รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ปรากฏการณ์วิกฤตแล้งจัดในไทยในปัจจุบันเป็นภัยแล้งมากที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา "ทอมสัน รอยเตอร์ ฟาวเดชัน" เผยข้อมูลภัยแล้งที่กระทบถึงการผู้ใช้ชีวิตของชาวกทม.ซึ่งเป็นที่น่าตกตะลึงหลังผู้ว่าฯกปน.ระบุ "หากยังไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มประชาชนในกรุงเทพฯจะมีน้ำประปาไว้ใช้สอยต่อไปได้เพียงแค่ 30 วันเท่านั้น" พร้อมกับประกาศให้ผู้ใช้น้ำกักตุนน้ำดื่ มจำนวน 60 ลิตรไว้ในยามฉุกเฉิน ส่วนเขื่อนภูมิพลเข้าวิกฤตขั้นที่ 2 หยุดปล่อยน้ำเพื่อการเกษตรแล้ว แถมน้ำใหม่ไหลเข้าน้อย ส่วนพืชผลการเกษตร 6 อำเภอทั่วสุโขทัยเหี่ยวเฉา คาดเสียหายกว่า 9 หมื่นไร่ ด้านชาวนาเมืองชาละวันต้องลงทุนเป็นแสนจ้างเจาะบาดาลลึกถึง 40 เมตร
หลังจากปรากฎการณ์แล้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ล่าสุดระดับน้ำในเขื่อนภูมิพล ที่เป็นกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยอยู่ในระดับวิกฤตขั้น 2 ที่มีน้ำเพียงพอสำหรับการใช้ในครัวเรือนเท่านั้น คล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียที่มาจนถึงวันนี้ต้องใช้มาตรการปันน้ำและห้ามการรดน้ำสนามหญ้าเด็ดขาด
ทอมสัน รอยเตอร์ ฟาวเดชันรายงานสถานการณ์ภัยแล้งหนักในไทย ที่ประชาชนในกรุงเทพฯ อาจมีน้ำประปาใช้ได้อีกเพียงแค่เดือนเดียว หลังฝนทิ้งช่วงห่างเติมน้ำในบริเวณแหล่งต้นน้ำในการผลิตทำน้ำประปาไม่ทัน รวมไปถึงภัยคุกคามจากน้ำเค็มที่หนุนเข้าแหล่งน้ำและเปลี่ยนให้น้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นน้ำกร่อย จนกระทั่งการประปานครหลวงต้องงดใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อผลิตน้ำเป็นเวลาร่วม 3 ชม.ก่อนที่จำต้องกลับดึงน้ำกลับมาใช้ผลิตต่อ
รอยเตอร์รายงานวานนี้ (7ก.ค.) ว่า จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารการประปานครหลวงกับรอยเตอร์พบว่ากรุงเทพฯอาจมีน้ำประปาเพียงพอสำหรับใช้สอยได้เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้นท่ามกลางสถานการณ์ภัยแล้งหนักที่ไทยกำลังประสบปัญหาทุกวันนี้ ร้ายแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี
และจากความพยายามในการรักษาระดับน้ำในเขื่อนที่ส่งต่อไปยังพื้นที่การเกษตรของไทยในจังหวัดต่างๆ รวมไปถึงน้ำนี้ยังถูกส่งเข้ามาเพื่อผลิตเป็นน้ำประปาให้กับประชาชนในเมืองหลวงของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ร้องขอไม่ให้ชาวนาเริ่มทำการเพาะปลูกตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว และถึงแม้ทางการไทยจะมีมาตรการแก้ไขเหล่านี้ออกไป แต่ทว่าระดับน้ำยังอยู่ขั้นวิกฤตในแหล่งเก็บน้ำ 3แหล่งใหญ่ที่ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นหนึ่งในสองของแหล่งน้ำสำหรับผลิตเป็นน้ำประปาให้คนกรุงได้ใช้สอย
รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่านายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการประปานครหลวง เปิดเผยว่า เมื่อพิจารณาดูจำนวนน้ำที่สามารถกักเก็บได้ล่าสุดนั้นมีจำนวนลดลงอย่างน่าใจหาย โดยพบว่าในเดือนพฤศจิกายน 2014 ไทยสามารถกักเก็บน้ำรวมกันจากทั้ง 3 เขื่อนหลักได้เพียงแค่ 5 พันล้านคิวบิกเมตร เมื่อเทียบกับตามปกติก่อนหน้านั้นสามารถกักเก็บได้ถึง 8 พันล้านคิวบิกเมตร
