ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นเรื่องเป็นราว เป็นข่าวใหญ่โต จากกรณีความเคลื่อนไหว “ต่อต้านรัฐประหาร” ของกลุ่มนักศึกษา จนนำไปสู่การจับกุม “14 นักศึกษา” อยู่ในขณะนี้ ซึ่งถูกโหมกระพือข่าวจนลุกลามบานปลาย และกลายเป็นเรื่องในกระแสมากกว่าที่ควรจะเป็น
จึงมีคำถามไปถึงมาตรการของทั้ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล ว่าต้องการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” หรือ “โยนฟืนเข้ากองไฟ” กันแน่ เพราะหากติดตามก็จะเห็นได้ชัดว่า “รัฐบาล คสช.” เองที่ทำให้เรื่องนี้ขึ้นชื่อ “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์”
ในความเป็นจริง การเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มเผยแพร่กฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อสังคมหรือที่รู้จักกันในชื่อ “กลุ่มดาวดิน” จาก จ.ขอนแก่น ที่วันนี้มีการจัดทัพใหม่รวมกับกลุ่มนักศึกษา “หน้าหอศิลป์” และใช้ชื่อ “กลุ่มประชาธิปไตยใหม่” นั้น ก็มีมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลา 1 ปีเศษของรัฐบาล คสช.
นับตั้งแต่กิจกรรมของทั้งนักศึกษา และประชาชน ที่รวมตัวกัน “จุดเทียน-ชูสามนิ้ว” คัดค้านรัฐประหารเมื่อ 23 พ.ค.57 หรือภายหลังการรัฐประหารของ คสช. ที่นำโดย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เพียงวันเดียว ก่อนสลายตัวไปในที่สุด หลังจากนั้นก็มีการนัดหมายรวมตัวจัดกิจกรรมกันบ่อยครั้ง แต่ก็ “จุดไม่ติด” เพราะไม่อาจต้านทานความเข้มของ “กฎอัยการศึก” ได้
จากนั้นไม่กี่วันก็ได้มีการกำเนิดของ “ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย” หรือ ศนปท. ที่อ้างว่าเป็นการรวมตัวกันของนิสิตนักศึกษาจากหลายสถาบัน ทั้ง “กลุ่มลูกพระจอมปกป้องประชาธิปไตย-ประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน” จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “กลุ่มสภาหน้าโดม-ธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย-สภากาแฟ” จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “กลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์” จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ “กลุ่มกราฟเสรี” จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ “กลุ่มนักศึกษาพิทักษ์ประชาธิปไตย” จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง “กลุ่มซุ้มเกี่ยวดาว” จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ “สมัชชาเสรีเพื่อประชาธิปไตย” จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น
โดย ศนปท.ได้กำหนดแนวทางจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์รูปแบบต่างๆ เพื่อต่อต้าน คสช. นำไปสู่การจับกุมของสมาชิก ศนปท. 9 คน ในขณะกำลังจัดกิจกรรมกินแซนด์วิช ในบริเวณห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน เมื่อ 22 มิ.ย.57
