดินทางมาจากที่ใด แต่ทว่าทางเราไม่ได้เชื่อในข้อมูลทั้งหมดที่รับทราบ และมาจนถึงเวลานี้ผู้ต้องสงสัยยังไม่ได้ยอมรับสารภาพ”
ไทม์รายงานต่อว่า รูปภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุยังเป็นหลักฐานสำคัญที่ระบุถึงชายสวมเสื้อสีเหลืองสะพายเป้ แต่ทางตำรวจไทยไม่เชื่อว่า ชายคนนี้และผู้ต้องสงสัยต่างชาติที่ถูกควบคุมในเวลานี้จะเป็นคนเดียวกัน
และนอกจากนี้ ไทม์ยังรายงานเพิ่มเติมว่า ฝ่ายไทยเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายที่ลงมือวางระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ มีแผนที่จะโจมตีที่อื่น ๆ อีกด้วย และในขณะนี้ทางการไทยได้ออกไล่ล่าหญิงไทยมุสลิมวัย 26 ปี ชื่อ วรรณา สวนสันต์ หรืออีกชื่อคือ ไมซาเลาะห์ ชาวพังงา ที่คาดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวต่างชาติที่ลงมือวางระเบิด
ซึ่งล่าสุดสื่อไทยได้รายงานในวันจันทร์ (31) ว่า มีการอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 2 คนในคดีนี้แล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ วรรณา และคนที่สองเป็นชายชาวต่างชาติไม่ระบุสัญชาติตามภาพสเกตช์ที่ได้เผยแพร่ในวันนี้ (31) ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยในห้องพักที่วรรณาเป็นผู้ลงนามเซ็นสัญญาเช่าให้
และรอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมถึงคาราดัก ผู้ต้องสงสัยมือวางระเบิดราชประสงค์ว่า เขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง แต่มีรูมเมตเป็นชายต่างชาติลักษณะสูง และมีเชื้อชาติเดียวกัน อาศัยอยู่ร่วมด้วย และชายนิรนามผู้นี้ยังเป็นผู้คอยจัดหาอาหารให้กับคาราดักอีกด้วย
โดยรูมเมตปริศนาถูกพบเห็นล่าสุดในวันพฤหัสบดี (27) และวันศุกร์ (28) ก่อนที่จะหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากนั้น ในขณะที่คาราดักถูกบุกจับในวันถัดมา
โดยทั้งคาราดักและเพื่อนร่วมห้องมีสิ่งของเก็บไว้ในที่พักเป็นต้นว่า ปุ๋ยยูเรีย อุปกรณ์ประกอบระเบิด และหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐตุรกี (Türkiye Cumhuriyeti) กว่า 10 เล่มที่ถูกยึดได้จากห้องพักของเขาที่ย่านหนองจอก มีนบุรี
ซึ่งมีรูปเขาอยู่ในบรรดาหนังสือเดินทางปลอมเหล่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม จากการรายงานของสื่อไทม์ส ระบุว่า สถานเอกอัคราชทูตตุรกีประจำไทย ล่าสุด ได้ออกมา “ปฏิเสธ” ถึงสัญชาติตุรกีของผู้ถูกจับกุมแล้ว
ทั้งนี้ รอยเตอร์ได้ส่งนักข่าวไปสัมภาษณ์เพื่อนบ้านที่อาศัยในละแวกที่พักของคาราดัก ผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติรายนี้ รวมไปถึงทีมตำรวจสอบสวน และชุมชนที่อาศัย และพบว่า คาราดัก ที่เป็นชาวมุสลิม นั้นมักไม่เดินทางออกจากนอกห้องพัก ที่ได้ทำสัญญาเช่าไว้จำนวนถึง 4 ห้องภายในตึกอพาร์ตเมนต์สีครีมส้มในย่านหนองจอก
โดยรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่าง DNA และรวมไปถึงรายละเอียดการใช้งานโทรศัพท์มือถือของเขาในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม นักข่าวรอยเตอร์ได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์คู่สามีภรรยาชาวไทยที่ได้เช่าห้องในชั้นเดียวกันกับที่คาราดักอาศัยอยู่ และพบว่า คาราดักไม่ได้อาศัยอยู่ตามลำพังภายในห้องเช่าแห่งนี้ แต่ทว่ามีรูมเมตที่เป็นชายชาวต่างชาติที่คาดว่าจะมีเชื้อชาติเดียวกันอาศัยอยู่ด้วยอีก 1 คน และคนทั้งคู่พบเห็นรูมเมทปริศนาล่าสุดในวันศุกร์ (28) ก่อนที่คาราดักจะถูกจับ
โดยสามีชาวไทยผู้ให้สัมภาษณ์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงชายชาวต่างชาติที่ล่องหนว่า “เป็นคนที่สูงกว่าคาราดักมาก” และทั้งสามีและภรรยาชาวไทยยังยอมรับกับรอยเตอร์ ว่า คนทั้งคู่จำได้ทันทีหลังจากได้เห็นภาพสเกตช์ของคนร้ายเผยแพร่ทางโทรทัศน์
นอกจากนี้ แหล่งข่าวรอยเตอร์ยังเปิดเผยต่อว่า บางทีเห็นชายชาวต่างชาติคนนี้กำลังนั่งทำละหมาดบริเวณโถงทางเดิน และเป็นสิ่งที่น้อยครั้งมากที่จะเห็นเขาออกมาภายนอก และดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะใจจดใจจ่อกับสิ่งหนึ่ง และเดินอย่างมีวัตถุประสงค์
