ป้อมพระอาทิตย์
โดย โสภณ องค์การณ์
ผู้กุมอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะมาจากการเมืองเลือกตั้ง หรือมาโดยวิธีอื่นใดก็ตาม มักมีพฤติกรรมเหมือนกันคือ “เลิกฟังเสียงของประชาชน” บางยุคเป็นเอามากถึงขั้นไม่รักชาติ ขายชาติก็ยังมี
ก่อนหน้าโน้นคำว่า “ขายชาติ” เป็นเพียงแค่นามธรรม ไม่เห็นรูปธรรมตัวตน จนถึงยุคนักการเมืองยโสอหังการ เหิมเกริมถึงขั้นเอาสมบัติชาติไปขาย ลามถึงขั้นเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกกับโอกาสทำมาหากิน สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง โคตรเหง้าเหล่ากอ วงศาคณาญาติ
บางยุค นักการเมืองกังฉินโดนรัฐประหาร กลุ่มเข้ามาแทนถือประโยชน์เพื่อนพ้องน้องพี่
การเมืองบ้านเราจึงโดนกำหนดโดยอำนาจเงินและอำนาจปืน แต่โกงเก่งพอๆ กัน
ที่ผ่านมาจึงมีแต่รัฐบาลโดยนักการเมืองสลับกับกลุ่มทหาร มีข้ออ้างเสมอว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นไอ้ตัววายร้าย ทหารทำรัฐประหารอ้างว่านักการเมืองโกง แสวงหาผลประโยชน์ สุดท้ายเป็นพวกเดียวกัน
นักการเมืองกล่าวหารัฐบาลทหารว่าเป็นเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย ใช้อำนาจนอกระบบ
ตั้งแต่รัฐประหารปี 2475 มีแต่รัฐบาลโดยนักการเมืองและคณะรัฐประหาร ผลัดกันสร้างความมั่งคั่ง บางยุคก็แบ่งกันกิน ทำให้มีรัฐประหารมากถึง 17-18 ครั้ง ไม่ทำให้บ้านเมืองดีขึ้น
เป็นยุครัฐประหารแล้วรวย สลับกับการเมืองสามานย์ บางยุคนักการเมืองทำท่าว่าจะดี เอาใจประชาชนช่วงหาเสียง พอเป็นรัฐบาลเต็มบ้องก็เริ่มพฤติกรรมจองหอง ไม่ฟังประชาชน
คงนึกว่าจะได้อยู่ค้ำฟ้า แต่มีรัฐบาลประชานิยม รักประชาชนมาก มี โครงการเยอะ ทำเอาบ้านเมืองแทบสิ้นไร้ไม้ตอก แต่นักการเมืองอู้ฟู่ เพราะใช้โครงการประชานิยมโกงกินคำโต
ประเภทบ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว พืชผลเกษตร ล้วนทำให้นักการเมืองรวยสกปรก
มีความเหมือนกันคือ มีอำนาจแล้วไม่ฟังเสียงประชาชน ทั้งยังหยามด้วยคำพูดเจ็บแสบยิ่งกว่าเยี่ยวรดหัวใจประชาชน แสดงให้เห็นความลำพองในอำนาจ
โครงการขนาดใหญ่ใช้อำนาจรัฐยัดเยียด ไม่แยแสต่อเสียงคัดค้านคร่ำ ครวญของประชาชน
มีอำนาจบาตรใหญ่ ทำตัวเหมือนเป็นเทวดาลอยมาจากสวรรค์ แต่ทำชาวบ้านตกนรกทั้งเป็น
ความทะเยอทะยานด้านพัฒนาเศรษฐกิจโดยไร้ความรับผิดชอบทำให้ประเทศไทยอยู่ในขั้นทำลายสิ่งแวดล้อม ล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติเร็วที่สุดในโลก โดดเด่นที่สุดในอาเซียน
เป็นประเทศที่ประชาชนถูกทำร้ายโดยสารพิษอุตสาหกรรม การลงทุน ถูกเอาเปรียบโดยกลุ่มทุนนิยมสามานย์ผสานกับระบบการเมืองสามานย์ โดยเฉพาะเหยื่อคนระดับรากหญ้าด้อยโอกาส
กรณีสารพิษเหมืองคลิตี้ กาญจนบุรี สารพิษนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด สารพิษจากการทำเหมืองทองคำในจังหวัดพิจิตร เลย ชาวบ้านถูกคุกคามเป็นตัวอย่างของนโยบายผิดพลาด
ชาวบ้านต้องรับเคราะห์ อยู่ในสภาพตายผ่อนส่ง ยังมีกรณีอื่นๆ อีกหลายพื้นที่ทั่วประเทศจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แม่น้ำ แหล่งน้ำ ชุมชนประสบภาวะอันตรายจากสารพิษ
ล่าสุดชาวบ้านอันดามันและพื้นที่ภาคไต้ต่อต้านคัดค้านการใช้ถ่านหินในโครงการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าในจังหวัดกระบี่ รัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ไร้เหตุผล รวบหัวรวบหาง
การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมไม่เสร็จสมบูรณ์โดย “อีเฮีย” ก็จะเดินหน้าประมูล