ช่วงเดียวกันก็มี “หนูหริ่ง” สมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวเสื้อแดงที่รู้จักกันในนาม “บก.ลายจุด” ก็ได้ใช้พื้นที่เชี่ยลเน็ตเวิร์คปลุกกระแสนัดทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ต้านรัฐประหารตามสถานที่ต่างๆใน กทม. แต่เจ้าตัวไม่ได้มาปรากฎตัวเอง เพราะมีหมายจับในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.อยู่ และไม่นานก็ถูกตำรวจรวบตัวได้ที่บ้านเช่าใน จ.ชลบุรี หลังจากนั้นก็สงบปากสงบคำมาโดยตลอด
ที่ฮือฮาและเป็นวีรกรรมเปิดตัวสร้างชื่อของ “กลุ่มดาวดิน” เห็นจะเป็นเมื่อครั้งที่ 5 สมาชิกกลุ่มดาวดิน สวมเสื้อสกรีนข้อความคนละพยางค์ว่า “ไม่ - เอา - รัฐ - ประ - หาร” ปรากฏตัว “ชูสามนิ้ว” ต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ในระหว่างลงพื้นที่แถลงนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่กลุ่มจังหวัดภาคอีสาน ที่ศาลากลาง จ.ขอนแก่น ก่อนถูกรวบตัวไป “ปรับทัศนคติ” ตามระเบียบ ก่อนปล่อยตัวออก แต่ก็มีตำรวจในพื้นที่ 5 นายที่ถูกสั่งย้าย เนื่องจากปล่อยปละละเลยให้มีคนบุกไปถึงหน้าท่านผู้นำ พร้อมกับการปรับทีม รปภ.นายกฯกันใหม่
หลังเหตุการณ์วันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ถามเชิงหยอกออกไมค์ทันทีว่า “มีใครอยากจะประท้วงอีกมั้ย???” พร้อมกล่าวติดตลกด้วยว่า “นึกว่าเอาการแสดงมารับผม ไอ้นี้มาใหม่เว้ย ทำไมมันใส่ชุดดำ นึกว่ามาเต้นกระตั้วแทงเสือ”
ถือเป็นการพลิกสถานการณ์ให้ผ่อนคลาย ซึ่ง “บิ๊กตู่” ได้รับคำชมเรื่องความใจเย็นในเหตุการณ์ค่อนข้างมาก
ว่ากันถึงเรื่องการ “ชูสามนิ้ว” ที่ดูจะเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งก็มีที่มาที่ไปจากภาพยนตร์ดัง "The Hunger Games" ที่ตัวละครนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ประท้วงโดยสันติ ในการเรียกร้องเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ จากผู้มีอำนาจตามท้องเรื่อง
เมื่อภาพยนตร์ "The Hunger Games ภาค 2" หรือ “เดอะ ม็อกกิ้งเจย์” เข้าฉายในไทยช่วงปลายปีที่แล้ว จึงเป็นโอกาสดีอีกครั้งที่ ศนปท.จะออกมาเคลื่อนไหว โดยได้จัดกิจกรรม “ชูสามนิ้ว หิ้วป็อปคอร์น นอนดูหนัง” หรือ “รำกระตั้ว คั่วป๊อบคอร์น นอนดูหนัง” ที่โรงหนังสกาลา และสยามพารากอนเมื่อ 20 พ.ย.57 สุดท้ายก็ไม่รอดเมื่อบรรดาแกนนำถูกตำรวจควบคุมตัวไป “ปรับทัศนคติ” อีกหน ส่วนโรงหนังสกาลาถึงกับต้องยอมถอดหนังออก แบกรับภาวะขาดทุนวันละเป็นแสนบาท
หลังจากนั้นความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มดาวดิน” และ ศนปท.ก็จะมีให้เห็นประปราย ไม่ได้จัดอีเว้นต์หรือออกแคมเปญเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนช่วงแรก เหตุเพราะ เริ่มมีสัญญาณการใช้ “ไม้แข็ง” จากฝ่ายเจ้าหน้าที่มากขึ้น
