ASTV ผู้จัดการ - ผบ.ตร.ปัดไม่เคยบอกว่ากล้องวงจรปิด กทม.พัง เพียงแต่ไม่ชัด ยันคดีบึ้มแยกราชประสงค์คืบหน้าแต่ขอไม่เปิดเผยจนกว่าจะได้หลักฐานชัด ย้ำตำรวจทำงานมากกว่าที่เป็นข่าว 10 เท่า ติงสื่อชอบสัมภาษณ์พยานแล้วขัดแย้งกับที่ให้การตำรวจ พร้อมเผยผลตรวจเทียบเคียงพบมีระเบิดคล้ายกันในหลายๆ ที่ แต่ขอไม่ระบุ ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์แล้ว จากหลายหมื่นจนเหลือสองเบอร์
วันนี้ (27 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทร ตามที่มีกระแสข่าวว่ามีการตรวจสอบการเดินทางเข้าออกของชาวตุรกีย้อนหลัง 15 วันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำทุกอย่าง ทำทุกเรื่องและทุกกรณีที่เป็นข้อสังเกตข้อสงสัยหรือมีข้อแนะนำทั้งจากผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ ตลอดจนข้อแนะนำของพี่น้องประชาชนเราฟังทุกเรื่องและนำไปวิเคราะห์หากเป็นเรื่องที่ควรทำควรดำเนินการ 7-8 วันที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถและทำมากกว่าที่เป็นข่าวหลายสิบเท่า แต่เราไม่ได้มาชี้แจงหรือไม่ได้มาแถลงข่าวเพราะบางเรื่องก็ชี้แจงไม่ได้ บางเรื่องก็แถลงไม่ได้ แต่ยืนยันว่าได้ทำไปแล้วในทุกๆ มิติ
“เราจะชี้แจงและบอกได้ก็ต่อเมื่อเรามีพยานหลักฐานยืนยันและบ่งบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างที่ผมว่าเป็นไปได้ทุกเรื่อง อย่ารีบด่วนสรุป การแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็เป็นสิ่งที่ชอบตามสิทธิ แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป ใครจะสรุปยังไงก็แล้วแต่ท่าน แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สรุป และไม่สนุกด้วย เพราะการรีบด่วนสรุปอาจจะส่งผลกระทบกับบุคคล หน่วยงาน องค์กร สถาบัน หรือ แม้แต่ความสัมพันธ์ระดับประเทศ และอาจเป็นการทำให้มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ส่วนเรื่องแสดงความคิดเห็นใครก็แสดงได้ เป็นเรื่องที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันไป แต่ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองยังไม่เคยสรุปในประเด็นใด และก็ยังไม่เคยตัดประเด็นใด” ผบ.ตร.กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การไม่สรุปประเด็น หรือจับตัวผู้ก่อเหตุไม่ได้ จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ต่างชาติได้อย่างไร พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ยังไม่อยากสรุปเดี๋ยวกลุ่มที่ถูกพาดพิงจะเกิดความเสียหาย จะกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้าน อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนสำนักข่าวไหนจะยืนยันอย่างไรก็แล้วแต่เขา เพราะเขาอาจมีข้อมูลหรือคิดมโนไปเอง แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานความมั่นคงของประเทศยังไม่ยืนยัน
