“แม่น้ำเจ้าพระยามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไร ทำไมคนกลุ่มหนึ่งถึงยอมเสี่ยงตาย ดำดิ่งลงไปทุกวัน” คำถามนี้พาทีมข่าวดั้นด้นค้นข้อมูล จนกระทั่งได้พบกับความจริงที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาจากที่ไหนๆ จากชุมชนมิตรคาม 1 เชิงสะพานกรุงธนฯ หรือแหล่งรวมสุดยอดนักประดาน้ำอิสระผู้ถูกเลื่องลือในการคว้านหาสมบัติใต้บาดาลมาแต่ยุคโบราณ จนถูกขนานนามว่า "ยิปซีแห่งสายน้ำ"
พวกเขาคือ ยอดมนุษย์
ต้นเดือนกรกฎาคม นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาตรง เป็นเวลาเดียวกับที่คนกรุงเทพฯ หลบร้อนอยู่ตามบนตึก ทว่า เรือไม้ลำหนึ่งความยาวราว 4 วา กลับแล่นมาหยุดใจกลางแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้าฯ ภายในเรือมีชายฉกรรจ์ 2 ราย คนหนึ่งรูปร่างสันทัด ผิวคล้ำกร้าน ดวงตาทั้งสองทำหน้าที่ราวเรดาร์ สาดส่องไปยังทุกซอกมุมเหนือผิวน้ำ ส่วนอีกคนหนึ่งรูปร่างผอมเกร็ง ดูมีอายุ แต่ยังคงทะมัดทะแมง กำลังพนมมือเหนือศีรษะ เพื่อขอพรครูบาอาจารย์ผู้เคยสั่งสอนวิชา อันเป็นวิถีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานกว่าร้อยปีของอาชีพ “หาของใต้น้ำ”
"ก็จะมีย่ามใบหนึ่งติดตัวไปด้วย ไว้ใส่ของที่หาได้ แล้วชุด ถ้าให้ดีต้องเป็นกางเกงขาวยาวเสื้อแขนยาว เพราะเวลาลงใต้น้ำทุกอย่างมืด แม้แต่มือตัวเองก็มองไม่เห็น ซึ่งลักษณะการหาของ เราจะไม่เดิน แต่จะใช้เข่า,ศอกคลานไปเรื่อยๆ ตรงนี้ชุดที่ใส่จะเซฟได้มากเวลาเจอเศษแก้วเศษหรือกระเบื้อง แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือหัวครู" ลุงสัม เจริญ บัวศรี ประดาน้ำรุ่นเก๋า วัย 49 ปี ตะโกนบอกทีมข่าวเกี่ยวกับสัมภาระจำเป็น ก่อนหย่อนกายหายลับลงสู่พื้นที่ไร้อากาศลึกราว 20 เมตร
เพราะการควานหาสมบัติใต้บาดาล อาจยาวนานถึงครั้งละ 30 นาที หรือประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวัน หัวครู หรือหัวครอบสเเตนเลสที่มีน้ำหนักมากถึง 20 กิโลฯ สร้างจากภูมิปัญญานักประดาน้ำกลุ่มนี้ จึงเป็นสิ่งเดียวที่การันตีความปลอดภัยให้ชีวิตรายวัน
"เราจะต่อสายยางปั๊มลมไว้กับหัวครูครับ เพื่อให้คนใต้น้ำมีอากาศหายใจ และสายยางนี่แหละที่คนบนเรือกับคนในน้ำใช้ส่งสัญญาณถึงกัน กระตุก 3 ครั้ง หมายถึงอยากขึ้นมา หรือขอให้ดึงขึ้นมา แต่ถ้ากระตุกรัวๆ 10 ครั้ง แสดงว่ากำลังเกิดอันตรายทั้งกับคนบนเรือและคนข้างล่าง คนที่จับสายยางรอสัญญาณอยู่บนเรือ ก็จะต้องรีบหย่อนเชือกลงไปอย่างเร็วที่สุด เพื่อให้เพื่อนรีบไต่ขึ้น ว่าง่ายๆ คือต้องช่วยกันดูทั้งสองฝ่าย" กุ้ง อนุพงษ์ ศรีปทุม หนุ่มประดาน้ำมือใหม่ วัย 24 ปี อธิบายกลไก ขณะผู้เป็นครูอย่างลุงสัม กำลังปฏิบัติภารกิจงมของมีค่า
นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบ่อยครั้ง นอกจากอุณหภูมิอันเย็นเยือกที่กำลังรอคอยนักล่าสมบัติไม่ว่าจะฤดูใดๆ หลังโผล่หัวขึ้นเหนือน้ำ บาดแผลน้อยใหญ่ คืออีกสิ่งหนึ่งที่มักติดไม้ติดมือเป็นของฝากกลับบ้านด้วยเสมอ ดังนั้น สิ่งที่คนอาชีพนี้ฝากชีวิตไว้ จึงไม่ใช่อุปกรณ์ แต่มันคือ "ประสบการณ์"
"ต่อให้มีเครื่องช่วย แต่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้นะ เราต้องฝึกกันมาตั้งแต่เด็ก และฝึกกับระดับครูบาอาจารย์ อย่างผมตอนเริ่มทำอาชีพนี้ ก็ต้องตามไปลงเรือกับพ่อตั้งแต่ตัวเองยังอายุสิบสี่สิบห้า ฝึกใหม่ๆ ก็ใส่หัวครูลงไปนี่แหละ แต่พอลงไปลึกๆ หูมันอื้อ เลือดกำเดามันก็ออก ทั้งจมูก ทั้งหู เพราะแรงดันน้ำ รู้สึกเลยว่าตั้งแต่หน้าผากตัวเองมันมีเสียงแตกดังเปรี๊ยะๆ ยาวเกือบถึงคางเหมือนจะระเบิดให้ได้ แต่เพราะความมืด เราเลยไม่รู้ว่าเลือดออกเยอะแค่ไหน จะรู้อีกทีก็ตอนโผล่บนบกโน่นแหละ ทุกคนนี่แตกตื่นกันหมด พอเห็นผมมีเลือดเต็มหัวครู" ลุงสัม ย้อนฉากระทึกของการดำน้ำวัยเยาว์ ก่อนส่งให้พี่โบ้ มานะ อ่องสะอาด ประดาน้ำมือดี วัย 42 ปีอีกคน เสริมต่อ "จะทำได้หรือไม่ ของแบบนี้ ผมว่าบางทีมันขึ้นอยู่กับสายเลือดจริงๆ นะ"
อีกมุมหนึ่งของเจ้าพระยา ที่คนเมืองไม่เคยได้สัมผัส
ราวครึ่งชั่วโมงหลังหายลับใต้ผืนน้ำ ในที่สุด ลุงสัม ก็ปีนขึ้นมาบนเรือพร้อมกับไบท์สูบชาวจีน ตุ๊กตาดินเผาสมัยอยุธยา องค์หล่อพระพิฆเนศเหล็กและไก่ขนาดเท่ากำปั้น รวมถึงถ้วยชามเก่าแก่ลวดลายแปลกตาหลายใบ เรียกได้ว่ามหาสมบัติชัดๆ
“สมัยก่อนแม่น้ำเจ้าพระยาเคยเป็นตลาดเก่า เพราะคนในอดีตมักสัญจรทางน้ำ ซื้อขายกันบนเรือ จึงมีข้าวของมีค่าตกหล่นอยู่ในน้ำ ทั้งถ้วยโถโอชาม ทั้งเงิน จนถึงทองคำสมัยอยุธยา แล้วยังไม่รวมกับชาวบ้านในอดีตที่ชอบนิยมฝังของมีค่าไว้ตามริมฝั่ง พอนานวันไป ตลิ่งเริ่มทรุดตัว ข้าวของเหล่านี้ก็เลยไหลลงมารวมอยู่ในน้ำ” นี่คือความเชื่อที่เหล่าประดาน้ำได้ยินมาจากต้นตระกูล
แม้จะเผยยิ้มทีท่าดีใจกับการไปที่ไม่เสียเที่ยว แต่ใบหน้าซีดเซียว และบาดแผลถลอกปลอกเปิกตามเนื้อตัว ก็พอจะเดาได้ว่า กว่าจะได้มา ประดาน้ำอย่างพวกเขาต้องเจออะไรบ้าง
