เมื่อเวลา 09.00 น.วานนี้ (23ก.ค.) ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้การต้อนรับ นายเหวียน เติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยมีพิธีต้อนรับ และตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ จากนั้นได้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย– เวียดนาม ครั้งที่ 3
ต่อมาเวลา 11.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี นายกรัฐมนตรีไทย-เวียดนาม ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสาร 5 ฉบับ คือ 1. แถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย–เวียดนาม ครั้งที่ 3 2. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน 3. บันทึกข้อตกลงด้านการจ้างแรงงาน 4. บันทึกความเข้าใจเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่มิตรระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับจังหวัดคอนตูม เวียดนาม และ 5. บันทึกความเข้าใจเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่มิตรระหว่างจังหวัดตราด กับจังหวัดลองอาน เวียดนาม
จากนั้น นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ ได้แถลงข่าวร่วมกัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่ไทยมีความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย และไทยเป็นประเทศเดียวที่เวียดนาม มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมด้วย
ทั้งนี้ เวียดนามเป็นคู่ค้า อันดับ 4 ของไทยในอาเซียน ขณะที่ไทยเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในอาเซียน โดยในปี 2557 มีอัตราการขยายตัวทางการค้าร้อยละ 13 โดยไทยกำลังผลักดันการลงทุนโครงการลงทุน ขนาดใหญ่หลายโครงการในเวียดนาม และหากสำเร็จจะทำให้ไทยเป็นประเทศผู้ลงทุนลำดับต้นๆ ของเวียดนามในอนาคต นอกจากนี้ เราตั้งใจว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะผลักกันให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเป็น1 ล้านคนต่อปี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมได้มีการหารือในหลายประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าและการลงทุน ซึ่งเห็นพ้องกันที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทย ซึ่งรวมทั้งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)ลงทุนในเวียดนาม ในสาขาต่างๆ เช่น การผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค การเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป ท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีไทยและเวียดนาม ยังได้หารือเกี่ยวกับการเพิ่มการส่งออกผลไม้ไทยไปยังเวียดนาม และไทยได้เชิญเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกสภาความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างประเทศ ซึ่งไทย อินโดนีเซียและมาเลเซีย เป็นสมาชิกแล้ว เพื่อร่วมมือรักษาเสถียรภาพราคายางพาราในตลาดโลกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ กำหนดให้จัดตั้งกลไกเพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์
ส่วนด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันจาก 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563 โดยเร่งขจัดอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมการใช้เงินสกุลบาท และเงินด่องในการประกอบธุรกรรมทางการเงิน จัดตั้งกลไกหารืออย่างไม่เป็นทางการ เรื่องการคุ้มครองและส่งเสริมการลงทุน และส่งเสริมการเปิดสาขาของธนาคารพาณิชย์ ระหว่างกัน
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำถึงความร่วมมือด้านการเกษตร ได้แก่ การควบคุมความปลอดภัยและคุณภาพผลิตผลทางการประมง และการพัฒนามาตรฐานและคุณภาพผลไม้ รวมทั้งเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการพัฒนาความเชื่อมโยงทั้งทางบก ทะเล และอากาศ เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยให้มีการเร่งรัดการเปิดการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับเวียดนาม พัฒนาการเดินเรือชายฝั่งระหว่างภาคตะวันออกของไทย กัมพูชาและตอนใต้ของเวียดนาม และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินและเที่ยวบินตรงระหว่างจุดหมายปลายทางใหม่ของสองประเทศต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญคือสัญญาใจ ที่เรามีระหว่างกันของตนกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม โดยมีหลายเรื่องที่เราจะต้องร่วมมือกันมากกว่านี้ ก็จะทำให้เร็วที่สุดในรัฐบาลสมัยนี้ให้ได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชาชนทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ในปี 2559 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–เวียดนาม จะครบรอบ 40 ปีการเยือนครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยาวนานของทั้งสองประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทย และเวียดนาม เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าวตลอดทั้งปี 2559
ด้านนายเหวียน เติ๊น สุง กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันคำมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธะกรณี ที่จะไม่อนุญาตให้บุคคล หรือองค์กรใดใช้ดินแดนของตน เป็นฐานในการบ่อนทำลาย หรือต่อต้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไทยและเวียดนาม ยืนยันในจุดยืนเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ หรือ ทะเลตะวันออก เรายืนยันถึงท่าทีที่ระบุในถ้อยแถลงของประธานอาเซียนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 26 โดยเรามีข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าว ที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และบ่อนทำลายสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาค เราจึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ และให้มีความยับยั้งใจในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไม่ใช่การข่มขู่ หรือใช้กำลัง และขอให้ยุติข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงขอเรียกร้องให้มีการพูดคุยหารือเพิ่มมาขึ้นเพื่อหาข้อยุติให้ได้