ชาวบ้านบอกว่าโครงการจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่อันดามัน ชีวิตชุมชน เจ้าของโครงการก็ไม่ฟัง การรับฟังความคิดเห็นชาวบ้านขาดความโปร่งใส มีเงื่อนงำ
ไม่รับฟังข้อมูลของประชาชน แถมหัวหน้ารัฐบาลยังพูดจาใช้ถ้อยคำเหยียดหยามผู้ประท้วงด้วยการอดอาหาร แสดงให้เห็นสภาวะไร้ซึ่งความละเอียดอ่อนหรือ sensitivity แห่งวุฒิภาวะชัดเจน
เท่ากับเป็นการราดน้ำมันเข้ากองเพลิงอารมณ์ของประชาชน สะท้อน ทัศนคติเชิงลบ
เป็นสภาพของความลำพองในอำนาจ ความยโสโอหัง ไม่แยแสความทุกข์ร้อนของประชาชน
การดึงดันใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสกปรกส่อเงื่อนงำ ถูกครอบงำโดยกลุ่มผลประโยชน์นักลงทุนเกี่ยวโยงกับเครือข่ายอำนาจการเมืองสามานย์ เพราะโครงการสืบทอดมาจากยุคการเมืองเลือกตั้ง
มีบริษัทจากไทยไปได้สัมปทานเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย จำเป็นต้องหาผู้ซื้อให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะขาดทุนเสียหายมหาศาลเพราะเชื้อเพลิงสกปรกขายยากกว่าน้ำมันและก๊าซ หาลูกค้ายาก
รัฐบาลไม่ตอบคำถามว่าทำไมไม่ใช้ก๊าซและน้ำมันเตา ทั้งๆ ที่สะอาดกว่า การอ้างว่าใช้พลังงานชนิดอื่นทำให้ต้นทุนสูง ค่าไฟฟ้าแพง นี่เป็นข้ออ้างรับฟังไม่ได้ ไร้เหตุผล
ข้อมูลชาวบ้านบอกว่ายังมีพลังงานสำรองเหลือกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ และยังจะมีผู้ผลิตรายอื่นๆ
รัฐบาลไม่ฟัง เชื่อแต่ข้อมูลภาครัฐ เหมือนกรณีเร่งเปิดประมูลขายสัมปทานปิโตรเลียม
ทุกวันนี้ประชาชนอยู่ในภาวะจำยอมต้องจ่าย ไม่มีทางเลือก ไม่ว่าราคาน้ำมัน ไฟฟ้า จะแพงแค่ไหน ราคาน้ำมันทั้งในประเทศและนำเข้าประชาชนต้อง จ่ายในราคาตลาดโลกอยู่แล้ว
การอ้างว่าพลังงานถ่านหินสะอาดถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ในประเทศไทยเท่านั้น ทั่วโลกเลือกหาพลังงานทางเลือก มีแต่ประเทศไทยที่เลือกการพัฒนาเชิงทำลาย พลังงานสกปรก
โรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหินมีผลกระทบแน่นอนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ด้วยเหตุนี้จึงดูเหมือนมีความพยายามสรุปผลการศึกษาให้ช้า กลัวประชาชนรู้ความจริงของพิษร้ายของถ่านหินสกปรก จึงเร่งรัดงานประมูลซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนแน่นอน
ถ้าโครงการนี้เกิดขึ้น แล้วส่งผลกระทบ ใครหน้าไหนจะแอ่นอก ยื่นหน้ารับผิดชอบ
โครงการจำนำข้าวเสียหายกว่า 9 แสนล้านบาทยังไม่มีไอ้อีตัวไหนรับผิดชอบ
กลุ่มอำนาจใหม่ที่รัฐประหารขับพวกไอ้อีออกไปก็ไม่กล้าอายัดทรัพย์เพื่อชดเชยความเสียหาย
สุดท้ายคงเป็นความเสียหายที่ประชาชนทุกคนต้องจ่ายแทนพวกไอ้อีขี้โกง!
โครงการไฟฟ้าใช้ถ่านหินที่กระบี่จะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่น่าเสียดาย น่าเสียใจที่กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ได้ร่วมต่อสู้เต็มที่ทั้งๆ ที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ปล่อยให้ชาวบ้านผู้รักชีวิตต่อสู้โดดเดี่ยว
จะว่าไม่อยากเสี่ยง เอาตัวรอด รอตีกินจากหยาดเหงื่อ ชีวิตของผู้อื่นก็ไม่ผิด
เป็นธรรมชาติของนักธุรกิจ ไม่ต่างจากพวกเจ้าของสัมปทานเหมืองถ่านหิน
ระวังด้วยเถอะ ถ้าต้องให้รัฐบาลล้มเพื่อล้มโครงการนี้ อาจเป็นวาระจำเป็นของประชาชนก็ได้ เมื่อรัฐบาลไม่ฟังเสียงทุกข์ร้อนของประชาชน คนเสียภาษีเจ้าของประเทศก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
อ๋อ! เรื่องอำนาจ คนรักชาติ รักบ้านรักเมืองไม่กลัวอยู่แล้ว ประชาชนไม่หนีไปไหนแน่นอน
มีแต่คนทรยศ ยโสโอหังกับประชาชนเป็นพวกไม่มีแผ่นดินอยู่