“ข้างล่างน้ำลึก มันมืดจนเรามองอะไรไม่เห็น ต้องใช้สัญชาตญาณลูกเดียว มีแผลกลับมาเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเรา ยิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นชื่อเรื่องความแรง ไหลเชี่ยวด้วยแล้ว จึงประมาทไม่ได้เลยโดยเฉพาะกลางวันที่มีเรือผ่านมาตลอดเวลา แต่ถ้าถามว่ากลางคืนทำไมพวกเราไม่มาหา เพราะเราไม่อยากถูกมองเหมือนโจร การหาของยามวิกาลมันจะทำให้คนมองพวกเราเป็นภาพลบทันที” พี่โบ้ มานะ อ่องสะอาด เปรยถึงสาเหตุที่ประดาน้ำไม่ค่อยออกหาสมบัติยามค่ำคืน ก่อน ถ่ายทอดบรรยากาศเน่าเฟะใต้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นฉากๆ
“มันมีทั้งต้นไม้ มีทั้งโคก หลุม เนิน ไม่ได้ราบเรียบเป็นดินเลนเหมือนที่หลายคนคิดเลย ยิ่งขยะหรือเศษขวดเศษแก้วนี่บอกเลย มีกองเป็นภูเขา พวกเราทำอาชีพนี้บางทีก็น้อยใจนะ เราอยู่ริมน้ำ เขาก็หาว่าพวกชุมชนริมแม่น้ำคือที่มาของการทิ้งขยะ แต่เขาไม่ได้คิดเลยว่าทุกวันนี้ เราไม่ได้ช่วยแค่ให้ออกซิเจนกับน้ำ ตอนสูบลมลงไปผ่านหัวครู แต่เรายังคอยเศษถุงพลาสติก เศษขวดที่มันทับถมกันในน้ำขึ้นมาทิ้งขึ้นมาขายให้ด้วย อยากให้ไปดูตามร้านอาหาร ตามโรงแรมริมน้ำดีกว่า พอถ้วยแตกชามแตกก็เอาแต่โยนลงไป จนข้างล่างตอนนี้เหมือนถนนกระเบื้องไปแล้ว”
เพราะชั่วโมงบินในอาชีพถูกสั่งสมมาตั้งแต่เด็ก นักประดาน้ำจึงรู้ว่า ดินชนิดใดหาของได้ง่าย หรือบริเวณน้ำช่วงไหนที่ขยะมักมาไม่ถึง “เราจะไม่หามั่ว ดินแบบไหนถึงมีของอันนี้เรารู้ ส่วนการงมของส่วนใหญ่ เราจะไม่ลงตอนฝนตก หรือช่วงหน้าหนาว เพราะอุณหภูมิข้างล่างจะสูงเกินคนรับไหว นอกจากจะงมกันแล้ว และดันเจอฝนจริงๆ ส่วนน้ำพวกเราก็จะลงแค่ช่วงๆ กลางแม่น้ำ เพราะมันเป็นทางน้ำผ่าน ไม่ค่อยมีขยะทับถมทำให้ง่ายต่อการหาของ”
นี่แหละ! อาจารย์ โบราณคดีนอกตำรา
แน่นอนว่าศาสตร์การดูข้างขึ้นข้างแรมค้นสมบัติ ไม่ใช่ชื่อเสียงเพียงหนึ่งเดียวที่คนในชุมชนมิตรคามถูกล่ำลือไปทั่วคุ้งน้ำ เพราะงานรับจ้างงมหาของมีค่าที่ชาวบ้านมักทำตกหล่นโดยไม่ตั้งใจ หรืองานกู้เรืออับปาง ทำความสะอาดใบพัดเรือ ทั้งหมดเคยสำเร็จมาแล้วเกินร้อย
“งานรับจ้าง เราทำได้หมดไม่เคยให้ใครผิดหวัง ส่วนใหญ่ที่ฮิตๆ เลยจะเป็นไอโฟน 5 เจอบ่อยมาก นานๆทีจะเป็นทองรูปพรรณติดต่อเข้ามา โดยเราจะคิดราคาค่าหาจากของที่ทำหล่อน 40 - 50% ของราคาของ แล้วแต่สภาพและตามแต่ตกลงกัน แต่ช่วงไหนไม่มีงานจ้าง บางคนก็จะเปลี่ยนมาหาปลา บางคนก็ออกไปงมของไกล บางคนก็หากินใกล้บ้าน ออกเช้าเย็นกลับ บางคนฝันจะเจอของเยอะกว่าก็นิยมล่องเรือไปไกลถึงปทุมธานี อยุธยา ราชบุรีนานเป็นเดือนๆ แต่ทุกวันนี้ ไม่ว่าที่ไหนของใต้น้ำมันก็เริ่มไม่มีแล้ว บางวันก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า”
ขณะปากท้องยังต้องดำเนินต่อ แต่ชีวิตกลับต้องฝากไว้กับโชค ดังนั้น ทางเลือกจึงมีไม่มากนักสำหรับนักประดาน้ำ ลุงสัมเล่าว่า แกเคยถูกว่าจ้างไปงมศพมาแล้วถึง 4 ศพ ศพสุดท้ายเป็นหนุ่มวัยสิบกว่าปีรูปร่างท้วมใหญ่ ที่เผลอจมน้ำขณะเล่นสงกรานต์ กว่าจะงมขึ้นมาได้ต้องจุดธูปบอกกล่าวกันยกใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้น ครั้งหนึ่งยังเคยมีเศรษฐีวัยกลางคนอยากทำบุญด้วยวิธีใหม่ๆ จึงติดต่อเข้ามาว่าจ้างให้แก ดำหากะโหลกใต้น้ำของคนยุคโบราณ ซึ่งยังไม่เคยมีใครค้นพบ เพื่อมาทำพิธีบำเพ็ญกุศลให้ได้ไปผุดไปเกิดตามความเชื่อ
“ผมเคยไปหาของที่วัดพนันเชิง เพราะตรงนั้นคือแหล่งลอยอังคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีเหรียญเยอะ ตอนดำมันรู้สึกแปลกๆ ปวดเนื้อปวดตัวบอกไม่ถูก ไม่เหมือนกับน้ำที่อื่น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าที่เจ้าทาง หรือเพราะคนที่ตายเป็นไข้รึเปล่า เวลากลายเป็นผง พิษไข้เลยลอยมาโดนเรา แต่ก็น่าแปลกที่คนทำอาชีพนี้ไม่เคยมีใครตายในหน้าที่ มีแต่เจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บหนักบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็แค่นั้น” แม้จะคุ้มเสี่ยงกับราคาของที่ได้หลังปฏิบัติภารกิจ แต่บ่อยครั้งก็มักมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ
“ที่เคยได้ๆ ก็มีทุกอย่าง ตั้งแต่เงินหูหนวก เงินจีนแปะ สตางค์แดง เงินพดด้วง เงินแบนสมัย ร.5 อันละไพ ขวดน้ำมะเน็ด พระเครื่อง กะโหลกคน กะโหลกจระเข้ และกะโหลกม้า ไปจนถึงแหวนเขาควาย และทองทวารวดี มันสะท้อนให้เห็นเลยว่าเจ้าพระยาสมัยก่อน แม่น้ำอุดมสมบูรณ์ มีจระเข้ชุกชุม”
เมื่อของที่ได้มา บางชิ้นอาจเก่าแก่เกินจะรู้จัก เหล่าประดาน้ำจึงต้องศึกษากันอย่างจริงจัง ทั้งพึ่งตำรา ทั้งสอบถามจากคนรุ่นปู่ย่า เพื่อตีมูลค่า ไม่ให้ถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางที่มักแวะเวียนเข้ามาติดต่อขอซื้อถึงหมู่บ้าน สัปดาห์ละ 2 หน
“ถ้าเป็นเงินสมัยนี้ เราจะนำมาล้างให้สะอาด ก่อนรวบรวมไปแลกบาทต่อบาทที่กองกษาปณ์ หรือถ้าของเก่าๆ หน่อยก็จะไปส่งขายตามสวนจตุจักร แต่ส่วนใหญ่สมัยนี้จะไม่ค่อยได้ของมีค่า อย่างมากสุด ถ้าวันไหนฟลุ๊คๆ ก็จะได้เศษทองรูปพรรณที่คนทำหล่นน้ำโดยไม่ตั้งใจ สลึงค์นึงบ้าง สองสลึงบ้าง ไม่มีแล้วพวกแก้วแหวนเงินทองสมัยโบราณ หรือถ้ามีแล้วใครเก็บได้ ก็ไม่ค่อยขายนะ จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกกัน”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบ คำถามหนึ่งจึงดังขึ้น “แล้วกรมศิลปากร หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องจะไม่เข้ามาตรวจสอบตรงนี้หรือ?”