"เฉพาะในวันจันทร์ที่ผ่านมามีน้ำเหลือเพียงแค่ 660 ล้านคิวบิกเมตรเท่านั้น และในขณะนี้มีน้ำในเขื่อนเหลือเพียงพอที่จะสามารถป้อนเข้ามาทำน้ำประปาได้เพียงแค่ 30 วันเท่านั้น ในกรณีที่ฝนไม่ตกเลย" ผู้ว่าการประปานครหลวงกล่าว
รอยเตอร์ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ตามปกติระดับน้ำฝนและน้ำในเขื่อนจะช่วยกั้นไม่ให้น้ำเค็มจากอ่าวไทยไหลเข้ามา แต่ทว่าในช่วงหน้าแล้งน้ำเค็มได้คืบคลานไปยังบริเวณต้นแหล่งน้ำ ส่งผลทำให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากลายเป็นน้ำกร่อย ที่มีรสชาติเค็มเล็กน้อยและอย่างที่ทราบกันว่าน้ำกร่อยที่มีเกลือผสมนี้ไม่สามารถใช้ทำการเกษตรได้ เพราะพืชผลตอลดจนต้นไม้ต่างๆ จะตายหากมีการใช้น้ำกร่อยรด และยังนำลายสถานีสูบน้ำอีกด้วย ซึ่งดูดน้ำจากแม่น้ำร่วม 100 กม.ลงสู่อ่าว
ทั้งนี้ การประปานครหลวงมีกำลังการผลิตน้ำประปา 5.2 ล้านคิวบิกเมตร/วัน สำหรับผู้ใช้น้ำร่วม 2.2 ล้านคน ที่รวมไปถึง โรงงาน ธุรกิจ และห้างร้านต่างๆ แต่ทว่าทางการประปานครหลวงยังไม่มีความสามารถในการบำบัดน้ำเค็มได้อย่างมีประสิทธิภาพทันตามความต้องการ
"มีบางวันที่ระดับน้ำเค็มเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ทางการประปานครหลวงตัดสินใจไม่นำน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามาใช้ในการผลิต แต่เราใช้น้ำจากคลังเก็บน้ำสำรองในคลองชลประทานที่เรามีเพื่อนำผลิต แต่ทางการประปาสามารถหยุดการนำน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อมาใช้ในการผลิตได้แค่เพียง 3 ชม.เท่านั้น"
รอยเตอร์รายงานต่อว่า การประปานครหลวงได้ประกาศเตือนให้ผู้ใช้น้ำในเขตกรุงเทพฯกักตุนน้ำดื่มจำนวน 60 ลิตรไว้ในการเตรียมพร้อมเมื่อมีการประกาศแจ้งน้ำประปาขาดแคลนออกมา และพร้อมกันนั้นยังขอให้คนกรุงเทพฯ ลดปริมาณการใช้น้ำลง แต่ทว่าในตอนนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะราคาต่อหน่วยของปริมาตรน้ำที่ผู้ใช้ต้องจ่ายเป็นราคาที่ถูกมากคือ 8.50 บาท/1,000 ลิตร
"เป็นเพราะมีราคาถูกมากจนเกินไปจึงทำให้ผู้ใช้ไม่เห็นคุณค่าที่ต้องประหยัดน้ำและอัตรานี้กำหนดมาตั้งแต่ปี 1999 แล้ว และอาจกล่าวได้ว่าเป็นนครที่ใหญ่แต่มีราคาน้ำประปาที่ถูกที่สุดในโลกก็ว่าได้" ผู้ว่าการประปานครหลวงตัดพ้อ
พร้อมกล่าวต่อว่า หน่วยงานการประปามีแผนที่จะใช้เม็ดเงิน 1.3 พันล้านดอลลาร์ในโครงการระยะเวลา 7 ปีเพื่อเพิ่มความสามารถการผลิตและการกักเก็บน้ำ และนอกจากนี้ยังมีการเริ่มพิจารณาในโครงการระยะยาว 30 ปีเพื่อ (1) ประเมินความต้องการน้ำสำหรับการใช้สอย (2) การหาแหล่งน้ำใหม่ และ (3) การสร้างเครื่องป้องกันน้ำเค็ม ธนศักดิ์กล่าว
**น้ำในเขื่อนภูมิพลเข้าวิกฤตขั้นที่ 2
ด้านนายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง ผอ.เขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพล อ.สามเงา ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤตระดับที่ 2 คือไม่สามารถระบายเพื่อการเกษตร แต่มีน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค ระบายให้แก่ประชาชนในพื้นที่ท้ายน้ำได้เท่านั้น ขณะที่ฝนในภาคเหนือขณะนี้ยังมีปริมาณไม่มากทำให้พื้นดินที่ผ่านความแห้งแล้งดูดซับน้ำไว้และยังไม่อิ่มตัว ทำให้เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลเพียง 0.89 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 4,006 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 29.76% สามารถระบายน้ำได้เพียง 206 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2.13% โดยทำการระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อนวันละ 8 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ว่างรับน้ำใหม่จำนวน 9,455 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 70.24%
