ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สัปดาห์ที่แล้ว ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ หรือท่าเทียบเรือโดยสารขนาดใหญ่ (Cruise) เพื่อพัฒนาเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เสนอ
เรื่องนี้มีสาระสำคัญว่า “กรมเจ้าท่า” รายงานข้อมูลว่า ท่าเทียบเรือยอร์ชในประเทศไทย ปัจจุบันมีทั้งหมด 11 แห่ง อยู่ในอันดามัน 6 แห่ง อาทิ ภูเก็ต กระบี่ และอ่าวไทย 5 แห่ง อาทิ ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งรวมแล้วสามารถรองรับเรือยอร์ชได้ 2 พันลำ ขณะที่การกินน้ำลึกอยู่ที่ประมาณ 2-5 เมตร มีส่วนน้อยที่รองรับได้ประมาณ 8-10 เมตร จึงถือว่ายังไม่มีศักยภาพเพียงพอจะเป็นศูนย์กลางของท่าเรือยอร์ชในภูมิภาคได้
กรมเจ้าท่า ได้สำรวจด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรมสิ่งแวดล้อมเพื่อการก่อสร้างด้วยว่า การพัฒนาท่าเรือยอร์ช สามารถทำได้ถึง 33 พื้นที่ในประเทศ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทย 22 แห่ง ตั้งแต่ สมุทรปราการ ชลบุรี จันทบุรี ตราด สงขลา ปัตตานี เป็นต้น และฝั่งอันดามัน 11 แห่ง อาทิ ระนอง ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง สตูล
“ซึ่งระหว่างนี้กรมเจ้าท่ากำลังอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ 33 แห่ง รวมทั้งความเห็นจากแต่ละภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศว่าจะมีแนวความคิดเพิ่มเติมอย่างไร ตลอดจนการเตรียมปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกต่อเรือยอร์ชที่จะเข้ามาในประเทศไทย หากได้มีการดำเนินการจริง”
ส่วนกรณีของเรือ Cruise นั้น ปัจจุบันประเทศไทยมีท่าเรือยอร์ช 3 แห่งใหญ่ คือ ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ซึ่งทั้ง 3 ท่าเรือนี้เป็นท่าเทียบเรือสินค้า ไม่ใช่ท่าเทียบเรือโดยสารสำหรับการท่องเที่ยวเป็นการเฉพาะ
"ปกติท่าเทียบเรือทั้ง 3 แห่งนั้น ที่ภูเก็ตรองรับเรือที่กินน้ำลึกได้ 8 เมตร แต่ยังไม่ได้มาตรฐาน เพราะเรือ Cruise ส่วนใหญ่กินน้ำลึก 9-12 เมตร ดังนั้นในช่วงนี้กรมธนารักษ์จะต้องประสานกับผู้ที่ได้สัมปทานอยู่ว่าจะทำต่อ หรือหาผู้ประกอบการรายใหม่ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ หรือจะลงทุนร่วมกันแบบ PPP หรือจะดำเนินการโดยภาครัฐ ในเรื่องนี้กำลังหาข้อสรุป”
ที่ประชุม ครม.เห็นว่า ไทยมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการขยายท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เพื่อรองรับกับการเป็นท่าเทียบเรือ Cruise เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเส้นทางเดินเรือท่องเที่ยวของเรือ Cruise ในภูมิภาค คือ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฮ่องกง ซึ่งท่าเรือน้ำลึกที่ภูเก็ตได้มีการผ่าน EIA ไปแล้วตั้งแต่ปี 57 ดังนั้นจะมีการพัฒนาต่อ ขณะเดียวกันยังมีพื้นที่น่าสนใจอีก 2 แห่ง คือ จ.กระบี่ และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าใน 2 จุดที่จะพัฒนาใหม่นี้จะต้องมีความชัดเจนภายในสิ้นก.ย.ปีนี้ว่าที่ใดเหมาะสมกว่ากัน
"กรณีท่าเรือ Cruise นั้น ต้องหารายละเอียดว่าท่าเรือน้ำลึกที่ภูเก็ตจะเป็นเจ้าเดิมดำเนินการต่อ หรือเจ้าใหม่ แต่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับสูงสุด นอกจากนั้นจะต้องมีข้อยุติว่าพื้นที่ที่จะพัฒนาแห่งใหม่ระหว่างกระบี่กับเกาะสมุยที่ไหนเหมาะสมกว่ากัน โดยจะต้องพิจารณาในเรื่องต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของการเป็นท่าเรือ Cruise คือ สิ่งอำนวยความสะดวก ทัศนียภาพของท่าเทียบเรือ อาคารรองรับ การตรวจคนเข้าเมือง ร้านค้า สถานบริการ รวมทั้งสนามบิน ซึ่งทั้งหมดต้องมีข้อยุติภายในปี25 58 "
เรื่องนี้ สอดคล้องกับ ที่นายกรัฐมนตรี มีดำริไว้เมื่อคราวรับรายงานผลการประชุมคณะทำงานความร่วมมือด้านคมนาคมเพื่อสนับสนุน การท่องเที่ยว ครั้งที่ 1 ว่า ต้องการให้ประเทศไทยจัดมหกรรมเรือยอร์ช หรือยอร์ชโชว์ คล้ายกับงานมอเตอร์โชว์รถ เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการนำเรือยอร์ชรุ่นใหม่ และซุปเปอร์เรือยอร์ช ซึ่งมีขนาดยาวกว่าเรือยอร์ชทั่วไปมาจัดแสดงและจำหน่ายภายในงาน เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเรือหรูของไทย ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก
วันประชุม ครม. ยังได้รับทราบ การจัดโครงการจัดมหกรรมเรือสำราญและมารีน่า ที่กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะเป็นเจ้าภาพร่วมกันในการจัด ที่ จ.ภูเก็ต เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียน จัดงานยอร์ชโชว์ ชื่องาน "ภูเก็ตยอร์ชโชว์" ระหว่างเดือนธ.ค.-ม.ค. 2559 ซึ่งตรงกับฤดูกาลท่องเที่ยวพอดี โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ “เรือซูเปอร์ยอร์ช”
สำหรับมติ ครม.ในวันนั้น เห็นชอบ “แนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise)”
นอกจากรับทราบความก้าวหน้าในการพิจารณาแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่แล้ว ยังเห็นชอบแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่
โดยมอบหมายกระทรวงคมนาคม โดยกรมธนารักษ์เร่งพิจารณาหาผู้ประกอบการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตเพื่อให้สามารถปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตให้มีความพร้อมในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ได้โดยเร็ว
ครม.รับทราบว่าท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) ปัจจุบันประเทศไทยมีท่าเทียบเรือ Yacht ทั้งหมด 11 แห่ง กระจายอยู่ในบริเวณจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตราด ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งกรมเจ้าท่าได้เคยศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ วิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือ Yacht บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน เมื่อปี 2547 พบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาท่าเทียบเรือ Yacht ได้ในพื้นที่ 33 แห่ง ประกอบด้วย พื้นที่ทะเลอันดามัน 11 แห่ง (ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล) และพื้นที่ทะเลอ่าวไทย 22 แห่ง (สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส)
ท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีท่าเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) เป็นการเฉพาะ โดยต้องเทียบท่าผ่านท่าเทียบเรือสินค้า เช่น ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต ซึ่งไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดคล้องกับความต้องการของเรือ Cruise เช่น ทัศนียภาพของท่าเทียบเรือ การตรวจคนเข้าเมือง ร้านค้าและสถานบริการต่าง ๆ เป็นต้น และพื้นที่อื่น ๆ ไม่มีท่าเทียบเรือที่สามารถรองรับเรือ Cruise ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องใช้วิธีการทอดสมอกลางทะเลและให้ผู้โดยสารลงเรือเล็กเพื่อขึ้นฝั่งต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะไม่มีท่าเทียบเรือที่สามารถรองรับเรือ Cruise เป็นการเฉพาะ โดยต้องเทียบท่าผ่านท่าเทียบเรือสินค้า แต่จากกำหนดการท่องเที่ยวด้วยเรือ Cruise ในปี 2558 ที่แจ้งไว้ล่วงหน้าพบว่า มีเรือ Cruise