เรื่องนี้ พี่โบ้ ให้เหตุผลว่า เนื่องจากข้าวของที่งมได้ส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทรัพย์แผ่นดิน แต่เป็นของส่วนบุคคลที่เคยทำตกหล่น มิหนำซ้ำ ปัจจุบันคนในชุมชนยังไม่เคยมีใครรวยเพราะของที่หาได้ ทุกชีวิตยังคงต้องดิ้นรนหาเช้ากินค่ำ จึงไม่มีหน่วยงานใดคิดรังแกในจุดนี้ แต่ท่ามกลางความสุขเล็กน้อยที่คอยต่อเติมชีวิตคนในชุมชน ในที่สุด ก็กำลังจะถึงคราวต้องปิดฉาก เมื่อสิ่งที่ชาวบ้านเกรงกลัวที่สุดอย่าง “ความเจริญ” เริ่มเข้าแทรกซึม
แลนด์มาร์คเพื่อการพัฒนา สร้างสรรค์ หรือทำลาย?
หากใครเคยติดตามข่าวคราวแวดวงจักรยานมาบ้าง คงเคยได้ยินแผนโครงการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หรือแลนด์มาร์คใหม่ที่รัฐบาลวาดฝันไว้สวยหรูว่าจะเนรมิตให้เป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ เป็นเลนจักรยานใหม่ของคนกรุงเทพฯ ภายใต้ระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร ตั้งแต่สะพานพระราม 7 ถึงสะพานพระราม 3 โดยเฟสแรกจะเริ่มก่อสร้างจากสะพานพระปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม 7 ระยะทางรวม 14 กิโลเมตร ซึ่งจะเริ่มต้นภายในช่วงตุลาคมที่กำลังจะมาถึงนี้
ทว่า เสียงฟากประชาชนส่วนใหญ่กลับคัดค้านต่อต้านว่าเลนเขียวเลียบแม่น้ำสายนี้จะบ่อนทำลายทัศนียภาพอันงดงาม และระบบนิเวศของเหล่าสัตว์น้ำริมสองฝั่งจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำ ยังพาลให้วิถีชีวิตที่เคยดำรงอยู่มานับร้อยปีอย่าง มิตรคาม 1 หรือชุมชนขนาด 248 หลังคาเรือนล่มสลาย เลือนหายจากแผนที่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
“เรารู้ว่าเราผิด เพราะทุกวันนี้พวกเราอยู่กันที่นี่ในฐานะผู้บุกรุกน่านน้ำ แต่เราอยู่ที่นี่มาเป็นร้อยปี ตั้งแต่ที่กฎหมายบุกรุกพื้นที่จะออกมาเมื่อปี 35 เสียอีก อยู่ๆ เขาก็ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาบอกกับพวกเราว่า สิ้นปีนี้จะต้องย้ายออกไปให้หมด เพราะเขาจะสร้างแลนมาร์คตรงนี้” พี่โสภี แพรเอี่ยม วัย 58 ปี หนึ่งในผู้นำชุมชม อดีตรองประธานกลุ่มมิตรคาม 1 ผู้เป็นที่เคารพนับถือ ยังคงสลดเมื่อย้อนนึกถึงวินาทีที่ไม่คาดฝันวันนั้น
ราวต้นปี 2558 ทางกทม. และสำนักงานเขต ขอเข้าพบกลุ่มผู้นำชุมชน ด้วยเหตุผลว่า อยากสอบถามสารทุกข์สุขดิบ แต่แล้วในระหว่างประชุม ก็ยื่นข้อเสนอว่า จะทำแลนด์มาร์คผ่านจุดนี้ นั่นหมายถึง คนในชุมชนมิตรคาม 1 จะต้องขนย้ายข้าวของออกไป ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ยินดีจะมอบเงินเยียวยาคุ้มค่าที่สุด และขอรับรองว่า ภายในสิ้นปีนี้ ทุกคนจะต้องเดินออกไปด้วยรอยยิ้มแน่นอน