ทั้งนี้ ถือว่าปีนี้เป็นปีที่มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลน้อยที่สุดในรอบ 51 ปี ของการก่อสร้างเขื่อนภูมิพล โดยระหว่างวันที่ 1 เม.ย. 58-6 ก.ค.58 (ปีน้ำ นับตั้งแต่ 1 เม.ย.-31 มี.ค.) มีน้ำเหนือใหม่ที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลเพียง 48.13 ล้าน ลบ.ม.
ในขณะเดียวกันต้องทำการระบายน้ำลงสู่ลุ่มน้ำ 1,312.33 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ในขณะนี้ 206 ล้าน ลบ.ม.ไม่สามารถระบายน้ำเพื่อการเกษตรได้ เนื่องจากปริมาณน้ำส่วนนี้ต้องสำรองไว้ใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภคและรักษาระบบนิเวศเท่านั้น และหากปริมาณน้ำใช้งานลดต่ำกว่า 176 ล้าน ลบ.ม.ก็จะเข้าสู่ภาวะวิกฤตขั้นที่ 1 คือ เป็นน้ำเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น
ขณะที่เขื่อนสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 6 ก.ค.มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำจำนวน 2.92 ล้าน ลบ.ม. คงเหลือน้ำกักเก็บทั้งหมดเพียง 3,233 ล้าน ลบ.ม. หรือ 34.01% สามารถระบายได้ เพียง 383 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 5.76% วันนี้เขื่อนสิริกิติ์ยังคงระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายน้ำจำนวน 17 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ว่างรับน้ำใหม่จำนวน 6,276 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 65.99% ซึ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 แห่งของภาคเหนือดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรใต้เขื่อนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยนายสุเทพ ลิมปะพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย เปิดเผยว่า นาข้าว พืชไร่ และพืชสวนต่างๆ ในจังหวัดสุโขทัย อยู่ในระยะวิกฤตเหี่ยวเฉาถาวร และคาดว่าจะเสียหายจำนวน 90,120 ไร่
โดยภาพรวมทั้งจังหวัดมีพื้นที่ประสบภัยแล้ง 6 อำเภอคือ อ.เมือง อ.บ้านด่านลานหอย อ.คีรีมาศ อ.ศรีสำโรง อ.สวรรคโลก และ อ.ทุ่งเสลี่ยม รวม 34 ตำบล 266 หมู่บ้าน มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 9,693 ครัวเรือน ส่วนพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้งทั้งหมดมี 130,929 ไร่ ซึ่งสำนักงานเกษตรจังหวัดฯ ได้สำรวจและเตรียมให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป
**ชาวนาพิจิตรลงทุนจ้างเจาะบาดาลลึก
ขณะที่นายประเทือง แสนดี อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79 หมู่ 2 บ้านโนนป่าแดง ต.หนองหลุม อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ที่ทำนา 10 ไร่ กล่าวว่า เปิดเผยว่า เจอภัยแล้งอย่างหนักทำนาไม่ได้มานานกว่า 8 เดือนแล้ว จึงยอมลงทุนเพิ่มเกือบ 1 แสนบาทเจาะบ่อบาดาลลึกลงไปประมาณ 40 เมตร หรือ 20 วา ซึ่งผู้รับจ้างคิดค่าเจาะวาละ 500 บาท และต้องใส่ท่อพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้วลงไปใต้ดิน พร้อมกับต้องต่อไฟฟ้ามาใช้กับเครื่องสูบน้ำด้วย
หลังจากปรากฎการณ์แล้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ล่าสุดระดับน้ำในเขื่อนภูมิพล ที่เป็นกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยอยู่ในระดับวิกฤตขั้น 2 ที่มีน้ำเพียงพอสำหรับการใช้ในครัวเรือนเท่านั้น คล้ายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียที่มาจนถึงวันนี้ต้องใช้มาตรการปันน้ำและห้ามการรดน้ำสนามหญ้าเด็ดขาด
ทอมสัน รอยเตอร์ ฟาวเดชันรายงานสถานการณ์ภัยแล้งหนักในไทย ที่ประชาชนในกรุงเทพฯ อาจมีน้ำประปาใช้ได้อีกเพียงแค่เดือนเดียว หลังฝนทิ้งช่วงห่างเติมน้ำในบริเวณแหล่งต้นน้ำในการผลิตทำน้ำประปาไม่ทัน รวมไปถึงภัยคุกคามจากน้ำเค็มที่หนุนเข้าแหล่งน้ำและเปลี่ยนให้น้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นน้ำกร่อย จนกระทั่งการประปานครหลวงต้องงดใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อผลิตน้ำเป็นเวลาร่วม 3 ชม.ก่อนที่จำต้องกลับดึงน้ำกลับมาใช้ผลิตต่อ
รอยเตอร์รายงานวานนี้ (7ก.ค.) ว่า จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารการประปานครหลวงกับรอยเตอร์พบว่ากรุงเทพฯอาจมีน้ำประปาเพียงพอสำหรับใช้สอยได้เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้นท่ามกลางสถานการณ์ภัยแล้งหนักที่ไทยกำลังประสบปัญหาทุกวันนี้ ร้ายแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี
และจากความพยายามในการรักษาระดับน้ำในเขื่อนที่ส่งต่อไปยังพื้นที่การเกษตรของไทยในจังหวัดต่างๆ รวมไปถึงน้ำนี้ยังถูกส่งเข้ามาเพื่อผลิตเป็นน้ำประปาให้กับประชาชนในเมืองหลวงของประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ร้องขอไม่ให้ชาวนาเริ่มทำการเพาะปลูกตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว และถึงแม้ทางการไทยจะมีมาตรการแก้ไขเหล่านี้ออกไป แต่ทว่าระดับน้ำยังอยู่ขั้นวิกฤตในแหล่งเก็บน้ำ 3แหล่งใหญ่ที่ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นหนึ่งในสองของแหล่งน้ำสำหรับผลิตเป็นน้ำประปาให้คนกรุงได้ใช้สอย
รอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่านายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการประปานครหลวง เปิดเผยว่า เมื่อพิจารณาดูจำนวนน้ำที่สามารถกักเก็บได้ล่าสุดนั้นมีจำนวนลดลงอย่างน่าใจหาย โดยพบว่าในเดือนพฤศจิกายน 2014 ไทยสามารถกักเก็บน้ำรวมกันจากทั้ง 3 เขื่อนหลักได้เพียงแค่ 5 พันล้านคิวบิกเมตร เมื่อเทียบกับตามปกติก่อนหน้านั้นสามารถกักเก็บได้ถึง 8 พันล้านคิวบิกเมตร
"เฉพาะในวันจันทร์ที่ผ่านมามีน้ำเหลือเพียงแค่ 660 ล้านคิวบิกเมตรเท่านั้น และในขณะนี้มีน้ำในเขื่อนเหลือเพียงพอที่จะสามารถป้อนเข้ามาทำน้ำประปาได้เพียงแค่ 30 วันเท่านั้น ในกรณีที่ฝนไม่ตกเลย" ผู้ว่าการประปานครหลวงกล่าว
รอยเตอร์ยังรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ตามปกติระดับน้ำฝนและน้ำในเขื่อนจะช่วยกั้นไม่ให้น้ำเค็มจากอ่าวไทยไหลเข้ามา แต่ทว่าในช่วงหน้าแล้งน้ำเค็มได้คืบคลานไปยังบริเวณต้นแหล่งน้ำ ส่งผลทำให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยากลายเป็นน้ำกร่อย ที่มีรสชาติเค็มเล็กน้อยและอย่างที่ทราบกันว่าน้ำกร่อยที่มีเกลือผสมนี้ไม่สามารถใช้ทำการเกษตรได้ เพราะพืชผลตอลดจนต้นไม้ต่างๆ จะตายหากมีการใช้น้ำกร่อยรด และยังนำลายสถานีสูบน้ำอีกด้วย ซึ่งดูดน้ำจากแม่น้ำร่วม 100 กม.ลงสู่อ่าว
