ASTV ผู้จัดการรายวัน – ปัจจัยลบต่างประเทศกดดัชนีหุ้นไทย มูลค่าการซื้อขายประจำเดือนกรกฏาคมปรับตัวลดลง 4.3% โดยในเดือนกรกฎาคมผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิด้วยมูลค่า 26,461 ล้านบาท บล.กสิกรไทย หั่นเป้าSETปีนี้เหลือ1,370จุด จาก1,550จุด คาด FED ขึ้นดอกเบี้ยก.ย.นี้กระทบเงินทุนไหลออก
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. สรุปภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์เดือนกรกฎาคม 2558 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ระดับ 1,440.12 จุด ลดลง 4.3% จากสิ้นเดือนก่อน และลดลง 3.8% จากสิ้นปี 2557 โดยปัจจัยหลักยังคงเกิดจากความกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนดของ รวมทั้งความผันผวนของตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงกว่า 30% ส่งผลให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากภูมิภาคเอเชีย โดยในเดือนกรกฎาคมผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิด้วยมูลค่า 26,461 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาคโดยเฉพาะ ไต้หวัน และเกาหลีใต้
ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai อยู่ที่ระดับ 13.95 ล้านล้านบาท และในเดือนกรกฎาคม 2558 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาด SET และ mai อยู่ที่ 38,696 ล้านบาท ลดลง 4.79% จากเดือนก่อน โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาด SET และ mai อยู่ที่ 38,696 ล้านบาท ลดลง 4.79% จากเดือนก่อนหน้า และลดลง 26.70% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2558 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ปิดที่ 1,440.12 จุด ลดลง 3.8% จากสิ้นปี 2557 และลดลง 4.3% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ 26,461 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 9,095.21 ล้านบาท
ในส่วน Market capitalization ของ SET อยู่ที่ 13.58 ล้านล้านบาท ลดลง 1.99% จากสิ้นปี 2557 ขณะที่ mai อยู่ที่ 369,865 ล้านบาท ลดลง 3.45% จากสิ้นปี 2557 ขณะที่ Forward P/E ของ SET อยู่ที่ 14.97 เท่า และ mai อยู่ที่ 29.04 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 3.11% และ mai อยู่ที่ 1.10%
บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai มีมูลค่าระดมทุนรวม 25,295 ล้านบาท โดยในตลาดแรกมีมูลค่าระดมทุน 23,296 ล้านบาท ส่วนตลาดรองมีการระดมทุน 1,998 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 มีมูลค่าระดมทุนรวมทั้งสิ้น 197,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 116.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการระดมทุนผ่าน IPO
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 11 สิงหาคม 2558 ปิดที่ 1,408.32 จุด ลดลง 11.81 จุด เปลี่ยนแปลง -0.83% มูลค่าการซื้อขาย 33,900.05 ล้านบาท โดยทำระดับสูงสุดของวันที่ 1,425.68 จุด และต่ำสุดของวันที่ 1,408.32 จุด
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ได้รัย Sentiment ลบมาจากทางเอเชียหลังจากที่จีนได้ปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า ทำให้เงินสกุลอื่นในเอเชียอ่อนค่าตามจีนไปด้วย ซึ่งเป็นการเร่งให้ Flow ไหลออกจากตลาดทุนเอเชียเร็วขึ้น ประกอบกับวันนี้มีการประชุมครม. ซึ่งทางรมว.คลังได้ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ ทำให้ตลาดฯมีทิศทางแกว่ง Sideway Down อย่างไรก็ตามวันนี้ (12 ส.ค.)ตลาดหุ้นไทยปิดทำการเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
แนวโน้มการลงทุนในวันพฤหัส (13 ส.ค.)นายกรภัทร กล่าวว่า ตลาดฯคงจะอยู่ในทิศทางแกว่งตัว พร้อมให้แนวรับ 1,400 จุด ส่วนแนวต้าน 1,422-1,429 จุด
นายกวีชูกิจเกษมรองกรรมการผู้จัดการบล.กสิกรไทยเปิดเผยว่าฝ่ายวิจัยได้ปรับลดเป้าดัชนีปีนี้เหลือ1,370จุดที่ระดับP/E12เท่าจากเดิม1,550จุดที่ระดับP/E16เท่าหลังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในเดือนกันยายนนี้ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นไทยและส่งผลต่อกระแสเงินทุนยังไหลออกอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียน(EPS)ในปัจจุบันมีการปรับลดลงมาอยู่ที่96บาท/หุ้นจากต้นปีอยู่ที่110บาท/หุ้นเนื่องจากผลการดำเนินงานของ2กลุ่มหลักออกมาไม่ดีได้แก่กลุ่มพลังงานซึ่งโดนกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องปัจจุบันอยู่ที่40เหรียญต่อบาร์เรลจากต้นปีอยู่ที่60เหรียญต่อบาร์เรลและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่เจอแรงกดดันจากNPLที่ขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่2.2%จากเดิม2.1%
"ดัชนี1,370จุด มีโอกาสเห็นในเดือนกันยายนนี้หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยและหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยจะเห็นการขายทำกำไรซึ่งกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงนั้นแต่หากผ่านพ้นไประยะหนึ่งค่าเงินเอเชียจะกลับมาแข็งค่าขึ้นและจะเริ่มเห็นเงินทุนไหลกลับมาในช่วงปลายปีนี้แต่ยังมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยดาวน์ไซด์"นายกวีกล่าว