จนมาถึงวาระครบรอบ 1 ปีการรัฐประหารของ คสช. เมื่อ 22 พ.ค.58 ก็มีการนัดหมายจัดกิจกรรมกันอีกครั้ง ทั้งที่ จ.ขอนแก่น และที่ กทม. ปรากฏว่า มี 7 นักศึกษากลุ่มดาวดินถูกจับในข้อหาขัดคำสั่ง ก่อนให้ประกันตัวออกมา ส่วนที่ กทม.ซึ่งจัดขึ้นที่หน้าหอศิลป์ แยกปทุมวัน มีการควบคุมตัวนักศึกษา และผู้มาร่วมกิจกรรมถึง 33 คน ก่อนปล่อยตัวไป หลังมีแรงกดดันจากกลุ่มต่อต้าน คสช.ที่ไปรวมตัวหันหน้า สน.ปทุมวัน ภายหลังมีการออกหมายเรียก 9 คน แต่ก็มี 8 คนที่ไม่เข้าพบเจ้าหน้าที่ จึงต้องการออกหมายจับในที่สุด
จากที่เพาะบ่มสถานการณ์มาปีเศษ ก็มาปะทะเอาช่วงวันที่ 24 มิ.ย.ที่มีการจัดกิจกรรมรำลึกวันปฏิวัติของ “คณะราษฎร” ซึ่งมีทั้งการจัดกิจกรรมในรูปแบบปกติ ตลอดจนการจัดกิจกรรมที่พยายามเชื่อมโยงโจมตี “รัฐบาลขุนทหาร” ในปัจจุบัน
กิจกรรมเมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 มิ.ย.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็เป็นที่มาของการออกหมายจับและเข้าจับกุมตัว “14 นักศึกษา” ในข้อหาขัดคำสั่ง คสช. และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ว่าด้วย การก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร ก่อนเข้าจับกุมตัวได้ทั้งหมดที่สวนเงินมีมา ย่านเจริญนคร และในคืนวันนั้น ศาลก็มีคำสั่งให้ฝากขังทั้ง 14 คน เป็นเวลา 12 วัน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
การแสดงความคิดเห็น หรือจุดยืนตรงข้ามกับ “ขุนทหาร” ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลเลือกตั้ง ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับ “ปัญญาชน” ที่เข้าข่าย “ร้อนวิชา” โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคที่ “ทหาร” เข้ามามีอำนาจ ซึ่งถูกกล่าวในเชิงเปรียบกับสมัย “เผด็จการ” ในอดีต
ซึ่งตรงนี้ก็หมายรวมไปถึงบางคนบางกลุ่มที่มี “นัยซ่อนเร้น” หวังผลมากกว่าการประกาศ “อุดมการณ์” ส่วน “ดาวดิน” จะแดงหรือไม่แดงก็ไม่อยากฟันธง แต่ที่ทำมาทั้งหมดถือว่า “เข้าทางแดง”
แล้วยังถูกโยงไปถึง “พวกล้มเจ้า” ด้วย
จากที่เคย “ฟินกันเอง” ในมุมเล็กๆ จัดกิจกรรม คุยโม้อยู่ในพื้นที่ส่วนตัว หรือในรั้วมหาวิทยาลัย เมื่อมีวาระโอกาสก็ก้าวออกมาแอคชั่นเสียที แต่เมื่อออกมาแล้วกลับมีการขยายประเด็นในวงกว้าง ด้วยมาตรการใช้ “ไม้แข็ง” ของ “ทหาร-ตำรวจ” ก็ยิ่งพาหันเฮโลกันออกมา ทั้งแนวร่วมผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งหลาย หรือกระทั่ง “นักการเมือง” ที่รอจังหวะหาประเด็นในการเคลื่อนไหว หลังถูก คสช.ล้อมกรอบจนขยับหยิบจับอะไรไม่ได้
มาตรการของฝ่ายรัฐในตอนนี้นัยหนึ่งอาจจะตีความได้ว่า “ตัดไฟแต่ต้นลม” แต่อีกนัยเห็นชัดเจนว่า เป็นการช่วยโหมกระพือให้ไฟลุกลามไปมากกว่าเดิม และถูกขยายผลไปในทางการเมืองอย่างที่ “คนเบื้องหลัง” ของกลุ่มนักศึกษาต้องการ
ไม่ต่างจาก “ปลาใหญ่” ที่ฮุบเหยื่อ สุดท้ายตัวเองก็กลายเป็นเหยื่ออันโอชะเสียเอง
เห็นได้จากปฏิกิริยาของ “นักวิชาการ - นักการเมือง” รวมไปถึง “ขาประจำ” อย่าง “กลุ่มคนเสื้อแดง” หรือ “พรรคเพื่อไทย” ที่ชักแถวกันออกมาแสดงความเห็นว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ต่อ “14 นักศึกษา” ดูจะรุนแรงเกินไป และเป็นที่มาของ 281 อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ลงชื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวลูกศิษย์ที่ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในตารางตอนนี้
