ASTVผู้จัดการรายวัน-"สมยศ"ยันคดีบึ้มราชประสงค์คืบหน้า ไม่ได้วนในอ่าง แต่ขอไม่เปิดเผยจนกว่าจะได้หลักฐานชัด ย้ำตำรวจทำงานมากกว่าที่เป็นข่าวหลาย 10 เท่า วอนสื่ออย่าแข่งออกข่าวจนทำการสืบสวนผิดเพี้ยน เผยล่าสุดตรวจโทรศัพท์ต้องสงสัยจนเหลือแค่ 2 เบอร์ "จักรทิพย์"ย้ำยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง แม้สื่อชี้นำประเด็นอุยกูร์ เผยคดีบึ้มสาทรคืบหน้า ศาลออกหมายจับชายเสื้อฟ้าแล้ว ส่วนระเบิดราชประสงค์ได้ผลตรวจDNA แล้ว แต่ยังเปิดเผยไม่ได้
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทร ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำทุกอย่าง ทำทุกเรื่องและทุกกรณีที่เป็นข้อสังเกตข้อสงสัยหรือมีข้อแนะนำทั้งจากผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ ตลอดจนข้อแนะนำของพี่น้องประชาชน เราฟังทุกเรื่องและนำไปวิเคราะห์ หากเป็นเรื่องที่ควรทำควรดำเนินการ 7-8 วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถและทำมากกว่าที่เป็นข่าวหลายสิบเท่า แต่เราไม่ได้มาชี้แจงหรือไม่ได้มาแถลงข่าว เพราะบางเรื่องก็ชี้แจงไม่ได้ บางเรื่องก็แถลงไม่ได้ แต่ยืนยันว่าได้ทำไปแล้วในทุกๆ มิติ
"เราจะชี้แจงและบอกได้ก็ต่อเมื่อเรามีพยานหลักฐานยืนยันและบ่งบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างที่ผมว่าเป็นไปได้ทุกเรื่อง อย่ารีบด่วนสรุป การแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็เป็นสิ่งที่ชอบตามสิทธิ แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป ใครจะสรุปยังไงก็แล้วแต่ท่าน แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สรุป และไม่สนุกด้วย เพราะการรีบด่วนสรุปอาจจะส่งผลกระทบกับบุคคล หน่วยงาน องค์กร สถาบัน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ระดับประเทศ และอาจเป็นการทำให้มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ส่วนเรื่องแสดงความคิดเห็นใครก็แสดงได้ เป็นเรื่องที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันไป แต่ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองยังไม่เคยสรุปในประเด็นใด และก็ยังไม่เคยตัดประเด็นใด"ผบ.ตร.กล่าว
***วอนสื่ออย่าแข่งออกข่าวจนผิดเพี้ยน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การไม่สรุปประเด็น หรือจับตัวผู้ก่อเหตุไม่ได้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ต่างชาติได้อย่างไร พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ยังไม่อยากสรุปเดี๋ยวกลุ่มที่ถูกพาดพิงจะเกิดความเสียหาย จะกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ส่วนสื่อมวลชน สำนักข่าวไหนจะยืนยันอย่างไรก็แล้วแต่เขา เพราะเขาอาจมีข้อมูล หรือคิดมโนไปเอง แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานความมั่นคงของประเทศยังไม่ยืนยัน
"ปัจจุบันสื่อมวลชนมีหลายสำนักและกำลังแข่งขันกันอยู่เพื่อธุรกิจของตัวเอง ใครเสนอข่าวก่อนก็ได้เปรียบ บางครั้งไม่เป็นข่าวก็สร้างเรื่องให้เป็นข่าว ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ เพราะการสร้างเรื่องให้เป็นข่าวมันเป็นคนเดียวที่ได้ข่าว ได้เครดิต การรีบเร่งเกินไปบางครั้งถ้าข่าวนั้นไม่เป็นความจริง อย่างตำรวจได้ตัวพยานมาคนหนึ่งไม่ว่าคดีใด สอบปากคำหลายครั้งเปลี่ยนคำถามในการสอบ แล้วต้องนำไปเทียบเคียงกับข้อมูลที่เคยให้เอาไว้ก่อนหน้านั้น หรือพยานบุคคล กล้องวงจรปิด หรือต้องใช้เทคโนโลยีอื่นๆ มาประกอบเพื่อยืนยันกับคำให้การ และเมื่อสื่อเอาไมค์ไปจ่อปากเขาก็พูดไปโดยไม่ตรงกับการสืบสวนของตำรวจจะทำอย่างไร เป็นการก่อปัญหาในการทำงานของตำรวจ” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.อ.