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. สรุปภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์เดือนกรกฎาคม 2558 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ปิดที่ระดับ 1,440.12 จุด ลดลง 4.3% จากสิ้นเดือนก่อน และลดลง 3.8% จากสิ้นปี 2557 โดยปัจจัยหลักยังคงเกิดจากความกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนดของ รวมทั้งความผันผวนของตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงกว่า 30% ส่งผลให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากภูมิภาคเอเชีย โดยในเดือนกรกฎาคมผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิด้วยมูลค่า 26,461 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดหลักทรัพย์ไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาคโดยเฉพาะ ไต้หวัน และเกาหลีใต้
ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai อยู่ที่ระดับ 13.95 ล้านล้านบาท และในเดือนกรกฎาคม 2558 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาด SET และ mai อยู่ที่ 38,696 ล้านบาท ลดลง 4.79% จากเดือนก่อน โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาด SET และ mai อยู่ที่ 38,696 ล้านบาท ลดลง 4.79% จากเดือนก่อนหน้า และลดลง 26.70% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2558 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ปิดที่ 1,440.12 จุด ลดลง 3.8% จากสิ้นปี 2557 และลดลง 4.3% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ 26,461 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 9,095.21 ล้านบาท
ในส่วน Market capitalization ของ SET อยู่ที่ 13.58 ล้านล้านบาท ลดลง 1.99% จากสิ้นปี 2557 ขณะที่ mai อยู่ที่ 369,865 ล้านบาท ลดลง 3.45% จากสิ้นปี 2557 ขณะที่ Forward P/E ของ SET อยู่ที่ 14.97 เท่า และ mai อยู่ที่ 29.04 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET อยู่ที่ 3.11% และ mai อยู่ที่ 1.10%
บริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai มีมูลค่าระดมทุนรวม 25,295 ล้านบาท โดยในตลาดแรกมีมูลค่าระดมทุน 23,296 ล้านบาท ส่วนตลาดรองมีการระดมทุน 1,998 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2558 มีมูลค่าระดมทุนรวมทั้งสิ้น 197,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 116.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการระดมทุนผ่าน IPO
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 11 สิงหาคม 2558 ปิดที่ 1,408.32 จุด ลดลง 11.81 จุด เปลี่ยนแปลง -0.83% มูลค่าการซื้อขาย 33,900.05 ล้านบาท โดยทำระดับสูงสุดของวันที่ 1,425.68 จุด และต่ำสุดของวันที่ 1,408.32 จุด
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ได้รัย Sentiment ลบมาจากทางเอเชียหลังจากที่จีนได้ปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่า ทำให้เงินสกุลอื่นในเอเชียอ่อนค่าตามจีนไปด้วย ซึ่งเป็นการเร่งให้ Flow ไหลออกจากตลาดทุนเอเชียเร็วขึ้น ประกอบกับวันนี้มีการประชุมครม. ซึ่งทางรมว.คลังได้ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ ทำให้ตลาดฯมีทิศทางแกว่ง Sideway Down อย่างไรก็ตามวันนี้ (12 ส.ค.)ตลาดหุ้นไทยปิดทำการเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ
แนวโน้มการลงทุนในวันพฤหัส (13 ส.ค.)นายกรภัทร กล่าวว่า ตลาดฯคงจะอยู่ในทิศทางแกว่งตัว พร้อมให้แนวรับ 1,400 จุด ส่วนแนวต้าน 1,422-1,429 จุด
นายกวีชูกิจเกษมรองกรรมการผู้จัดการบล.กสิกรไทยเปิดเผยว่าฝ่ายวิจัยได้ปรับลดเป้าดัชนีปีนี้เหลือ1,370จุดที่ระดับP/E12เท่าจากเดิม1,550จุดที่ระดับP/E16เท่าหลังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในเดือนกันยายนนี้ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นไทยและส่งผลต่อกระแสเงินทุนยังไหลออกอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้กำไรของบริษัทจดทะเบียน(EPS)ในปัจจุบันมีการปรับลดลงมาอยู่ที่96บาท/หุ้นจากต้นปีอยู่ที่110บาท/หุ้นเนื่องจากผลการดำเนินงานของ2กลุ่มหลักออกมาไม่ดีได้แก่กลุ่มพลังงานซึ่งโดนกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องปัจจุบันอยู่ที่40เหรียญต่อบาร์เรลจากต้นปีอยู่ที่60เหรียญต่อบาร์เรลและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่เจอแรงกดดันจากNPLที่ขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่2.2%จากเดิม2.1%
"ดัชนี1,370จุด มีโอกาสเห็นในเดือนกันยายนนี้หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยและหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยจะเห็นการขายทำกำไรซึ่งกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงนั้นแต่หากผ่านพ้นไประยะหนึ่งค่าเงินเอเชียจะกลับมาแข็งค่าขึ้นและจะเริ่มเห็นเงินทุนไหลกลับมาในช่วงปลายปีนี้แต่ยังมองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยดาวน์ไซด์"นายกวีกล่าว