ที่ขาดไม่ได้เห็นจะเป็นองค์กรระดับโลกอย่าง สหภาพยุโรป (อียู) - สหประชาชาติ (ยูเอ็น) - สำนักงานเลขาธิการใหญ่แอมเนสตี้ฯ ที่มาตามสูตรเดิมอ้างเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว “14 นักศึกษา” โดยไม่มีเงื่อนไข และเชื่อว่าอีกไม่นานเชื่อว่า “พี่ใหญ่” อย่าง สหรัฐอเมริกา คงมีท่าทีตามมาติดๆ
ในขณะเดียวกันฝ่ายนักศึกษาที่วันนี้หันมาใช้ชื่อ “กลุ่มประชาธิปไตยใหม่” ก็เคลื่อนไหวแบบ “เล่นเป็น” หาจังหวะปล่อยประเด็นดราม่าออกมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะช่องทางสังคมออนไลน์ มีการกำเนิดเกิดขึ้นของเพจแนวร่วมเป็นดอกเห็ด เนื้อหาก็แสดงความสนับสนุน และห่วงใยในความเป็นอยู่ของ “14 นักศึกษา” อย่างหน้าเพจ “ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement - NDM" ที่ได้โพสต์ข้อความของ “14นักศึกษา” โดยระบุว่า เป็นข้อความของเพื่อนเราจากในคุกว่า
ไผ่ ดาวดิน : ใส่รายชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในรายชื่อ 1 ใน 10 ด้วย อยากให้มาเยี่ยม
เดฟ ทรงธรรม : ฝากถึงนิ้วกลม "กำแพงทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่บางครั้งก็ทำให้โดดเดี่ยว" จากหนังสือ ?#?ความรักเท่าที่รู้? โดยนิ้วกลม
โรม : ขอให้ อ.สมคิด และ อ.ปริญญา มาเยี่ยม
โต้ง ดาวดิน : ฝากถึง อ.กิตติบดี (คณบดี คณะนิติศาสตร์ ม.ขอนแก่น) ตอนปฐมนิเทศนักศึกษา อาจารย์เปรียบเทียบว่าความรู้ก็เหมือนน้ำ ต้องไม่ศึกษาจนเต็มแก้ว แต่ต้องศึกษาจนล้นแก้วเพื่อเติมให้คนอื่นและสังคม ไม่ใช่เพื่อตนเอง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมและเพื่อนยังทำตามที่อาจารย์บอก ชีวิตพวกผม มาถึงวันที่สู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน แต่ยังไม่ได้เห็นหน้าคนสอนเลย ฝากบอกอาจารย์ว่า ให้เลิกสอนสิทธิมนุษยชน
ตรงนี้เหมือนเป็นความพยายามในการสร้างประเด็นเชื่อมโยงไปถึง “บิ๊กตู่” และก็เป็นความพยายามของผู้อยู่เบื้องหน้า-เบื้องหลังของ "นักศึกษา" ในการยั่วยุ "บิ๊กตู่" และองคาพยพให้ตบะแตกเข้าไปอีก
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็เท่ากับ “ฝ่ายทหาร” เป็นผู้เปิดพื้นที่ให้ “ดาวดิน” และแนวร่วมเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็น “คำสั่ง” หรือเป็นการตัดสินใจของลูกน้องเอง หมากเกมนี้ถือว่า คสช.เดินพลาดอย่างแรงด้วย และหากพูดตรงๆก็เป็นการตัดสินใจที่ “ไม่ฉลาด” กับการใช้ “ไม้แข็ง” กับกลุ่มนักศึกษาที่ตัวเองก็พูดเองว่า มี “เบื้องหลัง” ชักใยอยู่
ทั้งที่ความเป็นจริงที่ผ่านมา ท่าทีของ "บิ๊กตู่" ออกไปในแนว “รำคาญใจ” ที่ยังมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้าน คสช.วนเวียนให้เห็น แต่ก็ยังคุมจังหวะประคองเกมไม่ให้ลุกลาม ทว่าล่าสุดกลับมี “ไฟเขียว” ให้ปฏิบัติการจับกุม “14 นักศึกษา” ยกฐานะคนกลุ่มนี้ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ และออกอาการว่าหวาดหวั่นกับการเคลื่อนไหวในเชิงนี้