และพยานคู่สามีภรรยากล่าวว่า “คนพวกนี้เงียบมาก และดูเหมือนคนตัวสูงจะเป็นผู้ซื้อหาอาหารสำหรับตัวเขาและคาราดัก”
และนักข่าวรอยเตอร์ได้มีโอกาสสอบถามพ่อค้าแม่ขายที่ตั้งร้านไม่ห่างจากอพาร์ตเมนต์ของคาราดักและพบว่า รูมเมตของคาราดักนั้นกล่าวเป็นคำภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่คำเท่านั้น และถูกพบเห็นจากพ่อค้าแม่ขายเหล่านี้ครั้งล่าสุดในวันพฤหัสบดี (27) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
รอยเตอร์รายงานต่ออีกว่า คาราดักสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับชุมชนมุสลิมหนองจอกที่มีค่าครองชีพที่ต่ำ และเป็นแหล่งชุมชนที่มีชาวต่างชาติอาศัยร่วมอยู่เป็นจำนวนมาก โดย กันทรี ศรีสมบัติ (Khantree Srisombat) วัย 42 ปี ที่อาศัยในบริเวณเดียวกันได้ให้ข้อมูลกับนักข่าวรอยเตอร์ว่า “อพาร์ตเมนต์ที่ถูกตำรวจบุกจู่โจมนี้มักมีกลุ่มชาวต่างชาติมาเช่าอาศัยเสมอ” และเสริมว่า “ถือเป็นเรื่องปกติที่นี่”
ด้านเจ้าของอพาร์ตเมนต์ตึกสีครีมส้มแห่งนี้ที่เปิดเผยเพียงว่าชื่อ “อนันต์” กล่าวเพียงว่า ผู้มาติดต่อขอเช่าห้องพักใช้เอกสารประจำตัวของพลเมืองชาวตุรกี แต่ไม่ใช่คาราดักที่ถูกจับกุม
และรอยเตอร์ยังรายงานเพิ่มเติมต่ออีกว่า แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สอบสวนไทยให้ข้อมูลว่า ห้องเช่าจำนวน 2 ห้อง ถูกใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์ประกอบระเบิด รวมไปถึงปุ๋ยยูเรีย ระเบิดทีเอ็นที ระเบิดซีโฟร์ โซเดียมคาร์บอเนต ภาชนะบรรจุขนาดใหญ่ทำด้วยพลาสติกและเหล็ก ฟิวส์พร้อมสาย ไฟฉาย ไขควง และเทปพัน
โดยแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายไทยยืนยันกับรอยเตอร์ในขณะนั้น ว่า “ผู้ต้องสงสัยไม่ยอมให้การอะไรออกมา” นับตั้งแต่ถูกจับกุมตัวจากห้องพัก
นอกจากนี้ รอยเตอร์รายงานต่อว่า ในบรรดาหลักฐานที่ยึดมาได้จากห้องพัก มีพาสปอร์ตปลอม 2 เล่มที่มีรูปหน้าชายต่างชาติที่ถูกจับกุมภายใต้ชื่อตามเอกสาร อาเด็ม คาราดัก (Adem Karadag) และระบุปีเกิดปี 1987 และปี 1985 อยู่ในนั้น
แต่ทว่าอย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย ยังแถลงยืนยันอ้างว่า “ไม่ใช่การก่อการร้าย” แต่เป็นการล้างแค้นส่วนตัวให้กับเพื่อนเท่านั้น ในขณะที่สื่อต่างชาติทั่วโลก เช่น เดลีเทเลกราฟ สื่ออังกฤษ ได้รายงานในวันเสาร์ (29) ว่า เงื่อนงำการโจมตีแยกราชประสงค์อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายตุรกี “Grey Wolves” โดยสื่ออังกฤษชี้ว่า ทุกสายตาจับจ้องไปที่กลุ่มนี้หลังจากมีการจับตัวคาราดักได้ในกรุงเทพฯ
โดย เดลี เทเลกราฟ ชี้ว่า การลงมือโจมตีแยกราชประสงค์ล่าสุด เพราะทางกลุ่มอาจต้องการ “แก้แค้นที่ทางการไทยได้ขับชาวอุยกูร์นับร้อยออกนอกประเทศ” ก็เป็นได้
โดยสื่ออังกฤษยังตั้งข้อสงสัยว่า เหตุการณ์ขับอุยกูร์กลับจีนอาจทำให้ทั้งชาวจีนและชาวไทยตกเป็นเป้าหมายหลักถูกก่อการร้าย เพราะเมื่อพิจารณาถึงสถานที่เกิดเหตุเป็นที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะจากจีน ฮ่องกง และไทเป เป็นจำนวนมาก
และมาถึงวินาทีนี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศความรับผิดชอบถึงเหตุการณ์ระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณแห่งนี้
สื่ออังกฤษรายงานต่ออีกว่า ชื่อของกลุ่ม Grey Wolves ถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกจากแอนโธนี เดวิส (Anthony Davis) นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงประจำกรุงเทพฯให้กับหน่วยงาน IHS-Jane's ซึ่งเชื่อมั่นว่า การระเบิดใจกลางกรุงเทพฯครั้งนี้ เป็นฝีมือกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงกลุ่มนี้ และไม่เป็นเพียงแต่เท่านั้น เดวิส ยังเชื่อว่า Grey Wolves นั้น อยู่เบื้องหลังการโจมตีสถานทูตไทยในตุรกีที่ผ่านมา