สมยศยกตัวอย่างให้เห็นว่า กรณีการสอบปากคำ พยานคนหนึ่งบอกว่าคนร้ายพูดภาษาไทยไม่เป็น พยานอีกคนบอกพูดไทยเป็นด้วย แล้วตำรวจจะเชื่อใคร ก็ต้องไปตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด แต่ปรากฏไม่เป็นไปตามที่พยานพูด หรือกรณีคนร้ายไปลงที่สีลมซอย 9 ก็ไม่เป็นความจริง เพราะพยานที่ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างบอกว่าส่งแค่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 พร้อมกับขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการเสนอข่าว เพื่อไม่ให้เสียหายต่อรูปคดี เพราะสุดท้ายมันส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติ
***ตรวจโทรจนเหลือที่สงสัยแค่2เบอร์
พล.ต.อ.สมยศกล่าวอีกว่า สำหรับกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร มี่ผ่านมา ตนไม่ได้กล่าวหาว่ากล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานครพัง ไม่พังก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว เพียงแต่ภาพมันไปลงที่สีลมซอย 9 ได้อย่างไรไม่ทราบ ภาพมันไม่ต่อเนื่อง แล้วพอมาสอบปากพยานกลับให้ข้อมูลไม่ตรงกับหลักฐาน และภาพจากกล้องที่ตำรวจได้มา หลายครั้งพยานให้การผิดไปจากเทคโนโลยี จึงเกิดความสับสนในการสืบสวน แต่ยืนยันว่าการสืบสวนคดีนี้คืบหน้าไปเรื่อยๆ แต่ตนขอไม่เปิดเผย
เมื่อถามถึงการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เราตรวจสอบจากหลายหมื่นเบอร์จนเหลือสองเบอร์ เราตรวจสอบไปมากกว่าที่เป็นข่าว
***ยันยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ หลังมีกระแสข่าวที่ว่าชุดสืบสวนได้นำตัวผู้ต้องสงสัยชาวตุรกีมาสอบสวน ว่า ตนยังไม่ทราบและยังไม่ได้รับรายงานแต่อย่างใด ขอเวลาตรวจสอบในเรื่องนี้ก่อน โดยจะสอบถามไปยังชุดสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ว่าถ้าหากมีการสอบสวนจริง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดออกและไม่ได้ให้น้ำหนักประเด็นใดเป็นพิเศษตามที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ย้ำมาโดยตลอด
"เพิ่งทราบข่าวจากสื่อมวลชนเช่นกันว่ามีประเด็นของกลุ่มเกรย์วูล์ฟ จากประเทศตุรกี แต่โดยปกติแล้ว คนกลุ่มแบบนี้มันก็มีอยู่แล้ว เช่น กลุ่มคลั่งศาสนาหรืออะไรทำนองนี้ ที่ประเทศอื่นก็มีอยู่แล้วเช่นกัน อย่างในประเทศไทยเท่าที่ทราบก็มี อาทิ สมาคมฝ่าหลุนกง ซึ่งจากการทำงานด้านความมั่นคงไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มนี้เท่านั้น"
***อินเตอร์โพลส่งข้อมูลแต่ยังไม่ใช่คนร้าย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวถึงการประสานต่างประเทศให้ตรวจสอบข้อมูลคนร้าย ว่า ขณะนี้ได้ส่งข้อมูลไปให้อินเตอร์โพลเพื่อให้ช่วยตรวจสอบข้อมูลคนร้ายตามหมายจับแล้ว ตามที่ไทยมีสนธิสัญญาด้วย เพียงแต่ปัญหาตอนนี้ คือ เรายังไม่รู้ชื่อคนร้าย จึงระบุประเทศไม่ได้ ซึ่งเท่าที่ได้รับข้อมูลประสานกลับมายังไม่ใช่คนร้ายตามหมายจับ
"ตอนนี้สื่อต่างๆ และสื่อออนไลน์มีการชี้นำในประเด็นชาวอุยกูร์กันไปแล้ว แต่ตำรวจไม่กังวล เพราะทำไปตามพยานหลักฐานเพื่อความถูกต้อง ซึ่งตำรวจก็อยากรู้เช่นกันว่าเป็นกลุ่มไหนที่มาทำกับประเทศไทยแบบนี้ สำหรับการส่งกลับชาวอุยกูร์ทางรัฐบาลก็ทำตามหลักกฎหมายถูกต้องแล้ว ส่วนทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรนั้นก็เป็นเรื่องของเขา เขาไม่ทำอะไรนอกจากมีหน้าที่จับผิดเจ้าหน้าที่" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว
เมื่อถามถึงประเด็นกลุ่มชาวเติร์กหัวรุนแรงในตุรกีที่เคยก่อเหตุเผาสถานทูต พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ก็กำลังตรวจสอบในเรื่องนี้อยู่ ขณะนี้อะไรที่เป็นเบาะแส เป็นข่าว เราก็ได้พิสูจน์ทราบเกือบทุกเรื่อง