“ไม่เคยรู้ข่าวมาก่อนจนกระทั่งมาได้ยินจากทีวีนี่แหละ ทางการไม่เคยมาถามสักคำว่าเห็นด้วยหรือไม่ คนเป็นร้อยครอบครัวกำลังจะโดนไล่ที่ พวกเราเป็นแค่ชาวบ้านจนๆ หาเช้ากินค่ำ หนี้สินก็เยอะ แถมไม่มีเงินก้อนใหญ่ไปหาที่อยู่ใหม่ เราอยู่ที่นี่กันมาเป็นนับร้อยปีแล้ว ถ้าวันหนึ่งต้องย้ายขึ้นไปอยู่บนบก ยังนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตจะเป็นยังไง” พี่โบ้ กล่าวอย่างไม่พอใจ เพราะไม่เชื่อว่า แลนด์มาร์คใหม่ที่รัฐบาลจัดสรรค์จะมอบความสุขให้ผู้คนได้จริง หากสร้างมาจากความทุกข์ร้อนของชาวบ้านนับพัน
“เขามองว่าเราบุกรุก แต่ทีชาวโรฮิงญาเดือดร้อนผ่านมา เขากลับให้ที่พัก ให้เงิน ให้อาหาร แต่นี่เราคนไทยด้วยกันแท้ๆ เขากลับมาไล่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ปลายปี54 เกิดน้ำท่วมใหญ่ เขาไม่เคยเลยที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เราคนในชุมชนซ่อมแซมกันเองตลอด บ้านไม้ที่เห็นก็ทำเองด้วยไม้ที่หากันเองด้วยน้ำพักน้ำแรง แล้วพอเราดึงดัน ยังมาถามกันอีกว่า ทำไมเสียสละเพื่อคนส่วนรวมไม่ได้ เราก็อยากจะบอกพวกเขานะว่า เรายอมเสียสละได้เสมอ ถ้าแลนด์มาร์คที่เขาว่า มันเป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างประโยชน์กับคนทั้งประเทศจริงๆ ไม่ใช่แค่เลนจักรยาน เอาใจคนไม่กี่กลุ่ม” ลุงสัม ระเบิดความอัดอั้นตันใจ
ขณะที่ลุงสุเทพ นักประดาน้ำผู้หาของเก่ามาทั้งชีวิต เชื่อว่าเสน่ห์ของแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ตรงวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน มิใช่ถนนอันหรูหราทันสมัยให้คนมาพักผ่อนหย่อนใจ“ให้เป็นแสนเป็นล้าน เราก็ไม่อยากไป ไอ้แลนด์มาร์คแบบนี้บ้านเมืองที่เขาเจริญแล้วที่ไหนมันก็มี ถามว่านักท่องเที่ยวเขาอยากจะมาดูบ้านเรือนริมน้ำ หรือสวนหย่อมสวยๆ แล้วยิ่งสมัยนี้ ชุมชนเก่าๆ ริมน้ำมันก็แทบจะหายไปหมดแล้ว ทิวทัศน์สองฝั่งเจ้าพระยามันควรจะมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมสิ ไม่ใช่ถนนหรูๆ ที่มีจักรยานมาปั่น มีคนไม่กี่คนมาเดินเล่น”
แม้จะยังไม่เข้าใจกับโครงการในฝันของคนบางกลุ่ม แต่อนุพงษ์ ศรีปทุม หนุ่มประดาน้ำมือใหม่ ก็ขอออกเสียงที่อยู่ในใจ “ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปเมื่อไหร่ครับ ถ้าได้ขึ้นฝั่งก็คงต้องไปเป็นยาม คงไม่ได้ทำอีกแล้วอาชีพที่พ่อแม่ฝากไว้”
