ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ภาพการตบเท้าของบรรดา “ขุนทหารและขุนตำรวจ” น้อยใหญ่ ตลอดรวมถึงข้าราชการระดับสูงและนักธุรกิจที่พากันแห่แหนไปอวยพร ป๋าป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พี่ใหญ่ “บูรพาพยัคฆ์” เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 70 ปี ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ ซึ่งตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นั้น ต้องบอกว่า “ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ” จริงๆ
เป็นความยิ่งใหญ่ที่ต้องจดจารจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองของราชอาณาจักรไทยกันเลยทีเดียว
งานวันคล้ายวันเกิด “ป๋าป้อม” นั้น มิได้ต่างอะไรไปจากบรรยากาศการตบเท้าเข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดของ “ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เลยแม้แต่น้อย หรือถ้าจะใช้คำว่า แทบจะถอดแบบกันออกมาเลยก็คงจะไม่เกินเลยจากความจริง
เพราะนับเนื่องจาก พล.อ.เปรมเป็นต้นมา ไม่เคยมี “บิ๊กทหาร” คนใดก้าวขึ้นมามีบารมีใกล้เคียงหรือเทียบเท่าได้แม้แต่คนเดียว ยกเว้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
แถมไม่ใช่แค่มากบารมีในกองทัพเท่านั้น หากแต่ยังขยายขอบเขตกินอาณาบริเวณไปถึง “ตำรวจ” อีกด้วย
ยุคก่อนคำว่า “ลูกป๋า” ทรงพลานุภาพฉันใด
ยุคนี้คำว่า “น้องพี่ป้อม” ก็ทรงพลานุภาพฉันนั้น
วันที่ 10 สิงหาคม 2558 ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ พล.อ.ประวิตรได้เปิดให้ เปิดโอกาสให้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ตำรวจ บุคคลสำคัญ ข้าราชการ และหน่วยงานต่างๆ เข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 70 ปี ในวันที่ 11 สิงหาคม ซึ่งก็แน่นอนว่า แน่นขนัดไปด้วยบุคคลสำคัญในบ้านนี้เมืองนี้ทั้งสิ้น
เช่น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เรียกว่าพร้อมหน้าพร้อมตาทั้ง 4 เหล่า
แต่ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษก็เห็นจะเป็น “ตัวเต็ง” ในการชิงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) อย่าง พล.อ.ธีรชัย นาควานิช และพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และตัวเต็งในการชิงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่าง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า พล.อ.ประวิตรคือบุคคลที่มีส่วนสำคัญยิ่งในการตัดสินเก้าอี้ของทั้งสองตำแหน่ง
มากบารมีแค่ไหนถึงขนาด บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ถึงกับต้องประกาศ “มอบหัวใจ” ให้ “พี่ป้อม” ออกสื่อ ก่อนที่จะหยอดคำหวานตบท้ายว่า “พลเอกประวิตรเป็นพี่ชายที่รัก ความเป็นพี่เป็นน้องนั้นเป็นเพียงแค่วันเดียวก็เท่ากับเป็นทั้งชีวิต จึงให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันมาตลอด”
ก็จะไม่ให้ พล.อ.ประวิตรเป็นผู้มากบารมีสูงสุดในยุคนี้ได้อย่างไร เพราะเมื่อทอดสายตาไปถึงบุคคลสำคัญในบ้านนี้เมืองนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็น “น้องพี่ป้อม” แถมยังเป็นน้องพี่ป้อมสายตรงทั้งสิ้น
พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ก็เป็นน้องรักบูรพาพยัคฆ์
พล.อ.อนุพงษ์ รมว.มหาดไทย อดีต ผบ.ทบ.ก็เป็นน้องรักบูรพาพยัคฆ์
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ก็เป็นน้องรักบูรพาพยัคฆ์
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ก็ถือเป็นน้องรักสายตรงของพี่ป้อมที่ถูกส่งผ่านมาจาก “บิ๊กป๊อก-พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” อดีต ผบ.ตร.ผู้เป็นน้องชาย
ผบ.ทบ.คนต่อไป ไม่ว่าหวยจะออกที่ พล.อ.ธีรชัยหรือพล.อ.ปรีชา ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในเครือข่ายบูรพาพยัคฆ์
ผบ.ตร.คนต่อไป ไม่ว่าหวยจะออกที่ พล.ต.อ.เอกหรือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้องรักของพี่ป้อมทั้งสิ้น
รัฐมนตรีสายพลเรือนทั้งหมดที่อยู่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ล้วนแล้วคัดเลือกมาจาก “ประวิตรคอนเนกชัน”
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญก็มีคนของ “ประวิตรคอนเนกชัน” พรึ่บพรั่บเต็มไปหมด
ส่วนกระแสข่าวเรื่องความขัดแย้งและความระหองระแหงกับ พล.อ.ประยุทธ์น้องรัก ก็มิได้มีอะไรมากไปกว่าการละเล่นเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้น เพราะไม่มีทางที่คนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์จะกล้าขัดแย้งกับ พล.อ.ประวิตรได้
ยิ่งเมื่อย้อนดูเส้นทางชีวิตของ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะยิ่งเห็นความเท็จจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ปี 2553 พล.อ.ประวิตรก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และในปีเดียวกันนั้นเอง พล.อ.ประยุทธ์ก็ก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก
ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ป้อม มีหรือน้องตู่จะได้เป็น ผบ.ทบ.
ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ป้อม มีหรือน้องตู่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
“พล.อ.ประวิตรเป็นผู้ใหญ่และเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาที่ผมเคารพนับถือมากตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เป็นพี่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่เป็นผู้บังคับกองร้อย อยู่กองร้อยเดียวกัน พล.อ.ประวิตรสอนผมมาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ดีๆ ได้รับการสั่งสอนมาจากพี่ๆ ทั้งหมด ถ้าสิ่งใดที่ไม่ดีก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเราเอง วันนี้มาอวยพรในฐานะเป็นพี่ที่รัก เพราะการเป็นพี่เป็นน้องแค่วันเดียวหรือชั่วโมงเดียว ก็เป็นทั้งชีวิต ดังนั้น เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน”
นั่นคือคำยืนยันที่ออกมาจากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ มาขยายความเพิ่มเติม
ดังนั้น นับจากนี้เมืองไทยจะเดินไปในทิศทางใดย่อมต้องจับตามอง “คำพูด คำให้สัมภาษณ์และปฏิกิริยา” ของ พล.อ.ประวิตรเป็นสำคัญ
และล่าสุด “สัญญาณพิเศษ” ที่ออกจากปากของ พล.อ.ประวิตรถึงกรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอคำถามประชามติตั้ง “รัฐบาลปรองดองแห่งชาติ” แก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศก็ทำให้สถานการณ์การเมืองไทยร้อนฉ่าขึ้นมาในฉับพลันทันที
ความเห็นของ พล.อ.ประวิตร มีดังต่อไปนี้...
“เชื่อว่านายบวรศักดิ์อยากให้เกิดความปรองดอง แต่ถามว่าทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็ดี ผมไม่มีปัญหา แต่จะได้หรือไม่ก็ไปตกลงกัน โดยเฉพาะพรรคการเมืองต่างๆ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าให้ได้ และทำให้ประชาชนมีความสุข”
ถอดรหัสจากคำพูดของ พล.อ.ประวิตรก็คือ ไม่มีปัญหาเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ
ถอดรหัสจากคำพูดของ พล.อ.ประวิตรก็คือ พร้อมที่จะทำงานร่วมกับพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคเพื่อไทยที่มี นช.หนีคดีทักษิณ ชินวัตรยืนเป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลัง
ถอดรหัสจากคำพูดของ พล.อ.ประวิตรก็คือ ถ้าพรรคการเมืองตกลงกันได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เป็นคำพูดที่บอกเล่าสถานการณ์การเมืองไทยที่จะดำเนินต่อไปเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี และรัฐบาลแห่งชาติมิใช่เรื่องโคมลอยดังที่เคยโยนหินถามทางมาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง
นี่อาจเป็นการแก้ปัญหาการขออยู่ต่อในอำนาจอีก 2 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นได้ เพราะถ้าจัดสรรผลประโยชน์กับพรรคการเมืองลงตัว เสียงคัดค้านก็จะหมดไป
ต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประวิตรไม่ใช่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุค พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุคที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของนักโทษชายหนีคดีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี
จะมีบิ๊กทหารที่ไหนนอกจาก พล.อ.ประวิตรที่เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาแล้วถึง 3 รัฐบาล แถมยังเป็น 3 รัฐบาลจาก 3 ขั้วอำนาจทางการเมืองไทยอีกด้วย
สายสัมพันธ์ของ พล.อ.ประวิตรกับกลุ่มก๊วนทางการเมืองจึงย่อมไม่ธรรมดา
ด้วยเหตุดังกล่าว การเมืองไทยนับจากนี้ไม่อาจละสายตาจากทุกความ เคลื่อนไหวของ “ป๋าป้อม” คนนี้ได้เลยจริงๆ