***ขอเวลาพิสูจน์บึ้ม2ที่เชื่อมโยงกันหรือไม่
ถามว่า จริงหรือไม่ที่ตำรวจมีอุปสรรคในการสืบสวนจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่าไม่ถึงกับเป็นอุปสรรค เพียงแต่อาจเกิดความบกพร่องจากเทคโนโลยีของกล้องต่างๆ ซึ่งทางกรุงเทพมหานคร เขาก็ได้ให้ความร่วมมือมาตลอดในทุกคดี
เมื่อถามว่าที่ท่าน้ำสาทรกับแยกราชประสงค์ยืนยันได้หรือยังว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า ขอเวลาพิสูจน์ก่อน ในทุกวันนี้กำลังทำอยู่ เพราะถูกถามตลอดว่าเชื่อมโยงหรือไม่ คนร้ายออกไปหรือยัง
***จ่อออกหมายจับมือบึ้มท่าเรือสาทร
ถามว่ามีคำถามทุกวัน รู้สึกกดดันหรือไม่ รอง ผบ.ตร. ตอบว่า ปกติ เราก็อยากได้ตัวคนร้าย ทำงานเต็มที่ ชุดทำงานผมเดินหน้าตลอด มีความคืบหน้าในบางด้าน ไม่ถึงกับไม่มีความคืบหน้าเสียเลย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวต่อว่า คดีนี้มีความคืบหน้าพอสมควร ส่วนจะมีความชัดเจนจนสามารถออกหมายจับมือระเบิดที่ท่าเรือสาทรหรือยังนั้น เราต้องตรวจสอบให้เรียบร้อยเพื่อความรอบคอบ จริงๆ แล้วก็ออกได้ แต่ยังไม่ออก ดูความเชื่อมโยงอีกนิด รวมถึงดูรายละเอียดทางด้านธุรการด้วยว่าจะไปขอที่ศาลใด
"เหตุการณ์ที่สาทร จะเป็นความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นหรือไม่นั้น ผมก็ว่าเป็นไปได้ทั้งหมด เพราะถ้าเขาเจตนาจะฆ่าคนแบบที่ราชประสงค์ ก็คงวางบนบกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาลงไปในน้ำ ผมคิดเองว่าลูกแรกเขาทำสำเร็จแล้ว แต่ที่อยากรู้คือบังเอิญมาเกี่ยวข้องกับลูกที่สองได้อย่างไรเท่านั้นเอง" รองผบ.ตร.ระบุ
***ไม่จำเป็นต้องพึ่งไสยศาสตร์มาช่วย
เมื่อถามว่า แสดงว่ารู้แล้วว่ามีมูลเหตุการวางระเบิดจากเรื่องอะไรใช่หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า การสืบสวนมันก็ต้องคืบหน้าไปตามขั้นตอนอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นกลุ่มใด บนกระดานนักสืบ มันมีอยู่แล้ว
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตำรวจดำเนินการทุกอย่าง ทั้งปิดเมืองค้นหาคนร้าย ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ หรือตรวจสอบเส้นทางเข้าออกประเทศ เหลือที่ยังไม่ได้ไป คือ บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพึ่งทางไสยศาสตร์ แต่ยืนยันว่าคดีนี้ไม่ต้องพึ่งไสยศาสตร์
***นัดประชุมห้างแนะนำการใช้กล้องวงจรปิด
วันเดียวกันนี้ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อม พ.ต.อ.จารุต ศรุตยาพร ผกก.สน.ปทุมวัน เดินทางตรวจสอบระบบการรักษาความปลอดภัย CCTV ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของห้างสรรพสินค้า เพื่อให้คำแนะนำและเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย รวมถึงการติดกล้องให้มีความคมชัดมากขึ้น
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า เป็นการนัดหมายกับทางห้างเซ็นทรัลเวิลด์และช่วยกันพัฒนาบริเวณห้างสรรพสินค้าให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และในวันที่ 3 ก.ย.นี้ จะมีการเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยของทางห้าง จำนวน 400-500 คน เข้าอบรมเกี่ยวกับการรับมือในสถานการณ์ต่างๆ ส่วนในเรื่องของภาพวงจรปิด ก็มีการนำเสนอว่าให้มีการติดกล้องให้มีระยะความถี่และต่อเนื่อง โดยเฉพาะจุดทางเดินสกายวอล์ค และในจุดบริเวณทางเข้า-ออกห้างสรรพสินค้า โดยจะเน้นให้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดในระดับสายตาให้มากขึ้น และจะมีการเรียกประชุมผู้บริหารห้างดังต่างๆ ในพื้นที่ กทม. เข้าประชุม เพื่อชี้แนะในการใช้กล้องวงจรปิดร่วมกับอุปกรณ์ไบโอแมทริค ที่ทางสำนักนายกรัฐมนตรีเตรียมไว้ให้ โดยจะใช้ตรวจยืนยันตัวบุคคลที่เข้า-ออก เพื่อให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นในวันที่ 1 ก.ย.นี้