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่กระจายไปยังจุดต่างๆ ในชุมชน คนเฒ่าคนแก่ที่เคยนอนเจ็บป่วยอยู่บนเตียง ก็เกิดท้อแท้ชีวิต สิ้นหวังล้มตายกัน 4 รายติด แม้จะมีเสียงบางส่วน เห็นด้วยว่าควรย้ายออกไป แต่นั่นก็ด้วยเหตุผลในเชิงตัดพ้อว่า หากอยู่ที่นี่ต่อ ก็รังแต่จะถูกรังแก คงไม่มีหลักประกันใดๆ อีกแล้ว รับรองว่าจะไม่ถูกบีบคั้นต่อในภายภาคหน้า
“อยากให้เขาเปลี่ยนความคิดว่าจะจำกัดพื้นที่ใหม่ให้พวกเรา เป็นให้พวกเราอยู่ที่เดิม เพื่อรักษาวิถีแบบไทยเดิมไว้ หรือไม่ก็เปลี่ยนที่นี่ ให้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ หรือแหล่งศึกษาของเก่า ซึ่งเราก็มีอยู่เยอะ จะทำถนนจักรยานก็ทำได้ แต่ให้ทำผ่านไป ไม่ใช่มาทำโดยลบเอาบ้านเรือนของพวกเรา อย่างน้อยๆ ชีวิตชาวชายน้ำกลุ่มสุดท้ายก็จะได้เก็บไว้ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานดูต่อไปนะ” แม้จะรู้ว่าเสียงเล็กๆ ของคนเพียงไม่กี่คนไม่อาจเปลี่ยนใจรัฐบาล แต่นี่คือความปรารถนาทั้งหมดของคนในชุมชนที่วอนให้ผู้นำประเทศลองคิดใหม่
ดวงดาวเกลื่อนกระจายเต็มฟ้า คืนแรมเหนือแนวแม่น้ำเจ้าพระยา มีภาพความงดงามยามค่ำคืนที่คนเมืองน้อยคนจะได้สัมผัส หากไม่เคยรอนแรมมาถึงจุดต้นสุดและปลายสายของแม่น้ำเหมือนพวกเขา จากคำถามที่ว่า “แม่น้ำเจ้าพระยามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไร” บางทีอาจได้คำตอบแล้วว่า ของล้ำค่าจริงๆ มิได้อยู่ใต้ผิวน้ำ หากมันอยู่บนฝั่ง และอยู่ในตัวของพวกเขาทุกคน “ยิปซีแห่งสายน้ำ”
"จำได้ว่าสมัยผมยังเด็ก สองตลิ่งบ้านคนยังเป็นไม้ มีชุมชนมีวัดวาอาราม มีต้นไม้ร่มรื่น มีปลาชุกชุม ท่าน้ำนี่เต็มไปหมด หลายคนลงมาอาบน้ำ โบกมือให้กันทุกครั้งเมื่อเรือผ่าน แต่เดี๋ยวนี้พอนายทุนเขากว้านซื้อพื้นที่ ก็ไม่มีอีกแล้ววิถีชีวิตชาวบ้าน มีแต่เวรยามที่คอยมายืนจ้องด้วยความระแวงเวลาที่เรือพวกเราผ่าน มองไปก็มีแต่ออฟฟิศ โรงงาน โรงแรม ร้านอาหาร มันใจหายเหมือนกันนะ ที่หลายๆ อย่างหายไปในรุ่นเรา แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งบ้านของเราเอง ก็จะต้องหายไปเหมือนกัน"
ประโยคหนึ่งดังแว่วขึ้นบนเรือที่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่มีเข็มทิศนำทาง หรือสิ่งใดๆ การันตีถึงความปลอดภัยในชีวิต เป็นเรือที่ออกหาของใต้ผิวน้ำเพื่อมาต่อชีวิตคนบนบก และเช้าวันถัดไป อาจเป็นเพียงเช้าสุดท้ายที่ยังหลงเหลือ ของอาชีพเก่าแก่นับร้อยปีริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และใคร! จะเป็นเหยื่อของการพัฒนารายต่อไป มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้
ข่าวโดย ทีมข่าว FeelGood
เรื่องโดย ธิติ ปลีทอง
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์