ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยิ่งนานวันระบบอุปถัมภ์ในเมืองลับแลสีกากียิ่งถูกสาวไส้ออกมาให้เห็นเป็นขดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรณีล่าสุดคือการถอดยศ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งถูกดองโดย “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และบัดนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีบทสรุปอย่างไรจากหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงคดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่ถูกจับในข้อหาพกพาอาวุธปืนเข้าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ได้สัมภาษณ์พิเศษ “วัชระ เพชรทอง” อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดเพื่อสะท้อนต้นสายปลายเหตุของสิ่งที่เรียกว่า “การปกป้องพวกพ้อง” ว่า เป็นเรื่องที่มิได้จืดจางไปเลยแม้แต่น้อย
กรณี พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ถูกจับอาวุธปืนที่ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้ความคืบหน้าเป็นอย่างไร
ผมขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ เพราะประการแรกเป็นอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ย่อมจะรู้กฎหมายดี ประการที่สอง ได้ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิขายขี้หน้าไปทั่วโลก คือสะท้อนถึงความบกพร่องของสนามบินสุวรรณภูมิไปทั่วโลก ทำให้นานาชาติไม่ให้ความเชื่อถือ ตรงนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงเกียรติภูมิการรักษาความปลอดภัยของประเทศอย่างย่อยยับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ควรที่จะเอาจริงเอาจังและดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด อย่าได้หาทางปกป้องหรือช่วยเหลือกันเป็นอันขาด เพราะพี่น้องประชาชนจับตาดูอยู่ ถ้าหาก พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ถูกศาลตัดสินแล้วมีความผิดจริงก็ต้องถูกถอดยศเช่นเดียวกับ ทักษิณ ชินวัตร เพราะครบองค์ประกอบความผิดทางกฎหมายที่จะเนินการถอดยศตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
แต่เรื่องนี้อาจจะไม่ง่าย เพราะอย่างที่พี่น้องประชาชนรู้กันทั้งประเทศว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้นมักจะช่วยเหลือกันให้พ้นผิด คือพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า สำหรับพี่น้องประชาชนทั่วไปนั้นอาจจะอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน แต่สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คนรวย คนมีฐานะ หรือนักการเมืองที่มีอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมายมาโดยตลอด ซึ่งตรงนี้ถือเป็นช่องว่างของนิติรัฐนิติธรรมของประเทศไทย ที่ซึ่งจะต้องได้รับการแก้ไขให้ทุกคนอยู่เสมอภาคภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันต่อไป
การที่มีบุคคลลักลอกนำวัตถุระเบิด หรืออาวุธปืนขึ้นไปบนอากาศยานนั้นมีความผิดตาม พ.ร.บ.อากาศยานไทย อยู่แล้ว ซึ่งผู้เสียหายก็คือ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ถ้าการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยไม่แจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ณ ที่เกิดเหตุ ที่มีสถานีตำรวจสุวรรณภูมิตั้งอยู่ ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยก็จะถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามประมาลกฎหมายอาญามาตรา157 ได้
แม้วันนี้อาจจะไม่มีใครไปร้องทุกข์กล่าวโทษท่าน แต่อายุความนั้น 10 ปี ถ้าท่านหมดอำนาจลงไปแล้วก็อาจมีคนไปร้องเรียนไปร้องทุกข์ต่อ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินคดีกับท่านต่อไป ท่านต้องเลือกเอาระหว่างที่จะรักษากฎหมาย หรือการที่จะช่วยบุคคลใดบุคคลหนึ่งให้พ้นจากการรับผิดตามกฎหมาย ท่านต้องเลือกระหว่างการรักษากฎหมายกับระบบอุปถัมภ์เลือกประการใด? เพราะไม่ได้เป็นความผิดของผู้อำนวยการ ทอท. แต่ถ้าท่านไม่ไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานในฐานะผู้เสียหาย ซึ่งท่านเป็นผู้เสียหายโดยตรงท่านก็อาจจะถูกร้องโทษต่อ ป.ป.ช.