***ได้ผลตรวจดีเอนเอแล้วแต่เปิดเผยไม่ได้
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวต่อว่า ในส่วนของความคืบหน้าคดีระเบิด ผลดีเอ็นเอจากการตรวจสอบธนบัตรและจากการตรวจรถแท็กซี่ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ส่งผลตรวจมาให้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากจะเสียรูปคดี และทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบกล้องวงจรปิดย้อนหลังไปอีก 1 เดือน เพื่อหาว่ามีบุคคลต้องสงสัยเข้ามาในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุหรือไม่ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการตรวจสอบของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
***ชี้ไทยไม่ใช้เป้าหมายขอบ"เกรย์ วูล์ฟส"
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่าผู้ก่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์อาจะเป็นชาวตุรกี หรือเกรย์ วูล์ฟส ว่า ก็สันนิษฐานกันไปเรื่อย เพราะยังไม่มีเบาะแส ข่าวที่ออกมา ก็เป็นเพียงข้อวิเคราะห์เฉยๆ แต่เท่าที่ทราบ คือ เกรย์ วูล์ฟส เหล่านี้ เป็นกลุ่มชาตินิยม ชอบใช้ความรุนแรง แต่เราไม่เคยพบในประเทศไทย ไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ในบ้านเรา ตอนนี้เราไม่สามารถระบุได้ว่า คนที่ดำเนินการ เป็นกลุ่มไหน อย่างไร จนกว่าจะจับตัวมือวางระเบิดตามคลิปได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า โดยศักยภาพแล้ว เกรย์ วูล์ฟส สามารถกระทำการเช่นนี้ได้หรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ แต่ประเทศไทยไม่ใช่พื้นที่เป้าหมายเขา
เมื่อถามว่า จากนี้จะต้องมีมาตรการที่เข้มงวดอย่างไรบ้าง นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า ตอนนี้ไม่ว่าจะมีเบาะแสอะไร เราก็ตรวจสอบและระมัดระวังหมด ด้านการข่าวมีการทำมากขึ้น มีการทำงานร่วมกันชัดเจนขึ้น ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีการดูแลรักษาความปลอดภัยสถานที่ต่างๆ รวมถึง สถานที่ท่องเที่ยวได้มากขึ้น ให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวได้ดีขึ้น
***ต่างชาติร่วมแชร์ข้อมูลต้องรับฟัง
เมื่อถามกรณีที่ทางอังกฤษเสนอตัวที่จะเข้ามาช่วย มาร่วมมือด้วย นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ความร่วมมือกับต่างประเทศ มีหลายลักษณะ ที่ทำมาโดยตลอด ก็คือ การแชร์ข้อมูล แชร์เบาะแส แชร์การวิเคราะห์ แต่ถ้าจะร่วมมือมากกว่านี้ ก็แล้วแต่จะพิจารณากัน อย่างไรก็ตาม เบาะแสต่างๆ ที่ตำรวจมีขณะนี้ คงไม่สามารถบอกสังคมได้ทุกเรื่อง เพราะมีข้อจำกัด ที่อาจกระทบกับการสอบสวน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต่างประเทศส่งสัญญาณมาแบบนี้ เราต้องรับฟังหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า เราต้องรับฟัง แต่เราเองก็มีข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อถามว่า ส่วนตัวมั่นใจว่าจะจับคนร้ายได้หรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า คิดว่ามันต้องได้อะไรที่มากกว่านี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า แต่ละกรณีที่ผ่านมา มีทั้งได้เร็ว และได้ช้า บางกรณีก็ต้องตรวจสอบย้อนหลังไปนาน ต้องเข้าใจด้วย
***อนุมัติหมายจับชายเสื้อฟ้า
รายงานข่าวจากทีมสืบสวน แจ้งว่าศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับผู้ต้องหาคดีระเบิดที่สะพานสาทร ตามหมายจับเลขที่ 572/58 ลงวันที่ 27 ส.ค. โดยหมายจับระบุว่า ผู้ต้องหาเป็นชายชาวเอเชีย อายุประมาณ 25 - 30 ปี สูงประมาณ 170 ซม. ผิวขาวเหลือง ผมดก ผิวเข้ม จมูกโด่ง สวมเสื้อสีฟ้า ดยหมายจับระบุข้อหา “มี, ใช้, ด้วยประการใด ๆ ซึ่งวัตถุระเบิด โดยไม่ได้รับอนุญาต กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน