ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงเห็นลูกน้องมาสอพลอเอาใจกันหนาตาพอสมควร นช.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้คึกคะนองปาก เสนอตัวเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาล ระหว่างจัดงานวันเกิดปีที่ 66 เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา
งานวันเกิดของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มีสถานภาพเป็นนักโทษหนีคำพิพากษาของศาลในคดีการซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษกและหมายจับอีกนับสิบคดี ครั้งนี้ จัดขึ้นภายในบ้านพักที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก เดินทางไปร่วมงานด้วย พร้อมกับอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่ง
ขณะนั่งรับประทานอาหารโดยมีบรรดาอดีต ส.ส.เพื่อไทย เสนอหน้าอยู่รอบๆ โต๊ะ นช.ทักษิณได้กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย โดยอ้างว่าตนเองเป็นห่วงประเทศไทย สงสารประชาชนที่ยากจนอยู่ในขณะนี้ พร้อมกับอาสาเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยกล่าวสั้นๆ ว่า “บอกมา ถ้าอยากให้ไปช่วย”
คำกล่าวของ นช.ทักษิณในวงกินข้าวกับสมุนบริวารครั้งนี้ มีนัยที่มองออกได้ไม่ยากว่า ต้องการดิสเครดิตการทำงานของรัฐบาลภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และอวดเก่งว่า เขาสามารถที่จะแก้ปัญหาของประเทศได้ทุกปัญหา ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะให้เขาช่วยหรือไม่ ถ้ารัฐบาลอยากให้ช่วยก็บอกมา
ขณะเดียวกัน การเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาล ก็ทำให้คนไทยหลายๆ คนที่เป็นโรคลืมง่าย ค่อยๆ ลืมไปว่า เขาคือนักโทษหนีคดีและมีหมายจับติดตัวอีกหลายใบ เพราะมัวหลงเคลิบเคลิ้มว่าเขาคนนี้คือผู้ที่จะแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้ ทั้งที่ในความจริงแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การอวดเก่งต่อหน้าลูกน้องของ นช.ทักษิณครั้งนี้ มีเสียงตอบโต้ออกมาประปราย โดยนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า เข้าใจว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณเสนอช่วยเหลือเป็นความปรารถนาดี แต่ไม่จำเป็น ควรช่วยตัวเองให้รอดก่อน ประเทศนี้ไม่ได้ผูกไว้กับทักษิณคนเดียว บางคนใน คสช.มีความรู้มากกว่าเสียอีก ไม่คิดว่าทักษิณคนเดียวประเทศจะปรองดองได้ จึงควรอยู่เฉยๆ อยู่อย่างสงบ หยุดเคลื่อนไหว ยอมรับกติกาบ้านเมือง และบอกพรรคพวกของท่านอย่าสร้างความขัดแย้งให้กับบ้านเมืองอีก
กระนั้นก็ตาม คำพูดของ นช.ทักษิณในทำนองอวดเก่งเรียกเสียงเชียร์จากบรรดาสาวกและมีนัยเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่ตนเองได้ทำไว้ ก็ทำให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลหลายคนไปไม่เป็น ตอบคำถามนักข่าวแบบไม่น่าตอบ เช่นกัน
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คำถามดังกล่าวสูงเกินที่ตนจะตอบหรือไม่ พูดได้หรือ เอาเป็นว่าเขาจะเข้ามาได้หรือ ตนไม่มีความเห็น แต่ในขณะนี้รัฐบาลกำลังดูแลและแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะปัญหาเศรษฐกิจเกิดทั้งโลก มีผลกระทบไปหมด ซึ่งประเมินว่าน่าจะดีขึ้น
พล.อ.อนุพงษ์บอกอีกว่า กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ(เป็นที่ปรึกษารัฐบาล)น่าจะทำไม่ได้ มันติดขัดกฎหมาย ถามว่าตามกฎหมายแล้วมาได้หรือ ถ้ามาได้ก็มา ทั้งนี้ ตนคิดว่าขณะนี้รัฐบาลยังอยู่ในภาวะที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เราดูแลในเรื่องของการใช้จ่ายภาครัฐที่จะไปกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่ายของภาคประชาชน ทำให้มีการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
คำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์แม้จะชัดเจนว่า นช.ทักษิณมาเป็นที่ปรึกษารัฐบาลไม่ได้ แต่ด้วยลักษณะลีลาการพูดของ มท.1 ผู้นี้ ที่มักจะออกแนวแทงกั๊กมาตั้งแต่ครั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ก็ไม่ได้บอกให้ชัดถ้อยชัดคำว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ทำให้ นช.ทักษิณเป็นที่ปรึกษารัฐบาลไม่ได้นั้นคืออะไร
ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ดีว่า ข้อกฎหมายดังกล่าว ก็คือสถานภาพของ นช.ทักษิณที่เป็นผู้ร้ายหนีคดี รัฐบาลและ คสช.ในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐมีหน้าที่ต้องติดตามจับกุมตัวมารับโทษจำคุก 2 ปีในคดีที่ดินรัชดา และนำตัวเข้าสู่กระบวนการทางศาลสำหรับคดีอื่นๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่
ถ้าให้ นช.ทักษิณมาเป็นที่ปรึกษารัฐบาล นายกรัฐมนตรีและ ครม.ทั้งคณะก็ต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อย่างแน่นอน
ส่วนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ผู้ดูแลงานด้านกฎหมายของรัฐบาล กล่าวถึงกรณี นช.ทักษิณเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลว่า เป็นการเสนอตัว ไม่ได้ยื่นใบสมัครเข้ามา ก็รับทราบ แต่ถ้าจะให้ท่านสมัครคงไม่สมัครเข้ามา
ส่วนที่ถามว่า ตามกฎหมายทำได้หรือไม่ได้ ที่ถามอาจหมายถึงคุณสมบัติ ปัญหาเรื่องแบบนี้ไม่มีเรื่องคุณสมบัติเข้ามาเกี่ยว ใครที่มีเจตนาดีก็ทำได้ ไม่เป็นอะไรก็มาเป็นปากเป็นเสียงให้ประเทศได้ ไม่พูดให้ร้ายประเทศแค่นี้ก็พอแล้ว อยู่ที่ไหนก็ทำได้
กลายเป็นว่า รองนายกฯ ที่ดูแลด้านกฎหมาย กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นทางกฎหมาย แต่ที่ นช.ทักษิณไม่มาเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาล ก็เพราะเจ้าตัวไม่ได้สมัครเข้ามา ไม่ได้เป็นประเด็นเรื่องข้อกฎหมายแต่อย่างใด
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนัก สำหรับท่าทีของเนติบริกรผู้นี้ เพราะเพิ่งแสดงอาการอิดออดไม่อยากฟ้องแพ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว ด้วยข้ออ้างว่าเสียดายเงินค่าธรรมเนียมศาล
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ก็ดูเหมือนจะไม่อยากออกความเห็นในเรื่องนี้ โดยแกล้งพูดกับนักข่าวว่าลืมชื่อทักษิณไปแล้ว จะด้วยเหตุผลเพื่อความปรองดอง หรือไม่อยากสร้างความขัดแย้งกับมวลชนในเครือข่ายบริวารของ นช.ทักษิณ หรือ อย่างไรก็แล้วแต่ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้กุมอำนาจการบริหารประเทศในขณะนี้ ต้องไม่ลืมว่า หลักการสำคัญที่จะทำให้เกิดการปรองดองได้ ก็คือการทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด
แต่พฤติกรรมของ นช.ทักษิณและเครือข่ายบริวาร จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้แสดงออกถึงการสำนึกผิด พร้อมที่จะเคารพกฎหมาย หรือยอมรับในกระบวนการยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย
หาก พล.อ.ประยุทธ์ต้องการให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง จะต้องแสดงความจริงจังและเด็ดขาดในการทำให้ นช.ทักษิณและเครือข่ายบริวารยอมรับในกระบวนการยุติธรรมให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้สร้างข่าวตีกินและกลบเกลื่อนความผิดของตนเองตลอดเวลา จนคนทั่วไปแทบจะลืมไปแล้วว่า นช.ทักษิณมีคดีอะไรติดตัวอยู่บ้าง
จนป่านนี้ หลังจากที่ นช.ทักษิณออกมาเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาล ก็ยังไม่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่คนไหนออกมาพูดให้ชัดเจนว่า นช.ทักษิณเป็นที่ปรึกษารัฐบาลไม่ได้ เพราะมีฐานะเป็นนักโทษหนีคดี มีแต่จะต้องกลับมาเข้าคุกและขึ้นศาลในคดีที่เหลืออยู่เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ก็ปล่อยให้ลูกน้องบริวารของ นช.ทักษิณออกมาให้ข่าวขยายความเพิ่มเครดิตและกลบเกลื่อนความผิดให้นายตัวเองไม่เว้นแต่ละวัน
หากสภาพการณ์ยังคงเป็นอยู่แบบนี้ วันใดที่ คสช.ก้าวลงจากอำนาจ ความขัดแย้งรอบใหม่ก็จะปะทุขึ้นมาอีกแน่นอน