ASTV – นักวิเคราะห์ระบุดัชนีจะยังคงปรับฐานต่อโดยไร้ปัจจัยบวกเข้ามาหนุน สัปดาห์นี้รอลุ้นการปรับคณะรัฐมนตรี สร้างความเชื่อมั่น ควบคู่การผลักดันการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบทันไตรมาส 1 ปี 2559 ขณะที่ท่าที FED ต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกดดันบรรยากาศตลาดทุน-ตลาดทอง
ผู้สื่อข่าวรายงาน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 27 กรกฎาคม 2558 ไปที่ 1,412.55 จุด ลดลง 25.53 จุด เปลี่ยนแปลง -1.78% มูลค่าการซื้อขาย 40,259.54 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 917.22 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 703.50 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,504.56 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,125.27 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ความเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ (27-31 ก.ค.) ยังอยู่ในภาวะปรับฐานลงต่อ พร้อมยอมรับว่าดัชนีฯ มีโอกาสลงทดสอบ 1,400 จุด
“ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนออกด้านข้างมานานกว่า 9 เดือน เนื่องจากมีการปรับลดประมาณการทั้ง GDP Growth และ EPS Growth อีกทั้งมูลค่าการซื้อขายรายวันในตลาดหุ้นก็ปรับลดลง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ SET Index ซึ่งปัจจุบันมีค่า Current PER เกือบ 17 เท่า อยู่ภายใต้แรงกดดันและเปิด Downside”
ผู้อำนวยการอาวุโสฯ บล.เอเซีย พลัส ระบุสัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาข่าวการปรับคณะรํฐมนตรี โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ รวมถึงการเร่งรัดการลงทุนในโครงการภาครัฐ ซึ่งภายใต้ความคาดหวังดังกล่าวน่าจะสร้างกระแสเชิงบวกกับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยประเมินสัปดาห์นี้มีกรอบแนวรับจิตวิทยาสำคัญที่ 1,400 จุด
“สัปดาห์นี้ดูเหมือนความสนใจจะอยู่ที่เรื่องการปรับ ครม.โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงเศรษฐกิจ อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นคือการเร่งรัดการลงทุนในโครงการภาครัฐ ซึ่งภายใต้ความคาดหวังดังกล่าวน่าจะสร้างกระแสเชิงบวกกับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยหุ้นเด่นได้แก่ CK”
ส่วนปัจจัยภายนอกนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักไปที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed วันที่ 28 - 29 ก.ค. โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยฯ อย่างไร
“ฝ่ายวิเคราะห์ฯ มองว่าอัตราการว่างงานเข้าใกล้เป้าหมาย 5% เพราะล่าสุดอยู่ที่ 5.3% แต่อัตราเงินเฟ้อยังห่างเป้าหมายระยะสั้น 1% เพราะล่าสุดยังคงอยู่ที่ 0% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่า Fed น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกเดือน ธ.ค. 2558 หรือต้นปี 2559”
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีวานนี้เคลื่อนไหวในแดนลบทั้งวัน โดยมีแรงขายออกมาจากหุ้นขนาดใหญ่ นำโดยกลุ่มพลังงาน ICT ธนาคาร และอสังหาฯ เนื่องจากไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ โดยเฉพาะข่าวเรื่องการปรับครม. ยังไม่มีความคืบหน้าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้ยังคงมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
“ความเชื่อมั่นนักลงทุนยังเปราะบาง เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวไม่มีท่าทีจะฟื้นระยะนี้ ประกอบกับความเสี่ยงที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ กดดันจิตวทยาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีวานนี้หลุดแนวรับบ 1,420 ลงมา”
พร้อมแนะนำกลยุทธ์ ระยะสั้นรอซื้อเก็งกำไรเมื่อตลาดฟื้นตัว ส่วนนักลงทุนระยะยาวรอจังหวะทยอยสะสม เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย และหุ้นพื้นฐานที่ราคาปรับตัวลงแรง
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด สรุปความเคลื่อนไหวราคาทองวานนี้เคลื่อนไหวระหว่าง 1,094-1,103 ดอลลาร์สหรัฐต่ออนซ์ เป็นการรีบาวด์ทางเทคนิค โดยมีแนวต้านอยู่บริเวณ 1,108-1,118 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลง หากรีบาวด์ไม่ผ่านแนวต้าน 1,118 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาอาจย่อกลับลงมาอีกครั้ง
“ราคาทองคำขยับขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,094 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แรงหนุนมาจากยอดขายบ้านใหม่สหรัฐฯที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับวันนี้ตลาดหุ้นจีนร่วงลง 8% ต่ำสุดในรอบ 8 ปีจากความวิตกในเศรษฐกิจจีน แต่อย่างไรก็แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลงอยู่ จากคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และกองทุน SPDR ที่ลดสถานะการถือทองคำลงต่อเนื่อง” นายกมลธํญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงาน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 27 กรกฎาคม 2558 ไปที่ 1,412.55 จุด ลดลง 25.53 จุด เปลี่ยนแปลง -1.78% มูลค่าการซื้อขาย 40,259.54 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 917.22 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 703.50 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,504.56 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,125.27 ล้านบาท
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ความเคลื่อนไหวสัปดาห์นี้ (27-31 ก.ค.) ยังอยู่ในภาวะปรับฐานลงต่อ พร้อมยอมรับว่าดัชนีฯ มีโอกาสลงทดสอบ 1,400 จุด
“ดัชนีเคลื่อนไหวผันผวนออกด้านข้างมานานกว่า 9 เดือน เนื่องจากมีการปรับลดประมาณการทั้ง GDP Growth และ EPS Growth อีกทั้งมูลค่าการซื้อขายรายวันในตลาดหุ้นก็ปรับลดลง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ SET Index ซึ่งปัจจุบันมีค่า Current PER เกือบ 17 เท่า อยู่ภายใต้แรงกดดันและเปิด Downside”
ผู้อำนวยการอาวุโสฯ บล.เอเซีย พลัส ระบุสัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาข่าวการปรับคณะรํฐมนตรี โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ รวมถึงการเร่งรัดการลงทุนในโครงการภาครัฐ ซึ่งภายใต้ความคาดหวังดังกล่าวน่าจะสร้างกระแสเชิงบวกกับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยประเมินสัปดาห์นี้มีกรอบแนวรับจิตวิทยาสำคัญที่ 1,400 จุด
“สัปดาห์นี้ดูเหมือนความสนใจจะอยู่ที่เรื่องการปรับ ครม.โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระทรวงเศรษฐกิจ อีกประเด็นหนึ่งที่ถูกคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นคือการเร่งรัดการลงทุนในโครงการภาครัฐ ซึ่งภายใต้ความคาดหวังดังกล่าวน่าจะสร้างกระแสเชิงบวกกับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยหุ้นเด่นได้แก่ CK”
ส่วนปัจจัยภายนอกนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักไปที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed วันที่ 28 - 29 ก.ค. โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ใช้พิจารณาประกอบการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยฯ อย่างไร
“ฝ่ายวิเคราะห์ฯ มองว่าอัตราการว่างงานเข้าใกล้เป้าหมาย 5% เพราะล่าสุดอยู่ที่ 5.3% แต่อัตราเงินเฟ้อยังห่างเป้าหมายระยะสั้น 1% เพราะล่าสุดยังคงอยู่ที่ 0% อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่า Fed น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกเดือน ธ.ค. 2558 หรือต้นปี 2559”
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวดัชนีวานนี้เคลื่อนไหวในแดนลบทั้งวัน โดยมีแรงขายออกมาจากหุ้นขนาดใหญ่ นำโดยกลุ่มพลังงาน ICT ธนาคาร และอสังหาฯ เนื่องจากไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ โดยเฉพาะข่าวเรื่องการปรับครม. ยังไม่มีความคืบหน้าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้ยังคงมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
“ความเชื่อมั่นนักลงทุนยังเปราะบาง เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวไม่มีท่าทีจะฟื้นระยะนี้ ประกอบกับความเสี่ยงที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ กดดันจิตวทยาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีวานนี้หลุดแนวรับบ 1,420 ลงมา”
พร้อมแนะนำกลยุทธ์ ระยะสั้นรอซื้อเก็งกำไรเมื่อตลาดฟื้นตัว ส่วนนักลงทุนระยะยาวรอจังหวะทยอยสะสม เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย และหุ้นพื้นฐานที่ราคาปรับตัวลงแรง
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด สรุปความเคลื่อนไหวราคาทองวานนี้เคลื่อนไหวระหว่าง 1,094-1,103 ดอลลาร์สหรัฐต่ออนซ์ เป็นการรีบาวด์ทางเทคนิค โดยมีแนวต้านอยู่บริเวณ 1,108-1,118 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามแนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลง หากรีบาวด์ไม่ผ่านแนวต้าน 1,118 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาอาจย่อกลับลงมาอีกครั้ง
“ราคาทองคำขยับขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,094 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ แรงหนุนมาจากยอดขายบ้านใหม่สหรัฐฯที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับวันนี้ตลาดหุ้นจีนร่วงลง 8% ต่ำสุดในรอบ 8 ปีจากความวิตกในเศรษฐกิจจีน แต่อย่างไรก็แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาลงอยู่ จากคาดการณ์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด และกองทุน SPDR ที่ลดสถานะการถือทองคำลงต่อเนื่อง” นายกมลธํญ กล่าว