ต่อมาเวลา 11.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี นายกรัฐมนตรีไทย-เวียดนาม ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสาร 5 ฉบับ คือ 1. แถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย–เวียดนาม ครั้งที่ 3 2. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน 3. บันทึกข้อตกลงด้านการจ้างแรงงาน 4. บันทึกความเข้าใจเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่มิตรระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับจังหวัดคอนตูม เวียดนาม และ 5. บันทึกความเข้าใจเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่มิตรระหว่างจังหวัดตราด กับจังหวัดลองอาน เวียดนาม
จากนั้น นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศ ได้แถลงข่าวร่วมกัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่ไทยมีความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย และไทยเป็นประเทศเดียวที่เวียดนาม มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมด้วย
ทั้งนี้ เวียดนามเป็นคู่ค้า อันดับ 4 ของไทยในอาเซียน ขณะที่ไทยเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในอาเซียน โดยในปี 2557 มีอัตราการขยายตัวทางการค้าร้อยละ 13 โดยไทยกำลังผลักดันการลงทุนโครงการลงทุน ขนาดใหญ่หลายโครงการในเวียดนาม และหากสำเร็จจะทำให้ไทยเป็นประเทศผู้ลงทุนลำดับต้นๆ ของเวียดนามในอนาคต นอกจากนี้ เราตั้งใจว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะผลักกันให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเป็น1 ล้านคนต่อปี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุมได้มีการหารือในหลายประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าและการลงทุน ซึ่งเห็นพ้องกันที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทย ซึ่งรวมทั้งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)ลงทุนในเวียดนาม ในสาขาต่างๆ เช่น การผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค การเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป ท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีไทยและเวียดนาม ยังได้หารือเกี่ยวกับการเพิ่มการส่งออกผลไม้ไทยไปยังเวียดนาม และไทยได้เชิญเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกสภาความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างประเทศ ซึ่งไทย อินโดนีเซียและมาเลเซีย เป็นสมาชิกแล้ว เพื่อร่วมมือรักษาเสถียรภาพราคายางพาราในตลาดโลกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ กำหนดให้จัดตั้งกลไกเพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์
ส่วนด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันจาก 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563 โดยเร่งขจัดอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมการใช้เงินสกุลบาท และเงินด่องในการประกอบธุรกรรมทางการเงิน จัดตั้งกลไกหารืออย่างไม่เป็นทางการ เรื่องการคุ้มครองและส่งเสริมการลงทุน และส่งเสริมการเปิดสาขาของธนาคารพาณิชย์ ระหว่างกัน
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำถึงความร่วมมือด้านการเกษตร ได้แก่ การควบคุมความปลอดภัยและคุณภาพผลิตผลทางการประมง และการพัฒนามาตรฐานและคุณภาพผลไม้ รวมทั้งเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการพัฒนาความเชื่อมโยงทั้งทางบก ทะเล และอากาศ เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยให้มีการเร่งรัดการเปิดการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับเวียดนาม พัฒนาการเดินเรือชายฝั่งระหว่างภาคตะวันออกของไทย กัมพูชาและตอนใต้ของเวียดนาม และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินและเที่ยวบินตรงระหว่างจุดหมายปลายทางใหม่ของสองประเทศต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญคือสัญญาใจ ที่เรามีระหว่างกันของตนกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม โดยมีหลายเรื่องที่เราจะต้องร่วมมือกันมากกว่านี้ ก็จะทำให้เร็วที่สุดในรัฐบาลสมัยนี้ให้ได้ เพื่อประโยชน์ของประชาชาชนทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ในปี 2559 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–เวียดนาม จะครบรอบ 40 ปีการเยือนครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยาวนานของทั้งสองประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทย และเวียดนาม เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าวตลอดทั้งปี 2559
ด้านนายเหวียน เติ๊น สุง กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันคำมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธะกรณี ที่จะไม่อนุญาตให้บุคคล หรือองค์กรใดใช้ดินแดนของตน เป็นฐานในการบ่อนทำลาย หรือต่อต้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไทยและเวียดนาม ยืนยันในจุดยืนเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ หรือ ทะเลตะวันออก เรายืนยันถึงท่าทีที่ระบุในถ้อยแถลงของประธานอาเซียนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 26 โดยเรามีข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าว ที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และบ่อนทำลายสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาค เราจึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ และให้มีความยับยั้งใจในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไม่ใช่การข่มขู่ หรือใช้กำลัง และขอให้ยุติข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงขอเรียกร้องให้มีการพูดคุยหารือเพิ่มมาขึ้นเพื่อหาข้อยุติให้ได้