ทั้งนี้ การประปานครหลวงมีกำลังการผลิตน้ำประปา 5.2 ล้านคิวบิกเมตร/วัน สำหรับผู้ใช้น้ำร่วม 2.2 ล้านคน ที่รวมไปถึง โรงงาน ธุรกิจ และห้างร้านต่างๆ แต่ทว่าทางการประปานครหลวงยังไม่มีความสามารถในการบำบัดน้ำเค็มได้อย่างมีประสิทธิภาพทันตามความต้องการ
"มีบางวันที่ระดับน้ำเค็มเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ทางการประปานครหลวงตัดสินใจไม่นำน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามาใช้ในการผลิต แต่เราใช้น้ำจากคลังเก็บน้ำสำรองในคลองชลประทานที่เรามีเพื่อนำผลิต แต่ทางการประปาสามารถหยุดการนำน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อมาใช้ในการผลิตได้แค่เพียง 3 ชม.เท่านั้น"
รอยเตอร์รายงานต่อว่า การประปานครหลวงได้ประกาศเตือนให้ผู้ใช้น้ำในเขตกรุงเทพฯกักตุนน้ำดื่มจำนวน 60 ลิตรไว้ในการเตรียมพร้อมเมื่อมีการประกาศแจ้งน้ำประปาขาดแคลนออกมา และพร้อมกันนั้นยังขอให้คนกรุงเทพฯ ลดปริมาณการใช้น้ำลง แต่ทว่าในตอนนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะราคาต่อหน่วยของปริมาตรน้ำที่ผู้ใช้ต้องจ่ายเป็นราคาที่ถูกมากคือ 8.50 บาท/1,000 ลิตร
"เป็นเพราะมีราคาถูกมากจนเกินไปจึงทำให้ผู้ใช้ไม่เห็นคุณค่าที่ต้องประหยัดน้ำและอัตรานี้กำหนดมาตั้งแต่ปี 1999 แล้ว และอาจกล่าวได้ว่าเป็นนครที่ใหญ่แต่มีราคาน้ำประปาที่ถูกที่สุดในโลกก็ว่าได้" ผู้ว่าการประปานครหลวงตัดพ้อ
พร้อมกล่าวต่อว่า หน่วยงานการประปามีแผนที่จะใช้เม็ดเงิน 1.3 พันล้านดอลลาร์ในโครงการระยะเวลา 7 ปีเพื่อเพิ่มความสามารถการผลิตและการกักเก็บน้ำ และนอกจากนี้ยังมีการเริ่มพิจารณาในโครงการระยะยาว 30 ปีเพื่อ (1) ประเมินความต้องการน้ำสำหรับการใช้สอย (2) การหาแหล่งน้ำใหม่ และ (3) การสร้างเครื่องป้องกันน้ำเค็ม ธนศักดิ์กล่าว
**น้ำในเขื่อนภูมิพลเข้าวิกฤตขั้นที่ 2
ด้านนายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง ผอ.เขื่อนภูมิพล อ.สามเงา จ.ตาก เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำกักเก็บของเขื่อนภูมิพล อ.สามเงา ยังคงอยู่ในขั้นวิกฤตระดับที่ 2 คือไม่สามารถระบายเพื่อการเกษตร แต่มีน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค ระบายให้แก่ประชาชนในพื้นที่ท้ายน้ำได้เท่านั้น ขณะที่ฝนในภาคเหนือขณะนี้ยังมีปริมาณไม่มากทำให้พื้นดินที่ผ่านความแห้งแล้งดูดซับน้ำไว้และยังไม่อิ่มตัว ทำให้เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลเพียง 0.89 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 4,006 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 29.76% สามารถระบายน้ำได้เพียง 206 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2.13% โดยทำการระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายเขื่อนวันละ 8 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ว่างรับน้ำใหม่จำนวน 9,455 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 70.24%
ทั้งนี้ ถือว่าปีนี้เป็นปีที่มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลน้อยที่สุดในรอบ 51 ปี ของการก่อสร้างเขื่อนภูมิพล โดยระหว่างวันที่ 1 เม.ย. 58-6 ก.ค.58 (ปีน้ำ นับตั้งแต่ 1 เม.ย.-31 มี.ค.) มีน้ำเหนือใหม่ที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลเพียง 48.13 ล้าน ลบ.ม.
