นายกฯ เปิดทำเนียบรับ นายกฯเวียดนาม ก่อนร่วมลงนามเอกสาร 5 ฉบับ พร้อมแถลงข่าวร่วม เล็งลงทุนขนาดใหญ่ หนุนนักลงทุนไทย ถกส่งอออก เชิญเป็นสมาชิกสภาร่วมมือยางฯ หนุน ระดับสูงเยือนสม่ำเสมอ ยกระดับแก้ค้ามนุษย์ วางเป้าศก.ระหว่างกันเป็น 2 หมื่นล. พัฒนาเชื่อมเส้นทาง รับมีสัญญาใจกัน 2 นายกฯ มุ่งทำให้เร็วสุดในรบ.นี้ เล็งฉลอง 40 ปีสัมพันธ์ เวียดนาม ลั่น ห้ามใช้ดินแดนทำลายฝ่ายใด ย้ำ ทุกฝ่ายทำตามภาคีทะเลจีนใต้
วันนี้ (23ก.ค.) ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้การต้อนรับนายเหวียน เติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล โดยมีพิธีต้อนรับและตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ และร่วมหารือข้อราชการคณะเล็ก ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นนายกรัฐมนตรีหารือข้อราชการเต็มคณะ ณ ห้องสีเขียว
ต่อมาเวลา 11.30น. ที่ตึกสันติไมตรี นายกรัฐมนตรีไทย-เวียดนาม ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสาร 5 ฉบับ คือ 1.แถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการ ไทย – เวียดนาม ครั้งที่ 3 2.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน 3.บันทึกข้อตกลงด้านการจ้างแรงงาน 4.บันทึกความเข้าใจเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่มิตรระหว่างจังหวัดอุบลราชธานีกับจังหวัดคอนตูม เวียดนาม และ 5.บันทึกความเข้าใจเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์เมืองคู่มิตรระหว่างจังหวัดตราดกับจังหวัดลองอาน เวียดนาม
จากนั้นนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศได้แถลงข่าวร่วมกัน โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศเดียวในอาเซียน ที่ไทยมีความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย และไทยเป็นประเทศเดียวที่เวียดนามมีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมด้วย ทั้งนี้ เวียดนามเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยในอาเซียน ขณะที่ไทยเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในอาเซียน โดยในปี 2557 มีอัตราการขยายตัวทางการค้าร้อยละ 13 โดยไทยกำลังผลักดันการลงทุนโครงการลงทุน ขนาดใหญ่หลายโครงการในเวียดนาม และหากสำเร็จจะทำให้ไทยเป็นประเทศผู้ลงทุนลำดับต้น ๆ ของเวียดนามในอนาคต นอกจากนี้เราตั้งใจว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าเราจะผลักกันให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเป็น 1 ล้านคนต่อปี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุม ได้มีการหารือในหลายประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าและการลงทุน ซึ่งเห็นพ้องกันที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนไทย ซึ่งรวมทั้งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ลงทุนในเวียดนาม ในสาขาต่างๆ เช่น การผลิตเสื้อผ้าและสิ่งทอ พลังงาน สินค้าอุปโภคบริโภค การเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูป ท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีไทยและเวียดนามยังได้หารือเกี่ยวกับการเพิ่มการส่งออกผลไม้ไทยไปยังเวียดนาม และไทยได้เชิญเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกสภาความร่วมมือด้านยางพาราระหว่างประเทศ ซึ่งไทย อินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นสมาชิกแล้ว เพื่อร่วมมือรักษาเสถียรภาพราคายางพาราในตลาดโลกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ กำหนดให้จัดตั้งกลไกเพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติและการค้ามนุษย์
ส่วนด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันจาก 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2563 โดยเร่งขจัดอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมการใช้เงินสกุลบาทและเงินด่องในการประกอบธุรกรรมทางการเงิน จัดตั้งกลไกหารืออย่างไม่เป็นทางการเรื่องการคุ้มครองและส่งเสริมการลงทุน และส่งเสริมการเปิดสาขาของธนาคารพาณิชย์ ระหว่างกัน นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำถึงความร่วมมือด้านการเกษตร ได้แก่ การควบคุมความปลอดภัยและคุณภาพผลิตผลทางการประมง และการพัฒนามาตรฐานและคุณภาพผลไม้ รวมทั้งเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการพัฒนาความเชื่อมโยงทั้งทางบก ทะเล และอากาศ เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยให้มีการเร่งรัดการเปิดการเดินรถโดยสารประจำทางระหว่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยกับเวียดนาม พัฒนาการเดินเรือชายฝั่งระหว่างภาคตะวันออกของไทย กัมพูชาและตอนใต้ของเวียดนาม และเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินและเที่ยวบินตรงระหว่างจุดหมายปลายทางใหม่ของสองประเทศต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญคือสัญญาใจที่เรามีระหว่างกันของตนกับนายกรัฐมนตรีเวียดนาม โดยมีหลายเรื่องที่เราจะต้องร่วมมือกันมากกว่านี้ ก็จะทำให้เร็วที่สุดในรัฐบาลสมัยนี้ให้ได้เพื่อประโยชน์ของประชาชาชนทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ในปี 2559 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – เวียดนาม จะครบรอบ 40 ปี การเยือนครั้งนี้จึงถือเป็นการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยาวนานของทั้งสองประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทยและเวียดนาม เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าวตลอดทั้งปี 2559
ด้านนายเหวียน เติ๊น สุง กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยืนยันคำมั่นที่จะปฏิบัติตามพันธะกรณี ที่จะไม่อนุญาตให้บุคคลหรือองค์กรใดใช้ดินแดนของตน เป็นฐานในการบ่อนทำลาย หรือต่อต้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตามไทยและเวียดนาม ยืนยันในจุดยืนเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ หรือทะเลตะวันออก เรายืนยันถึงท่าทีที่ระบุในถ้อยแถลงของประธานอาเซียนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 26 โดยเรามีข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าวที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และบ่อนทำลายสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาค เราจึงเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ และให้มีความยับยั้งใจในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไม่ใช่การข่มขู่ หรือใช้กำลัง และขอให้ยุติข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงขอเรียกร้องให้มีการพูดคุยหารือเพิ่มมาขึ้นเพื่อหาข้อยุติให้ได้