แม้ ทอท. จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่ก็เพิกเฉยที่จะดำเนินคดี
มีสัญญาณบ่งบอกทำนองนั้น ทอท. ทำไมถึงไม่ไปแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ และฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วย ในฐานะที่ทำให้ชื่อเสียงของสนามบินสุวรรณภูมิเสียหายไปทั่วโลก ทีกรณีของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การแสดงออกตามวิถีของระบอบประชาธิปไตย ท่านกลับไปแจ้งความดำเนินคดีและฟ้องทางแพ่ง เป็นจำนวนเงินถึง 600 ล้านบาท ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านควรใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ควรละเว้นเพิกเฉย หรือไม่ดำเนินคดีใดๆ ทั้งอาญาและแพ่งกับ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ผู้ซึ่งทำให้สนามบินสุวรรณภูมิชื่อเสียงเสียหายไปทั่วทั้งโลก
คาดการณ์บทสรุปการถอดยศ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ ไว้อย่างไร
ผมเชื่อว่าในกรณีของ พล.ต.ท. คำรณวิทย์ สำนักงานตำรวจฯ คงไม่ดำเนินการใดๆ เหมือนเช่นเคยถ้าหากไม่มีใครไปกระตุ้นหรือร้องเรียน เพราะตำรวจเหล่านี้ย่อมจะปกป้องพวกเดียวกัน นี่คือระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทย ถ้าเกิดไม่มีการแก้ไข คนมีอำนาจ ตำรวจ ผู้มีอิทธิพล นักการเมือง ทำผิดแล้วไมได้รับโทษตามกฎหมาย ถามว่าสังคมเราจะอยู่กันอย่างไร? จะให้พี่น้องประชาชนตาดำๆ ทั่วไปรับผิดตามกฎหมายเพียงพวกเดียวหรือ? แล้วอีกพวกหนึ่งมีชนชั้นที่เหนือกว่าพี่น้องประชาชนทั่วไปหรือ? สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เหนือกว่าประชาชนทั่วไป ผู้มีอำนาจรัฐต้องแก้ไขจุดนี้ให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และสังคมก็จะเป็นปกติสุข
กรณีการถอดยศ นช.ทักษิณ ชินวัตร
อุทธาหรณ์จากการถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร สะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายยังมีช่องว่างให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบได้โดยอาศัยอำนาจในหน่วยงานของตนเองที่บัญญัติขึ้น ควรจะบัญญัติเพิ่มระยะเวลาในการปฏิบัติ รวมทั้งในเรื่องการสอบสวนการทุจริตต่างๆ ถ้าไม่มีกรอบระยะเวลามากำหนดว่าต้องเสร็จสิ้น 1 ปี หรือ 3 - 6 เดือน หรือตามเงื่อนไขใดๆ ก็แล้วแต่ จะเป็นช่องว่างให้เจ้าพนักงานสามารถที่จะดองหรือดึงเรื่องต่อไปไม่มีกำหนดได้ อย่างเช่น กรณี ทักษิณ ชินวัตร
ผมเป็นเพียงผู้ที่ชี้เป้าให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกวาดขยะที่รกอยู่หน้าบ้าน ถ้าเจ้าหน้าที่ดำเนินการกวาดขยะเรียบร้อยแล้วก็เป็นหน้าเป็นตาของบ้านหลังนั้นว่ามีความสะอาดหมดจด ซึ่งถ้าการแก้ไขกฎหมายใดๆ ก็ตาม ถ้าไม่มีกรอบระยะเวลากำหนดไว้ เกิดกรณีเช่นนี้ซ้ำขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะสังคมไทย เป็นสังคมที่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์
การดำเนินการถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นไปด้วยความสะใจหรือความเกลียดชังอย่างที่บางคนกล่าวหา เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎหมายตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้นเอง ที่จริงแล้วถือเป็นเพียงงานธุรการปกติ
มีกระแสข่าวว่าการถอดยศ นช.ทักษิณ จะเกิดแรงกระเพื่อมทำให้สังคมแตกแยก
เป็นเรื่องที่ท่านนายกฯ ต้องพิจารณาว่าท่านจะยึดหลักกฎหมายให้คนที่เป็นคนไทยอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันทั้งประเทศ หรือจะให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายโดยกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถทำอะไรได้เลยอย่างนั้นหรือ? ผมไม่เชื่อว่าการถอดยศทักษิณจะทำให้สังคมไทยแตกแยกมากกว่าไปกว่านี้ ทักษิณ และพวกพ้องเผาบ้านเผาเมืองไปถึง 2 ครั้ง ทั้งยังพูดจาบจ้วงสถาบัน และดูหมิ่นดูแคลนกองทัพบกอีกด้วย ถ้าปล่อยให้ลอยนวลอยู่เหนือกฎหมาย ศักดิ์ศรีของ คสช. ก็จะสิ้นสูญทันที
มีอดีต ส.ส.เพื่อไทย ออกมาวิพากษ์คุณวัชระว่าทำไมไม่ออกมาเรียกร้องตั้งแต่สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์
ผมทำมาโดยตลอดครับ ยื่นมาโดยตลอด ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ได้พูดในสภาแล้วก็ไม่ฟังเอง คนที่พูดคือ นายวรชัย เหมะ ผมได้ไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้สอบสวน พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. คนที่แล้ว ผมไปให้การและนำหลักฐานไปให้เรียบร้อย ในยุครัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผมได้ยื่นมาโดยตลอด ผมเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ไม่ละทิ้งในเรื่องที่ดำเนินการแล้วไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชน หรือที่ได้รับการร้องเรียนจากพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องที่ได้รับการร้องเรียนมาเราได้ดำเนินการอย่างเป็นลำดับ แม้นว่าเราไม่มีตำแหน่งไม่มีเงินเดือนแล้ว ถ้าเราไม่ติดตามเรื่องราวเหล่านั้นต่อ เท่ากับเรารักประชาชนเฉพาะฤดูกาลเลือกตั้งเท่านั้น เราควรที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนตลอดเวลาแม้นว่าไม่มีเงินเดือนจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็ตามเพราะมันเป็นหน้าที่ที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์ เราต้องทำหน้าที่เพื่อสนองบุญคุณแผ่นดิน ผมเชื่อว่าผลการพิจารณาของกระทรวงยุติธรรมสามารตอบคำถามสังคมไทยได้ชัดเจน และจะเดินไปตามทิศทางใด
ผมขอฝากทิ้งท้ายในประเด็นเรื่องการถอดยศ อยากให้คำนึงถึงกฎหมายหลักของกฎหมายแห่งความเท่าเทียมกัน ถ้าลูกหลานของตาสีตาสายายมียายมาที่เป็นตำรวจไปกระทำความผิดแล้วออกจากราชการไปแล้วยังถูกตามไปถอดยศได้