ในขณะเดียวกันต้องทำการระบายน้ำลงสู่ลุ่มน้ำ 1,312.33 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ในขณะนี้ 206 ล้าน ลบ.ม.ไม่สามารถระบายน้ำเพื่อการเกษตรได้ เนื่องจากปริมาณน้ำส่วนนี้ต้องสำรองไว้ใช้เพื่อการอุปโภค-บริโภคและรักษาระบบนิเวศเท่านั้น และหากปริมาณน้ำใช้งานลดต่ำกว่า 176 ล้าน ลบ.ม.ก็จะเข้าสู่ภาวะวิกฤตขั้นที่ 1 คือ เป็นน้ำเพื่อความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น
ขณะที่เขื่อนสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 6 ก.ค.มีน้ำใหม่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำจำนวน 2.92 ล้าน ลบ.ม. คงเหลือน้ำกักเก็บทั้งหมดเพียง 3,233 ล้าน ลบ.ม. หรือ 34.01% สามารถระบายได้ เพียง 383 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 5.76% วันนี้เขื่อนสิริกิติ์ยังคงระบายน้ำลงสู่พื้นที่ท้ายน้ำจำนวน 17 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่ว่างรับน้ำใหม่จำนวน 6,276 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 65.99% ซึ่งสถานการณ์น้ำในเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 แห่งของภาคเหนือดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรใต้เขื่อนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยนายสุเทพ ลิมปะพันธุ์ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย เปิดเผยว่า นาข้าว พืชไร่ และพืชสวนต่างๆ ในจังหวัดสุโขทัย อยู่ในระยะวิกฤตเหี่ยวเฉาถาวร และคาดว่าจะเสียหายจำนวน 90,120 ไร่
โดยภาพรวมทั้งจังหวัดมีพื้นที่ประสบภัยแล้ง 6 อำเภอคือ อ.เมือง อ.บ้านด่านลานหอย อ.คีรีมาศ อ.ศรีสำโรง อ.สวรรคโลก และ อ.ทุ่งเสลี่ยม รวม 34 ตำบล 266 หมู่บ้าน มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 9,693 ครัวเรือน ส่วนพื้นที่การเกษตรที่ประสบภัยแล้งทั้งหมดมี 130,929 ไร่ ซึ่งสำนักงานเกษตรจังหวัดฯ ได้สำรวจและเตรียมให้ความช่วยเหลือเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป
**ชาวนาพิจิตรลงทุนจ้างเจาะบาดาลลึก
ขณะที่นายประเทือง แสนดี อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79 หมู่ 2 บ้านโนนป่าแดง ต.หนองหลุม อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ที่ทำนา 10 ไร่ กล่าวว่า เปิดเผยว่า เจอภัยแล้งอย่างหนักทำนาไม่ได้มานานกว่า 8 เดือนแล้ว จึงยอมลงทุนเพิ่มเกือบ 1 แสนบาทเจาะบ่อบาดาลลึกลงไปประมาณ 40 เมตร หรือ 20 วา ซึ่งผู้รับจ้างคิดค่าเจาะวาละ 500 บาท และต้องใส่ท่อพลาสติกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้วลงไปใต้ดิน พร้อมกับต้องต่อไฟฟ้ามาใช้กับเครื่องสูบน้ำด้วย