เข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วยเรือ Cruise และเรือ Cruise ส่วนใหญ่จะจอดแวะพักที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบังเฉลี่ยประมาณ 2 วัน ในขณะที่พื้นที่อื่น ๆ เรือ Cruise จะเป็นเพียงการจอดแวะพักแบบเช้าเย็นกลับ ซึ่งเรือ Cruise ที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยกับประเทศสิงคโปร์มากที่สุด โดยเป็นการท่องเที่ยวที่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดการเดินทางที่ท่าเรือสิงคโปร์ คิดเป็นร้อยละ 80.9
ส่วนแนวทาง “กรมเจ้าท่า” ได้เสนอศึกษาเพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็น “ท่าเทียบเรือ Yacht” เพิ่มเติม พร้อมทั้งรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่และทดสอบตลาด (Market Sounding)
ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เรือ Yacht และบุคคลที่เข้ามากับเรือ Yacht ให้แล้วเสร็จภายในปี 2558
จัดมหกรรมเรือ Yacht เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางมารีน่าของอาเซียน (Thailand : Marina Hub of ASEAN) ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างเดือนธันวาคม 2558 - มกราคม 2559 อันเป็นการจูงใจและสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวทางทะเลและธุรกิจต่อเนื่อง ตลอดจนกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ส่วน “ท่าเทียบเรือ Cruise” ตามแผน ระยะแรก (ปี 2558) : พัฒนาท่าเรือเดิม คือ “ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง” โดยการปรับปรุงท่าเรือหมายเลข 22A ของท่าเรือกรุงเทพ และท่าเทียบเรือ A1 ของท่าเรือแหลมฉบัง ให้สอดคล้องกับความต้องการของเรือ Cruise อย่างเหมาะสม
ขณะที่ “ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต” อยู่ในระหว่างการพิจารณาผู้บริหารท่าเรือรายใหม่ หรือขยายระยะเวลาสัมปทานการบริหารท่าเรือให้กับผู้บริหารรายเดิมเพื่อปรับปรุงและพัฒนาท่าเรืออย่างเร่งด่วน
ในระยะที่ 2 (ปี 2558 - 2565) : พัฒนาท่าเทียบเรือ Cruise แห่งใหม่ ที่จังหวัดกระบี่ และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นท่าเรือเพื่อเริ่มต้นหรือสิ้นสุดการเดินทาง (Home Port) ของเรือ Cruise ในภูมิภาค ดังนี้ 1) พัฒนาท่าเทียบเรือ Cruise 2) จัดหาผู้บริหารท่าเรือ
3) ปรับปรุงการบริหารจัดการ สิ่งอำนวยความสะดวก กฎ ระเบียบ พิธีการ และบุคลากร 4) ส่งเสริมการตลาดและการท่องเที่ยวด้วยเรือ Cruise
ทั้งนี้ ท่าเทียบเรือ Cruise แห่งใหม่ต้องสามารถรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว ทั้งการเดินทางที่มาทางเรือและทางเครื่องบิน เพื่อให้ประเทศไทยเป็น Home Port และมีศักยภาพในการเชื่อมโยงการเดินทางทุกระบบสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว และการให้บริการที่ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการใช้จ่าย โดยคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญ เช่น ความเหมาะสมทางกายภาพ วิศวกรรมและสิ่งแวดล้อม ความสามารถในการรองรับเรือ Cruise ขนาดใหญ่ระดับมาตรฐานสากล และการเป็นท่าเรือแบบ One-Stop Service เป็นต้น เพื่อให้สามารถขยายระยะเวลาพักจอดของเรือ Cruise ที่จังหวัดกระบี่ และเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากระยะเวลาประมาณ 1 วัน เป็น 2 วัน โดยเฉลี่ยภายในเวลา 5 ปี และเพิ่มเป็น 2.5 - 3 วัน โดยเฉลี่ยภายในระยะเวลา 10 ปี
ทั้งหมด เป็นแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ หรือท่าเทียบเรือโดยสารขนาดใหญ่ (Cruise) เพื่อพัฒนาเป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ของรัฐบาลชุดนี้