“ปัจจุบันสื่อมวลชนมีหลายสำนักและกำลังแข่งขันกันอยู่เพื่อธุรกิจของตัวเอง ใครเสนอข่าวก่อนก็ได้เปรียบ บางครั้งไม่เป็นข่าวก็สร้างเรื่องให้เป็นข่าว ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ เพราะการสร้างเรื่องให้เป็นข่าวมันเป็นคนเดียวที่ได้ข่าว ได้เครดิต การรีบเร่งเกินไปบางครั้งถ้าข่าวนั้นไม่เป็นความจริง อย่างตำรวจได้ตัวพยานมาคนหนึ่งไม่ว่าคดีใด สอบปากคำหลายครั้งเปลี่ยนคำถามในการสอบ แล้วต้องนำไปเทียบเคียงกับข้อมูลที่เคยให้เอาไว้ก่อนหน้านั้น หรือพยานบุคคล กล้องวงจรปิด หรือต้องใช้เทคโนโลยีอื่นๆ มาประกอบเพื่อยืนยันกับคำให้การ และเมื่อสื่อเอาไมค์ไปจ่อปากเขาก็พูดไปโดยไม่ตรงกับการสืบสวนของตำรวจจะทำอย่างไร เป็นการก่อปัญหาในการทำงานของตำรวจ” พล.ต.อ.สมยศกล่าว และว่าอย่างกรณีการสอบปากคำพยานคนหนึ่งบอกว่าคนร้ายพูดภาษาไทยไม่เป็น พยานอีกคนบอกพูดไทยเป็นด้วย แล้วตำรวจจะเชื่อใคร ก็ต้องไปตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดแต่ปรากฏไม่เป็นไปตามที่พยานพูด ดังนั้นการเสนอข่าวควรระวังด้วยเพื่อไม่ให้เสียหายต่อรูปคดี สุดท้ายมันส่งผลเสียหายต่อประเทศชาติ
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า อย่างประเด็นเรื่องคนร้ายไปลงที่สีลมซอย 9 ก็ไม่เป็นความจริง ตนไม่อยากพูดเรื่องนี้เดี๋ยวไปกระทบหน่วยงาน พอภาพฟุตเทจมันไปลงที่สีลมซอย 9 ตำรวจก็ต้องตามไปลงพื้นที่หาข้อมูล แต่พอเอาเข้าจริงๆ พยานที่เป็นคนขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างบอกว่าส่งแค่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 จึงเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น บางครั้งตำรวจอาจทำงานช้าเพราะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมและถูกต้อง ตนไม่เชื่อเลยพวกพยานที่มาให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนเป็นต่อยหอยแบบนั้น ตนคุยกับเขาเองบอกไม่รู้เรื่อง แต่พอเจอสื่อมวลชนกลับพูดเป็นต่อยหอยเลย
พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงการเทียบเคียงวัตถุระเบิดว่า ตำรวจตรวจสอบไปมากแล้วจนพบมีระเบิดคล้ายกันในหลายๆ ที่ แต่ไม่อยากระบุว่าที่ไหนเพราะยังไม่มีหลักฐานชัดเจน เพราะจะเป็นการไปกล่าวหาบางกลุ่มบางคน
“ขอย้ำว่าผมเข้าใจว่าการรีบเสนอข่าวเป็นงานของสื่อมวลชน แต่พอมันพลิกกลับมา ไม่เฉพาะในประเทศที่เสียหาย แต่เวลาข่าวมันไปต่างประเทศแล้ว แก้ข่าวไม่ได้ เชื่อว่าสื่อต่างประเทศเขาไม่ได้รักประเทศไทยขนาดมาแก้ข่าวให้ เจ๊งก็เจ๊งไป วันนี้หลายคนเลยงงไปหมดว่าพยานพูดไม่ตรงกันแต่ละวัน ขอให้สื่อระมัดระวังในการเสนอข่าวด้วย” พล.ต.อ.สมยศระบุ
พล.ต.อ.สมยศกล่าวด้วยว่า สำหรับกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร มี่ผ่านมาตนไม่ได้กล่าวหาว่ากล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานครพัง ไม่พังก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว เพียงแต่ภาพมันไปลงที่สีลมซอย 9 ได้อย่างไรไม่ทราบ ภาพมันไม่ต่อเนื่อง แล้วพอมาสอบปากพยานกลับให้ข้อมูลไม่ตรงกับหลักฐาน และภาพจากกล้องที่ตำรวจได้มา หลายครั้งพยานให้การผิดไปจากเทคโนโลยี จึงเกิดความสับสนในการสืบสวน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการสืบสวนคดีนี้คืบหน้าไปเรื่อยๆ แต่ตนขอไม่เปิดเผย
เมื่อถามถึงการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า เราตรวจสอบจากหลายหมื่นเบอร์จนเหลือสองเบอร์ เราตรวจสอบไปมากกว่าที่เป็นข่าว