จากเดิม “รัฐบาลบิ๊กตู่-ขุนทหาร" ที่ดูจะนำ "เรือแป๊ะ" แล่นฉิวล่องแม่น้ำ 5 สายอย่างสบายอกสบายใจ กลับไปตกหลุมพรางที่ “โจรสลัด” โยน “เด็กน้อย” ออกมาล่อไว้อย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่ว่าจะ “คิดน้อย” หรือ “คิดไม่เป็น” ก็ควรตำหนิไปที่ทีมกุนซือ รวมไปถึงบรรดาลูกน้องที่เกินหน้าที่ และทำให้เกิดความรุนแรงในบยางครั้งด้วย อย่างบริเวณหน้าหอศิลป์ที่ปรากฏภาพยื้อยุดฉุดกระชากกับกลุ่มนักศึกษา จนมีการตีข่าวไปทั่วว่า เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับเด็ก
ในทางบริหารเขาว่า มีลูกน้อง “เก่งแต่ขี้เกียจ” ยังพอทน แต่ถ้ามีลูกน้อง “โง่แต่ขยัน” นี่น่ากลัว
น่าสนใจว่า “ขุนทหาร คสช.” จะพลิกเกมอย่างไร เพราะทำทีขึงขังมาตลอดในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และก็เป็น “บิ๊กตู่” เองที่ประกาศกร้าวว่า จะไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 44 นิรโทษกรรมให้กับ “14 นักศึกษา” ตามที่มีผู้แนะนำ
แต่หากปล่อยไว้อย่างนี้ก็เข่าทาง “ฝ่ายตรงข้าม” ที่พยายามเดินเกมให้ “โลกล้อมไทย” โดยเฉพาะจากประเด็นเรื่อง “สิทธิเสรีภาพ” ที่เป็นข้ออ้างให้ “อันธพาลโลก” เข้าไปคุกคามได้ทุกประเทศ โดยไม่ได้ย้อนหกลับไปดูว่าบ้านตัวเองก็อยู่ในระดับเลวร้ายมากกว่าคนอื่นเสียอีก
จากการเปิดเผยข้อมูลว่า “พรชัย ยวนยี” หรือ "แซม" 1 ใน 14 นักศึกษาที่ถูกจับกุม เพิ่งเป็น 1 ใน 26 ผู้ต้องหาที่โดนจับคา “บ่อนย่านสุขุมวิท" เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่า “พรชัย” จะเป็นอดีตนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นอดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ไม่ได้เป็นนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้ “ใสซื่อบริสุทธิ์” ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง อย่างที่เครือข่ายแนวร่วมกำลังพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้
แต่กรณี “พรชัย” อาจจะฟังดูมีน้ำหนักน้อยเกินไปที่จะ “ดิสเครดิต” ทั้งเครือข่าย
เพราะอีกด้านก็มีการเปิดเผยว่า “พรชัย” เป็นสามีของ “เอ - ธีรพิมล เสรีรังสรรค์” บุตรสาวแท้ๆของ “ธีรภัทร เสรีรังสรรค์” อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯในสมัย “รัฐบาลขิงแก่” ก็ถือว่า อยู่ในระดับมีฐานะพอสมควร ส่วนความเชื่อมโยงกับ “พ่อตา” นั้นก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามไม่น้อย
อีกเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจใน “ปรากฏการณ์ดาวดิน” ครั้งนี้ เมื่อดูจากรายชื่อของเครือข่ายที่ออกมาให้กำลังใจทำให้มองได้ว่า กลุ่มนี้มีที่มา “ไม่ธรรมดา” นอกเหนือจากอาจารย์-นักวิชาการหลากหลายกลุ่มแล้ว ยังมีนักคิด-นักเขียนหลายคนที่เปิดหน้าออกมาสนับสนุนแนวทางของ “ดาวดิน” ที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นรายของ “สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์” เจ้าของนามปากกา "นิ้วกลม" อันโด่งดัง ซึ่งที่ผ่านมาค่อนข้างระมัดระวังเรื่องจุดยืนทางการเมืองมาโดยตลอด
มาครั้งนี้ถือว่า “เลิกแอบ” และประกาศตัวสนับสนุน “ดาวดิน” อย่างชัดเจน โดยเป็นผู้ผุดไอเดียแฮชแท็ก ระบุว่า "#เราคือเพื่อนกัน" พร้อมบทความสรรเสริญวีรกรรมของ “กลุ่มดาวดิน” ด้วยเครดิตของนักเขียนผู้ซึ่งถือเป็น “ผู้นำจิตวิญญาณของวัยรุ่น” ทำให้แฮชแท็กที่ว่าขยายออกไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว และมีเครือข่าย “ดาวดิน” รับลูกนำไปประยุกต์เป็นกิจกรรมต่างๆ เช่น “กลุ่มพลเมืองโต้กลับ” (Resistant Citizen)ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ "เพราะเราคือเพื่อนกัน" โดยเป็นการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการ นักเขียน พ่อแม่นักศึกษา และนักเคลื่อนไหวหลายคน เพื่อให้เข้าร่วมกิจกรรม "โพสต์อิสรภาพ" เขียนข้อความใส่ “โพสต์อิท” เพื่อให้กำลังใจ “14 นักศึกษา” เป็นต้น
การที่จู่ๆ เซเลบคนดังอย่าง “นิ้วกลม” ลุกออกมาประกาศสนับสนุนนักศึกษาที่ต่อต้าน คสช. พร้อมท่องคาถาเรียกร้องประชาธิปไตย พร้อมคารวะเชิดชู “กลุ่มดาวดิน” ราวกับ “วีรบุรุษ”
ก็มีคำถามจากผู้ที่ไม่เข้าใจในจุดยืนของ “นิ้วกลม” ว่าเหตุที่ออกมาแสดงตัวเป็นเพื่อนกับผู้ต่อต้าน คสช. และเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ที่ผ่านมากลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเลวร้ายของ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่แล้วๆ มา หมายความว่าอย่างไร
แน่นอนว่าคนระดับ “นิ้วกลม” ออกโรงย่อมมีเสียงสนับสนุนจากเครดิตที่มีอยู่พอตัว แต่อีกด้านก็มีกระแสในโซเชียลที่ฝากไปถึง “นักเขียนคนดัง” ด้วยความเป็นห่วงว่า ไม่ได้เข้าใจเรื่องราวความเป็นมาของ “ดาวดิน” อย่างถ่องแท้ ที่สำคัญยังโพสต์ข้อความโดยขาดการติดตามข่าวสารบ้านเมืองแล้วมา “มโน” ว่า “14นักศึกษา” โดนจับ เพราะสู้เรื่องสิ่งแวดล้อม
“จะบอกว่างานนี้คุณพลาดแล้วล่ะครับ…เป็นนักเขียนชื่อดังในวงการ มีวัยรุ่นติดตามมากมายแต่มาตายเพราะไม่อ่านข่าวสารบ้านเมืองก่อนจะโพสต์” สมาชิกเฟซบุ๊กท่านหนึ่งกล่าวไว้
เมื่อ “นิ้วกลม” เจอ “นิ้วกลาง” ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน คงต้องกลับไปใช้ชีวิต “สโลว์ไลฟ์” ในอุดมคติเหมือนเดิม
“นิ้วกลม” คือใคร ไม่ใช่(อี)แอบนะเออ
'นิ้วกลม' นามปากของนักเขียนชื่อดัง เอ๋ -สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ดีกรีไอดอลทางความคิดของคนรุ่นใหม่ หลังจากกระมิดกระเมี้ยนไม่ชัดเจนว่าอยู่ในพรมแดนใดในสนามการเมือง ล่าสุด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แฟนเพจ Roundfinger เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา สนับสนุนกลุ่มนักศึกษาดาวดิน ผู้ถูกจับกุมคุมขังจำนวน 14 คน ด้วยข้อหาขัดคำสั่งหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นสิ่งไม่ชอบธรรม ซ้ำยังชักธงรบกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ร้องเรียกเสรีภาพกลายๆ ว่าคนไทยจะเป็นเสรีชนได้ทหารต้องยกทัพกลับไปเสียก่อน
ท่ามกลางความยินดีปรีดาของมิตรรักแฟนนักอ่านผู้คลั่งไคล้ทัศนะของนักเขียนหนุ่ม แห่แหนกดไลค์และแชร์ข้อความของนักเขียนหนุ่มนามปากกาซื่อๆ นิ้วกลม ผู้ปลุกกระแสสังคมแอนตี้รัฐประหารเรียกร้องให้ประชาชนสามารถออกสิทธิออกเสียงทางการเมืองอย่างเสรีภายใต้กรอบประชาธิปไตย
แน่นอน สำหรับ “ติ่งนิ้วกลม” คงรู้จักตัวตนของนักเขียนผู้นี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ติดตามผลงาน ก็คงสงสัยอยู่ในใจว่า นิ้วกลมคือใครและมีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคมมากน้อยแค่ไหน
หลังเรียนจบจาก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม เขาทำงานเป็นครีเอทีฟและผู้กำกับโฆษณา ต่อมาเข้าสู่แวดวงนักเขียนจนเริ่มเป็นที่รู้จักหลังมีผลงานเขียนกับทางนิตยาสาร A Day (อะเดย์) จับเทรนด์อินดี้ไทยในยุคนั้น ว่าด้วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ เจาะตลาดนักอ่านจอมขบถตามโพสิชั่นนิ่งที่ผู้ก่อตั้ง เครือบริษัท เดย์ โพเอทส์ จำกัด นำโดยวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์, นิติพัฒน์ สุขสวย และภาสกร ประมูลวงศ์ วางเอาไว้
เขาเป็นทั้งคอลัมนิสต์และนักเขียน ตีพิมพ์ผลงานหนังสืออย่างต่อเนื่อง สำหรับผลงานสร้างชื่อเป็นบันทึกการเดินทางเรื่อง 'โตเกียวไม่มีขา' ตามติดออกมาอีกหลายเล่ม อาทิ กัมพูชาพริบตาเดียว, เนปาลประมาณสะดือ, สมองไหวในฮ่องกง นั่งรถไฟไปตู้เย็น ฯลฯ
ความเรียงรวมเล่มเชิงสร้างสรรค์ สร้างแรงบันดาลใจ เช่น อิฐ, ณ, เพลงรักประกอบชีวิต, อาจารย์ในร้านคุกกี้, เหตุใดเราจึงยังมีชีวิตอยู่ ฯลฯ ความนิยมในตัวหนังสือจากปลายนิ้วกลมๆ ของเขา ได้รับการตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์หลายสำนัก รวมทั้งสำนักพิมพ์มติชนแบ่งขั้วการเมืองชัดเจน และยังเป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารวิเคราะห์ข่าวมติชนสุดสัปดาห์ คอลัมน์หนึ่งคำถามล้านคำตอบ
ชื่อของ นิ้วกลม ค่อยๆ ปรับวอลลุมดังขึ้น จากวงการหนังสือเข้าสู่วงการโทรทัศน์ เป็นพิธีกรรายการ ทางช่องไทยพีบีเอสหลายรายการ ทั้งรายการพื้นที่ชีวิต รายการเป็นอยู่คือ รายการวัฒนธรรมชุบแป้งทอด และรายการ Status Story ขณะเดียวกันก็ได้รับการทาบทามเป็นพรีเซ็นเตอร์โทรศัพท์มือถือแบรนด์หนึ่ง การันตีความนิยมว่าเป็นไอดอลแห่งยุคที่วัยรุ่นใคร่เลียนแบบ
เฟซบุ๊กแฟนเพจ Roundfinger ของนิ้วกลมมีผู้ติดตามกว่า 430,000 ไลค์ โดยเขาให้นิยามตัวเอง ณ เวลานี้ว่าเป็น 'พิธีกร นักเขียน นักบรรยาย นักเรียน' พร้อมกับเปิดตัวโจ๋งครึ่มว่าไม่ต้องการการปกครองในรูปแบบรัฐบาลทหาร เพราะว่ากันตามตำรา รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง มิใช่ถูกจองจำภายใต้อำนาจรัฐประหาร